เขาไม่พอใจหลวงลุง แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ยุคสมัยนี้แล้ว ยังงมงายอยู่ได้ เขาไม่อยากโวยวายให้แม่กับหลวงลุงเสียหน้าเฉยๆ เพราะยังไงชาวบ้านแถวนี้ก็นับถือหลวงพ่อกันทั้งนั้น หลวงพ่อที่เป็นลุงของเขา มีชื่อเสียงในเรื่องของการหยั่งรู้ เรื่องราวในอดีต อภินิหาร อะไรประมาณนั้น
แต่หลวงลุงไม่ได้แสดง หรืออวดอุตริอะไร มีคนดังมีชื่อเสียงหลายคนที่มาหาหลวงลุง ให้ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้ ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ทันทีทันใด หลวงลุงจะคอยแนะนำให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ คิดดีทำดี คนส่วนมากที่ทำตามที่หลวงพ่อบอก ประสบผลสำเร็จ แล้วกลับมาสร้างและบูรณะวัด มากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลาหลังใหม่ เมรุ กุฎิ ห้องน้ำ เงินที่ลูกศิษย์ลูกหาถวายมา ท่านก็ปรับปรุงวัด
แต่ถามว่าเขาเชื่อไหม เขารู้สึกเฉยๆ แต่ก็เกรงใจท่านอยู่บ้าง หลายครั้งที่สมัยเขาเป็นหนุ่มน้อย ดวยนิสัยของเขาไม่เคยยอมและลงให้ใคร มีเรื่องตีรันฟันแทง กับคู่อริเป็นประจำ ครั้งนั้น เขาไปต่างถิ่นคนเดียว โดนคู่อริยกพวกไล่ล่า เขาขับรถหนี ด้วยความเร็ว ทำให้รถคว่ำ เขาสลบคาที่ คราวนั้นครอบครัวเขาคิดว่าเขาไม่รอด เขาสลบไปเกือบเดือน
มันเหมือนความฝัน เขาเดินเข้าป่าลึก หาทางกลับบ้าน ทำยังไงก็กลับไม่ได้ เห็นทาง เห็นถนน แต่พอเดินไป ก็วกกลับมาที่เดิม ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย คิดว่าคงตายในป่านี้แน่ๆ แล้ว สุดท้ายก็ได้เจอหลวงลุง เดินบิณฑบาต อยู่ข้างหน้า เขาพยายามเดินให้ทัน แต่ก็นานมากกว่าจะตามทัน หลวงลุงแบ่งข้าวให้เขากิน ให้เขาจับชายผ้าเหลือง พาเขากลับบ้าน
ทุกคนดีใจมากที่เขาฟื้น เขาก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าหลวงมาช่วยเขา ให้เขากลับบ้าน พิสุจน์ไม่ได้ อาจจะถึงเวลาที่เขาจะต้องฟื้นก็ได้ แต่ที่น่าประหลาดคือ พ่อกับแม่เขารู้เหตุการณ์ทุกอย่าง แบบที่เขาไม่ต้องเล่าให้ท่านทั้งสองฟังเลย
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อจะสื่ออะไรกับเขา แล้วทำไมต้องมีเด็กนั่นเข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าหลวงพ่อรู้ใจเขาได้จริงๆ ท่านต้องรู้ว่าเขาไม่ชอบใจเด็กนั่นเลย ช่วยพาออกไปไกลๆ จากเขาสักที เขาไม่อยากเห็นหน้า เด็กนั่น แต่ใจเขาก็อยากทำอะไรบางอย่าง สิ่งที่มันคาอยู่ในใจเขา มันจะได้สงบลงเสียที เขารำคาญความรู้สึกนี้จังเลย มันทำให้เขาหงุดหงิด ตั้งแต่เจอเด็กนั่น คำว่าหงุดหงิด เขาใช้มันบ่อยเหลือเกิน
โชคเข้าข้างเขา ดีที่เขาแวะเข้าไปส่งลูกน้องในสวนยาง ข้างหน้านั่น ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ต้องแวะทักทายสักหน่อย มาคนเดียวซะด้วย
กรรณญาวีร์ สะดุ้งสุดตัว ตกใจเสียงแตรรถที่บีบดังและยาวมาก หญิงสาวพยายามบังคับรถจักรยานไม่ให้ส่ายไปมา บ้าจริง ใครมาบีบแต่รถเสียงดังขนาดนี้ ไม่เห็นมีรถมาสักหน่อย มีแต่เธอคนเดียว หญิงสาวจอดรถจักรยานได้ ก็หันไปมองข้างหลัง เสียงแตรรถอยู่ใกล้เธอนี่เอง หญิงสาวยกมืออุดหู ไม่ผิดแน่ ผู้ชายคนนั้น เขากลับไปก่อนหน้าเธอตั้งนานแล้วนี่นา แล้วทำไมเหมือนเขาเพิ่งออกจากวัด กรรณญาวีร์ใจไม่ดีเลย แถวนี้เปลี่ยวด้วย สองข้างทางเป็นป่ายาง
การันต์จอดรถปาดหน้าจักรยานของกรรณญาวีร์ ไม่รอช้าเขาลงจากรถ ตรงไปหาหญิงสาว
ที่ยืนประคองรถจักรยานแม่บ้านสีชมพูของเธอ อยู่ไหล่ทาง เจ้าของรถหน้าซีดด้วยความตกใจ
“ไง....มีอะไรกับฉันหรือเปล่า นี่เธอไปทำอะไร ไปพูดอะไร ให้หลวงพ่อ แม่ฉัน น้องสาวฉัน ต้องให้ฉันได้เข้าไปทำพิธีกรรมบ้าๆ นั้น ร่วมกับเธอ เป็นใครมาจากไหนเหรอ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เธอไปใส่ไฟอะไรแม่ฉัน ฉันเห็นนะบนศาลานั่น เธอคุยอะไรกับแม่ฉัน ห่ะ” ไม่พูดเปล่า มือที่แข็งราวคีมเหล็ก ก็จับเข้ามาที่ข้อมือของกรรณญาวีร์ บีบแรงจนเหมือนข้อมือเธอจะหักเสียให้ได้
“โอ้ย...ปล่อยฉันนะ นี่จะบ้าเหรอ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ ฉันจะกลับบ้าน คุณก็ไปถามแม่คุณเองซิ ฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ปล่อยไง ฉันเจ็บนะ” กรรณญาวีร์พยามดึงข้อมือของตัวเองกลับ ยิ่งดึงกลับยิ่งเจ็บ ไม่ซิ แทบไม่ได้ดึงกลับเลยด้วยซ้ำ เธอขยับข้อมือตัวเองไม่ได้เลย เขาไม่ยอมปล่อย แถมบีบแรงกว่าเดิม กรรณญาวีร์ใจเต้นแรง กลัวมาก ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน ไม่มีใครมาเลย ทำยังไงดี
“ฉันไม่เชื่อ บอกมาเธอมีแผนการอะไร จะบอกไหม ฉันขอเตือนนะ อย่ามายุ่งกับฉัน นี่แค่สั่งสอนนะ จำไว้การันต์ผลักข้อมือของหญิงสาวกลับคืน
นั่นทำให้กรรณญาวีร์ที่พยายามออกแรงดึงข้อมือของตัวกลับมา ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หงายหลังไปตามแรงผลักของเขา มืออีกข้างที่จำแฮนด์จักรยานไว้ พาจักรยานล้มลงมาทับร่างสวยนั่น ทั้งแรงผลัก และแรงรถที่ล้มทับ ทำให้กรรณญาวีร์ไหลลงไปตามไหล่ทาง ทั้งคนทั้งจักรยาน หล่นไหลลงไปข้างล่าง ซึ่งลึกพอสมควร มันเกิดขึ้นเร็วมาก กรรณญาวีร์หลับตา ไม่มีเสียงร้องออกมา จนรู้สึกว่าร่างของตัวเอง หยุดที่พื้นแฉะๆ นิ่มๆ เธอลืมตาขึ้น หมดกัน ตะกร้าที่ใส่ของไปวัด กระเด็นเกลี่อนกลาดไปหมด หญิงสาวเงยหน้ามองขึ้นไปบนไหล่ทาง สบตากับการันต์ หญิงสาวจ้องหน้าเขานิ่ง ไม่หลบสายตากัดปากตัวเองไว้ รู้สึกเจ็บที่ข้อศอก
เลือด น้ำอบก้มลงสำรวจตัวเอง เธอไม่ได้สนใจเขาแล้ว ดีที่ใส่รองเท้าคู่นี้ไม่สูงมาก เป็นรองเท้าสวมทรงเรียบร้อย สภาพตอนนี้ของตัวเองดูแทบไม่ได้เลย เลอะไปด้วยน้ำโคลน ข้อศอกาของเธอคงกระแทกกับก้อนหินก้อนใหญ่ ดีที่หัวไม่กระแทก น้ำอบขยับตัว หญิงสาวหลับตาตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ เสียงรถสตาร์ทเครื่องและขับออกไปแล้ว เธอไม่ได้หันไปมอง พยายามช่วยเหลือตัวเอง ฝนก็ช่างเป็นใจ ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา
น้ำอบพยายามเก็บของทั้งหมด ค่อยตะกายขั้นมาไว้ที่ไหล่ทาง เหลือจักรยาน เลือดก็ไหลไม่หยุด ดูแผลแล้วน่าจะต้องเย็บ เธอล่วงไปที่กระเป๋าเล็กด้านหน้าของผ้าถุงที่ใส่ โชคดีที่ติดผ้าเช็ดหน้ามาด้วย จัดการมัดเพื่อแผล ฝนก็ตกแรงมาก น้ำอบลงไปลากจักรยาน ค่อนข้างยาก เพราฝนตกตลอด เรียกว่าตกหนักเลย แต่สุดท้าย เธอก็ลากจักรยานขึ้นมาไว้บนไหล่ทางได้สำเร็จ กรรณญาวีร์ ถึงกับทรุดตัวลงนั่ง อีกครั้ง เริ่มรู้สึกเจ็บข้อศอก เลือดไหลไม่หยุดเลย
ทั้งน้ำตา ทั้งน้ำฝนไหลรวมกันไปหมด หญิงสาวร้องไห้ออกมา อย่างสุดกลั้น นี่เวรกรรมอะไรของเธอกันแน่ ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วเธอต้องทำยังไงต่อไป น้ำอบพยายามลุกขึ้น จักรยานยังใช้ได้ดี คอเอียงนิดหน่อย น่าจะกระแทกกับก้อนหินก้อนใหญ่ ดีเหมือนกัน ฝนตกลงมาแรง ชะเอาเศษดิน เศษใบไม้ออกจากตัวเธอ น้ำอบเดินหน้าจูงรถกลับบ้าน ขี่ไม่ได้หรอก ฝนตกแรงแบบนี้ ไม่มีแรงปั่นหรอก หลวงพ่อ น้ำอบยื่นนิ่ง หลวงพ่อเคยบอกไว้ให้ระลึกถึงท่าน น้ำอบหยุดยืนนิ่งท่ามกลางสายฝน หลับตานิ่ง ผ่านมาได้ก็ดีแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ หญิงสาวลืมตา ฝนเริ่มซาแล้ว เสียงแตรอีกแล้วแล้ว หญิงสาวถอนหายใจ “อะไรอีกล่ะ”
“ใครมา ฝนตกหนักขนาดนี้”ปู่เปลวเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นรถกระบะมาจอดหน้าบ้านใจของชายชราเริ่มไม่ดี เขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เห็นว่าเป็นความตั้งใจของหลานสาว ที่อยากไปทำบุญ ก็เลยไม่อยากขัด ได้แต่เภาวนาไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น"รถคุ้นๆนะย่า" ชายชรากดรีโมทเปิดประตู“อ้าวนั่น แม่อรพิณกับลูกนี่ มาได้ยังไงกัน เอ๊ะ....”“ใจเย็นๆ ย่านิ่งไว้นะ นิ่งไว้”ปู่เปลวหันมากำชับภรรยาไ่ม่มีอะไรแล้ว หลานเรากลับบ้านแล้ว แค่รอดูว่ามากหรือน้อย“สวัสดีค่ะลุงเปลว ป้าปราง ฉันพาหนูน้ำอบมาส่งจ๊ะ พอดีเจอกลางทาง จักรยานลื่นล้ม เลยพาไปทำแผลที่อนามัยมาแล้วจ๊ะ “ นางอรพิณ และพุดกรอง ยกมือไหว้ และรีบบอกเจ้าของบ้านทั้งสองคน ถึงการมาของนางและลูกสาว"พุดกรอง ช่วยประคองน้ำอบลงมาทีลูก พาขึ้นบ้านเลย เดี๋ยวค่อยมาเอารถจักรยานลง"“ไหว้พระเถอะ แม่อรพิณ มาๆเข้ามาก่อน โอ้ย
“น้ำอบๆๆ” เสียงพุดกรองนี่นา หญิงสาวหันหน้าไปทางเจ้าของเสียง พุดกรองกับคุณป้าอรพิณ น่าจะเพิ่งกลับจากวัด น้ำอบยังร้องไห้และสะอื้นอยู่ สภาพเธอตอนนี้คงน่าสงสารมาก“น้ำอบเป็นอะไร” พุดกรองกางร่มลงมาจากรถ “น้ำอบนี่เลือดนี่ โอ้ยตายแล้ว” พุดกรองร้องเสียงดังแข่งกับฝน เมื่อเห็นเลือดที่แขนของน้ำอบ ที่ขาก็มี ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ” ขึ้นรถๆ เร็วตายแล้ว ทำไมเป็นแบบนี้” พุดกรองประคองน้ำอบไปขึ้นรถ ดีที่วันนี้เธอใช้รถกระบะ 4 ประตู“เดี๋ยวก่อนพุดกรอง อบช่วย”“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวพุดทำเอง” พุดกรองเปิดกระบะท้าย แล้วยกรถจักรยานของน้ำอบขึ้นน้ำอบ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก นางอรพิณจับมือของน้ำอบมากุมไว้ ลูบหลังลูบไหล่ของน้ำอบ เมื่อเห็นเด็กสาวร้องไห้และสะอื้นไม่หยุด นางดึงตัวของน้ำอบเข้ามากอดไว้ นั่งยิ่งทำให้ หญิงสาวสะอื้นจนตัวโยนพุดกรอง เลือดไหลใหญ่แล้วลูก แวะอนามัยก่อนเลย โรงพยาบาลไกลเกินไป นางสั่งลูกสาว“ได้ค่ะแม่ อดทนนิดนะน้ำอบ เลี้ยวข้างหน้านี่ก็ถึงแล้วล่ะ” พุดกรองพยายามบังคับรถท่ามกลา
เขาไม่พอใจหลวงลุง แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ยุคสมัยนี้แล้ว ยังงมงายอยู่ได้ เขาไม่อยากโวยวายให้แม่กับหลวงลุงเสียหน้าเฉยๆ เพราะยังไงชาวบ้านแถวนี้ก็นับถือหลวงพ่อกันทั้งนั้น หลวงพ่อที่เป็นลุงของเขา มีชื่อเสียงในเรื่องของการหยั่งรู้ เรื่องราวในอดีต อภินิหาร อะไรประมาณนั้นแต่หลวงลุงไม่ได้แสดง หรืออวดอุตริอะไร มีคนดังมีชื่อเสียงหลายคนที่มาหาหลวงลุง ให้ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้ ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ทันทีทันใด หลวงลุงจะคอยแนะนำให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ คิดดีทำดี คนส่วนมากที่ทำตามที่หลวงพ่อบอก ประสบผลสำเร็จ แล้วกลับมาสร้างและบูรณะวัด มากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลาหลังใหม่ เมรุ กุฎิ ห้องน้ำ เงินที่ลูกศิษย์ลูกหาถวายมา ท่านก็ปรับปรุงวัดแต่ถามว่าเขาเชื่อไหม เขารู้สึกเฉยๆ แต่ก็เกรงใจท่านอยู่บ้าง หลายครั้งที่สมัยเขาเป็นหนุ่มน้อย ดวยนิสัยของเขาไม่เคยยอมและลงให้ใคร มีเรื่องตีรันฟันแทง กับคู่อริเป็นประจำ ครั้งนั้น เขาไปต่างถิ่นคนเดียว โดนคู่อริยกพวกไล่ล่า เขาขับรถหนี ด้วยความเร็ว ทำให้รถคว่ำ เขาสลบคาที่ คราวนั้นครอบครัวเขาคิดว่าเขาไม่รอด เขาสลบไปเกือบเดือนมันเหมือนความฝัน เขาเดินเข้าป่าลึก
“ไปหนูน้ำอบ ไปใส่บาตรกันลูก” นางอรพิณ แตะที่แขนของกรรณญาวีร์ ให้ลุกไปใส่บาตร“ค่ะคุณป้า “หญิงสาวลุกขึ้น ถือขันข้าวสวยเพื่อไปใส่บาตร น้ำอบเตินตามนางอรพิณไป และต่อหลังเพื่อรอใส่บาตร น้ำอบเพิ่งสังเกตว่าคนเยอะมาก เธอนั่งข้างหน้า และไม่ได้หันมามองข้างหลังเลย ระหว่างที่ยืนรอใส่บาตรนั้นเอง เสียงผู้หญิงเรียกชื่อน้ำอบ“น้ำอบ น้ำอบใช่ไหม มาวัดด้วยเหรอ ดีจริง “กรรณญาวีร์ หันไปตามเสียงเรียกจากทางด้านหลัง ผู้หญิงคนที่เธอเหยียบเท้าอยู่ในเซเว่นนี่นา จำได้ล่ะ ชื่อพุดกรอง สวยจัง พุดกรองใส่ๆๆชุดคล้ายของน้ำอบเลย แต่เสื้อคนละสี “สวัสดีจ๊ะ พุดกรองมาวัดด้วยเหรอ น้ำอบไม่เห็นเลย ““กรองมารอบสองจ๊ะ เมื่อเช้ามาส่งแม่ แล้วก็กลับไปเปิดร้าน แล้วก็รีบมานี่แหละ”ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ“อ้าว สองสาว รู้จักกันแล้วเหรอลูก” เสียงนางอรพิณ ดังขึ้นๆๆๆๆๆๆๆๆ“ค่ะแม่ เมื่อวานกรองเจอน้ำอบที่เซเว่นค่ะ บังเอิญมาก น้ำอบเหยียบเท้ากรอง เลยได้รู้จักกันค่ะ”“ดีๆ แล้วลูก รู้จักกันไว้ดีแล้ว มาๆ เตรียมใส่บาตรรกันเถอะลูก”ๆๆๆๆ“กรองใส่บาตรกับน้ำอบก็ได้นะ ข้าวน้ำอบเต็มขันเยอะมากเลย”“ได้เลย ขอบใจนะน้ำอบ “สองสาวใส่บาตรข้าวสวยด้วยกัน เสร็จแล้วก็
น้ำอบชอบอากาศตอนเช้าที่นี่จังเลย เงียบ มีแต่เสียงนก สายลมเย็นพัดผ่านปะทะตัว หอมดอกการเวกลอยมาจากซุ้มหน้าบ้าน ห้องนอนของน้ำอบอยู่ฝั่งติดประตูหน้าบ้าน เปิดหน้าต่างปุ๊ป ได้กลิ่นหอมชื่นใจมาก ทำให้เช้านี้สดชื่น ตื่นตัวดีจัง บ่ายนี้คาดว่าฝนตกอีกแน่ๆหญิงสาวลุกตั้งแต่ตีห้า ปู่กับย่าน่าจะยังไม่ตื่น เธอรีบหุงข้าว ทำกับข้าว แบ่งไว้ให้ปู่กับย่า สำหรับมื้อเช้า และกลางวัน เธอตั้งใจว่าหลังจากเสร็จจากถวายข้าวพระเสร็จแล้วจะกวาดลานวัด และล้างห้องน้ำต่อ กว่าจะกลับก็คงบ่ายๆ วันนี้น้ำอบทำกับข้าวสามอย่าง แบ่งไปวัด ข้าวสวย แกง ขนมหวาน น้ำเปล่า ธูป เทียน ดอกไม้ จัดเตรียมลงตะกร้าหวายใบย่อมขนาดกำลังดีหลังจากเตรียมของเสร็จ หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เธอเลือกใส่ผ้าถุงปาเต๊ะที่ตัดเป็นผ้าถุงสำเร็จ ยาวถึงตาตุ่ม ใส่เสื้อลูกไม้สีครีม แบบเรียบแต่ไม่เชย เข้ารูปแขนสั้น ที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อวาน ปล่อยผมยาวตามธรรมชาติ น้ำอบสูง 175 สำหรับผู้หญิงไทยคือสูง ผอม แต่หุ่นดี มีหน้าอก มีเอว สะโพกผาย เธอรู้ว่าตัวเอง รูปร่างหน้าตาดี เลยไม่ค่อยชอบแต่งตัวเท่าไร ปล่อยตามธรรมชาติ จะแต่งหน้าแต่งตัว ก็เฉพาะงานสำคัญเท่า
เหมือนฝนจะตกเลย อากาศที่นี่ไม่น่าไว้ใจเหมือนที่ย่าว่าไว้ เมฆสีดำลอยอยู่ข้างหน้า น้ำอบกะว่าไม่น่าจะรอดแน่ๆ เธอปั่นจักรยานออกจากตลาดมาเรื่อยๆ อีกไม่เกิน 2 กิโลเมตรก็ถึงบ้าน หาที่หลบฝนดีกว่า น้ำอบแวะร้านกาแฟข้างทาง เมื่อตอนที่เธอปั่นจักรยานไปตลาด ร้านกาแฟจะอยู่ขวามือ กินกาแฟเวลานี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก เพิ่งจากบ่ายโมงกว่าๆ เธอหลับง่ายอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร ได้หลบฝนด้วยดีที่เธอแวะไปที่ร้านซ่อมรถ ตามที่ปู่สั่ง มัวแต่ซื้อของเพลิน เกือบลืมไปเลย วันหลังต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ถ้าอีก 1 ชัวโมงฝนยังไม่ซา เธอคิดว่าจะใส่เสื้อกันฝน ปั่นจักรยานฝ่าฝนไป“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับ เชิญเข้ามาก่อนครับ ฝนจะตกแล้ว เอาจักรยานเข้ามาจอดใต้หลังคาได้นะครับ เดี๋ยวจะเปียก”เด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มทีเดียว เปิดประตูให้เธอ“จอดได้เหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ น้ำอบออกไปเข็นจักรยานขึ้นมาจอดใต้หลังคา ตามคำเชิญของคนในร้าน เดาเอาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน”“นั่งตามสบายนะครับ วันนี้ฝนมาเร็ว แต่ตกไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวก็หยุด”“ขอเอสเปรสโซ่เย็นแก้วนึงค่ะ &l