“เห็นนะรูปที่ลงในไอจีอะ” มนเอ่ยแซวยามที่ลงมานั่งที่โต๊ะเรียนข้าง ๆ กับฉัน ฉันได้แต่ส่งยิ้มอย่างอวดดี
“ถือว่าเป็นเดตแรกเลยปะเนี่ย” นิดาเอ่ยต่อ “พี่เขาชวนถ่ายรูปเองจริงปะ”
“พี่เขาบอกว่าขอถ่ายไว้เป็นความทรงจำอะ”
“ความทรงจำหรือว่ามีใจอะ” มนกล่าวพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“บ้า” ฉันก้มหน้าลงด้วยความเคอะเขิน ก็มันอดคิดไม่ได้จริง ๆ เนี่ย
“แล้วแกไม่คิดจะจีบพี่ธีร์หรือไง โอกาสมาถึงแล้วนะเว้ย” นิดาเอ่ย
“เราไม่จีบอะ”
“อ้าว ไม่ใช่เวลามาเขินนะเว้ย เดี๋ยวก็โดนคาบตัดหน้าไปหรอก”
“เราไม่ชอบจีบเองอะ เราถนัดเอาตัวเองไปอยู่ในสายตาเขามากกว่า” ฉันยักไหล่พลางพูดกับเพื่อนสาว
“แผนนี้ต้องมั่นใจว่าเขาจะชอบกลับนะถึงกล้าทำ” นิดาว่าพลางหัวเราะคิกคัก
“แต่ฉันมั่นใจนะว่าพี่หมอต้องแอบมีใจให้ยายวิแน่ ๆ ดูจากการเป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจโคตร ๆ”
“เขาอาจจะแค่เป็นสุภาพบุรุษเฉย ๆ ก็ได้ไง”
“ขอบคุณนะที่พูดให้เราใจชื้นขึ้นช่วยได้เยอะเลย” ฉันประชดเพื่อนสาว
“นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง ถ้าแกอยากรู้ว่าพี่หมอชอบแกหรือเปล่าอะนะ” มนว่าพลางกระดิกมือให้ฉันเอาหูเข้ามาใกล้ “แกต้องทำให้เขาเสียอาการ”
“ทำยังไง”
“ก็ทำอะไรก็ได้ให้เขาเขินอะ ถ้าเขาออกแนวรังเกียจก็แปลว่าไม่ใช่ละ” ฉันหรี่ตามองมนด้วยสายตาเอือมระอา
“แล้วถ้าพี่เขาเกลียดเราอะ”
“ใครจะกล้าเกลียดแกวิ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นใครเกลียดแกเลยสักครั้ง”
“ไหนการบ้านที่พี่สั่ง” พี่ธีร์แบมือเป็นอันดับแรกเมื่อฉันเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามในห้องสมุดตึกคณะแพทย์ฯ ที่รายล้อมไปด้วยนักศึกษาที่พากันนั่งอ่านหนังสืออย่างขยันขันแข็ง
“เสร็จแล้วค่ะ” ฉันวางสมุดในมือหนา “หนูนั่งทำตั้งนานแน่ะ”
“ไหนดูสิครบหรือเปล่า” พี่ธีร์ว่าก่อนจะเปิดสมุดออกดู “หัวข้อครบแต่เนื้อหาเดี๋ยวพี่ค่อยไปดูอีกที”
“ไม่ต้องตรวจละเอียดมากก็ได้ค่ะ หนูเรียนวิศวะคอมฯ นะ ไม่ได้เรียนวิศวะฯ เคมี”
“แล้วทำไมถึงดูจริงจังกับวิชาเคมีนัก” ดวงตาคมจ้องมาที่ฉันอย่างจับผิดจนฉันรีบหลบสายตาทันที ในหัวพลันคิดข้ออ้างมากมายเพื่อไม่ให้พี่เขารู้ว่าฉันหาทางเข้าใกล้เขา
“หนูลงวิชาทางเลือกเสรีค่ะ เลยต้องสอบให้ผ่าน”
“ไม่ชอบแล้วไปลงทำไม ทำไมไม่เลือกวิชาที่ตัวเองถนัดล่ะ” พี่ธีร์เอ่ยถาม
“ก็หนูอยากลองนี่คะ พี่ธีร์อย่าถามเยอะสิ” ถ้าถามเยอะกว่านี้คงจะหลุดว่าเพราะอยากอยู่ใกล้พี่นั่นแหละ
“อ่า ๆ ไม่เซ้าซี้แล้ว งั้นวันนี้เรามาติวเรื่องนี้ต่อแล้วกัน พื้นฐานเลยโครงสร้างของอะตอม”
“ค่ะ” ฉันตั้งใจฟังที่พี่ธีร์อธิบายออกมาอย่างสนอกสนใจ ในแววตาของคนพี่มันบ่งบอกว่าเขามีความสุขเมื่อได้พูดถึงวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับฉันเสียมากกว่า
หลังจากที่พวกเราเรียนมาจนเกือบจะครบหนึ่งชั่วโมง ฉันเริ่มที่จะอ่อนล้าเต็มทีก่อนที่พี่ธีร์จะบอกว่าวันนี้พอก่อนก็ได้ ฉันเลยถือโอกาสเอนกายพิงพนักเก้าอี้เพื่อพักผ่อน
“วันนี้ดูมีสมาธิขึ้นนะ ที่พี่พาไปติวนอกสถานที่คงจะได้ผลสินะ” พี่ธีร์ยกยิ้ม
“เลือกได้คงอยากไปเที่ยวบ่อย ๆ มากกว่าค่ะ” ฉันเอนตัวกลับมานั่งหลังตรงพลางทอดสายตาหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังก้มเก็บของบนโต๊ะใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังของตน
มีบางอย่างแปลกตาไป ตรงท้ายทอยเหนือคอปกเสื้อเชิ้ตสีขาวของชุดนักศึกษากลับมีรอยแดง ๆ ราวกับผิวระคายเคืองและบางสิ่งที่หายไป รอยสักรูปตาข่ายดักฝันร้าย
“พี่ธีร์ไปลบรอยสักมาเหรอคะ”
“อ๋อ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของตัวเอง ใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจเล็กน้อย “ปีหน้าพี่ต้องเข้าเวรแล้วเลยคิดว่ารอยสักนอกร่มผ้ามันไม่ค่อยดูน่าเชื่อถือสักเท่าไร”
“น่าเสียดายจัง หนูชอบรอยสักของพี่มาก ๆ เลย” ฉันว่าอย่างเสียดาย ต่างจากหนุ่มรุ่นพี่ที่มองฉันค้างไปเลย
“ชอบเหรอ”
“ค่ะ ทำไมเหรอคะ มันก็สวยดีออก อีกอย่างสักตรงนั้นก็คงจะเจ็บมากมันก็คงจะมีความหมายกับพี่มากเหมือนกันใช่ไหมคะ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย
“พี่ลบไปแค่จุดเดียวน่ะ อีกจุดยังอยู่”
“รูปดอกไม้ที่ต้นแขนน่ะเหรอคะ ถึงหนูจะไม่รู้ก็เหอะว่ามันคือดอกอะไร”
“จำได้ด้วยเหรอ” พี่ธีร์มองฉันด้วยความตกตะลึง พอฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหนุ่มรุ่นพี่ก็ถึงได้คืนสติว่าตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป
จำได้ทุกรายละเอียดขนาดนี้ ไม่ต่างอะไรจากการบอกชอบเลยไม่ใช่หรือไง
“เอ่อ... หนู... หนูเป็นคนชอบรอยสักน่ะค่ะ” ฉันรีบเฉไฉไปด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ ถ้าเกิดว่าพี่เขาไม่ได้ชอบฉันขึ้นมา มีหวังแผนล่มไม่เป็นท่า
“ดอกโบตั๋นน่ะ”
“คะ?”
“รอยสักที่ต้นแขนพี่ มันคือดอกโบตั๋น”
“ดอกโบตั๋น เท่จังเลย” ฉันว่าด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ไว้พี่จะเล่าให้ฟังวันหลังนะ แต่วันนี้พี่ต้องไปทำงานที่บาร์ก่อน” พี่ธีร์ว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางทอดสายตาลงมองต่ำมาทางฉันที่นั่งอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่กลับพร้อมพี่เหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไปค่ะ” ฉันตอบรับทันทีก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเดินตามคนพี่ออกไป
หลังจากที่พี่ธีร์พาฉันมาส่งที่หอตามเดิม ฉันส่งคืนหมวกกันน็อกคืนให้กับเจ้าของ
“สู้ ๆ นะคะพี่ธีร์”
“ขอบใจนะ” พี่ธีร์ยิ้มรับยิ่งส่งให้ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์เข้าไปอีก “เธอก็อย่านอนดึกมากล่ะ”
“พี่เองก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างนะคะ ทำงานหนักจนจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ
“ครับ พี่ไปก่อนนะ ฝันดีล่ะ”
“ค่ะพี่ธีร์” พี่ธีร์ขี่รถออกไปจากหน้าหอก่อนที่ฉันจะหันหลังกลับเข้ามา
“โอ้โห หวานเจี๊ยบ” มนยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้าหอด้วยสีหน้าหมั่นไส้
“ฟีลแฟนขนาดนี้ เรียกไม่ชอบกันได้เหรอคะ” นิดาเสริมทัพยิ่งทำเอาฉันใบหนาแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“พวกแกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็อยากมาเห็นกับตาว่าตอนเขามาส่งแกมันหวานแค่ไหน เพราะป้าดูแลหอเขาเม้าท์มาว่าพวกแกแอบคบกันชัวร์” มนว่าพลางพยักพเยิดหน้าไปทางป้าเฝ้าหอพักที่กำลังนั่งทาแป้งขาวเตรียมเข้านอน
“หวานอะไรกัน ก็แค่ตามมารยาทปะ”
“แหม ทีกับฉันไม่เห็นทำเสียงหวานแบบนั้นบ้าง” นิดาว่าน้ำเสียงตัดพ้อตีหน้าเศร้าอย่างกับลูกหมาหูตก
“เราง่วงแล้วอะ ขึ้นไปนอนก่อนนะ พวกแกก็อย่ากลับดึกให้มันมากนอนดึกเดี๋ยวก็หน้าแก่ไวหรอก”
“แล้วแกว่าพี่หมอแกน่าแก่บ้างปะล่ะ”
“ไม่อะ นั่นเขาเรียกว่าหน้าหล่อ” ฉันยักคิ้วใส่เพื่อนรักทั้งสองก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปหลบฝ่ามืออรหันต์ของมนที่เตรียมง้างตีอย่างเช่นทุกที
“ยายวิ เดี๋ยวนี้แก่แดดนักนะเรา”
พาร์ตพี่ธีร์
“มึงทำอะไรวะ” ลินเพื่อนสาวผมเอ่ยถามขณะที่ในปากยังคงอมอมยิ้มเพื่อเติมความหวานให้ร่างกาย
“ทำชีตสรุปอะ”
“ปกติมึงอ่านแค่เลกเชอร์ก็ทำข้อสอบได้แล้ว ไม่เห็นต้องสรุปอย่างนี้เลย” อชิเพื่อนชายเจ้าของแว่นหนาเตอะว่าอย่างสงสัย
“นั่นดิ จัดโคตรเป็นระเบียบ โคตรไม่สมกับธีร์เลย” ลินว่าทั้งที่สายตาไม่ละไปจากหน้ากระดาษสรุปของผมที่ผมตั้งใจนั่งทำเมื่อคืนจนใต้ตาหมองคล้ำ
“คนที่กูติวให้เขาดูไม่รู้เรื่องอะ”
“มึงรับติวให้ใคร รุ่นน้องตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่มาหามึงเมื่อวันนั้นปะ” ลินถามด้วยแววตาเป็นประกายก่อนที่ผมจะแย่งกระดาษมาจากมือของเพื่อนสาวก่อนจะจัดให้เรียบร้อยแล้วเก็บใส่กระเป๋า
“คนนั้นแหละ แล้วอย่าไปคิดหม้อน้องเขาด้วย”
“มึงมองเพื่อนมึงเป็นคนยังไงว้า ของเพื่อนกูไม่ยุ่งนะเว้ย นอกเสียจากว่ามึงจะไม่ชอบน้องเขา” ผมช้อนสายตามองค้อนใส่หญิงสาว ผมรู้ดีว่าเพื่อนผมมันเป็นไบเซ็กชวลแต่เอนเอียงมาทางชอบผู้หญิงมากกว่า เห็นมันสวย ๆ แบบนี้แม่งจ้องแต่ผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างน้องวินี่ก็ตรงสเป็กมันเลย
“ไอ้อชิ มึงมาเก็บเมียมึงเลย” ผมหันไปมองอีกคนที่นั่งหน้านิ่งภายใต้กรอบแว่น
“อะไรใครเมียมัน อย่างมันเนี่ยนะ” ลินถามเสียงสูง
“เขาว่าเกลียดยังไงก็ได้อย่างนั้นแหละ กูไปก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะสะพายกระเป๋าพาดบ่า
“มึงยังไม่ตอบกูเลยว่ามึงชอบน้องวิไหม”
“ต่อให้กูจะชอบหรือไม่ชอบ แต่คนนี้กูว่ามึงอย่ายุ่งเลย เสียเวลาเปล่า”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ปะ” ลินยักคิ้ว
“แต่น้องเขาชอบไอ้...” หญิงสาวรีบเอามือมาปิดปากของหนุ่มเนิร์ดไว้
“ชอบใครวะ?” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยจากที่กำลังจะก้าวเดินออกไปก็ชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมามองเพื่อนทั้งสองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“สนใจอย่างนี้ มีใจอะดิใช่ปะ” ลินจ้องมองผมอย่างจับผิด
“ไม่คุยกับมึงแล้ว จะทำอะไรก็ทำก่อนที่จะโดนคาบไปกิน”ประโยคหลังผมตั้งใจหันมามองไอ้อชิที่เอาแต่นั่งตีหน้าซื่อไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“เออน่า” ลินปล่อยมือออกจากอชิ ผมเลยถอนหายใจแล้วเดินออกไปจากตึกเรียน
วันนี้ผมปวดเมื่อยไปทั้งตัว คงจะเป็นอาการล้าสะสมจากการทำงานอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ร่างกายผมคงใกล้ถึงลิมิตแล้วจริง ๆ
ฟุบ
ร่างสูงของใครบางคนตั้งใจเดินชนไหล่ของผมอย่างแรงจนผมต้องหันหน้าไปมอง ใบหน้ายียวนของคนที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ขอโทษว่ะ พอดีมองไม่เห็นนึกว่าไม่มีใคร” รันเวย์พูดพลางปั้นสีหน้ายั่วโมโห
“ชนก็ดี จะได้หัดใช้ตาให้มีประโยชน์บ้าง” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วหันกลับไปเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กที่ต้องต่อกรกับไอ้ลูกบ้านรวยเอาแต่ใจอย่างไอ้รันเวย์ มันทำได้แค่ปากเก่งเพื่อข่มเรื่องที่มันมักจะแพ้ผมไปเกือบทุกด้าน
“การแข่งครั้งหน้า มึงอย่าหวังจะได้ลงสนามเลย” ผมเค้นเสียงหัวเราะก่อนจะหันใบหน้ากลับมามองเพียงเสี้ยวหนึ่ง
“มึงกลัวว่าถ้ากูลง ยังไงมึงก็แพ้มากกว่ามั้ง” ผมเห็นสีหน้าเดือดดาลของมันเพียงครู่เดียวแล้วเดินออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
ตั้งแต่งานหมั้นฉันก็ผันตัวมาเป็นแม่บ้านแบบเต็มตัว จะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่องานมีปัญหาแล้วทำงานอยู่ที่บ้านแทนเพราะจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ธีร์มากขึ้น ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบจะเข้าปีที่สาม “กลับบ้านแล้วเหรอคะ” วันนี้พี่ธีร์เลิกเวรค่อนข้างดึก ฉันนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านของพี่ธีร์เพื่อรอให้แฟนหนุ่มกลับบ้าน พ่อให้พี่ธีร์มาประจำการที่คลินิกใหญ่ในกรุงเทพฯ พวกเราเลยได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างเวลาที่พี่ธีร์เลิกงาน “อื้อ นั่งรอพี่เหรอ” “ค่ะ พี่ธีร์ทานอะไรมาหรือยังเดี๋ยวหนูอุ่นกับข้าวให้นะ” “ครับ แต่วิต้องทานเป็นเพื่อนพี่นะ” “อื้อ” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปอุ่นอาหารในห้องครับโดยมีพี่ธีร์เดินตามเข้ามาเพื่อช่วยก่อนที่พวกเราจะมานั่งทานอาหารที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน “วันนี้ที่คลินิกเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่เรานั่งทานอาหารด้วยกัน “วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษเลย เป็นช่วงวันหยุดด้วย ยิ่งเยอะไปใหญ่” พี่ธีร์ถอนหายใจเพื่อไล่ความเมื่อยล้าแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็
เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากที่เราทั้งสองตกลงคบกัน นี่ก็ปามาปีที่สี่ของการคบกัน ฉันเรียนจบก่อนพี่ธีร์จนออกมาทำงานในบริษัทในเครือของพ่อ ส่วนพี่ธีร์ที่เพิ่งจบออกมาได้หมาด ๆ ก็ต้องไปทำงานเพื่อใช้ทุนตามข้อตกลงที่ต้องไปประจำการที่โรงพยาบาลตามต่างจังหวัด เรามีโอกาสได้เจอกันน้อยลง ถึงแม้แต่จะติดต่อกันไม่ขาด แต่ยอมรับเลยว่าฉันคิดถึงพี่เขาเอามาก ๆจนในที่สุดเวลาเราก็ตรงกัน ไหน ๆ เราก็คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฉันเลยคิดว่าถึงโอกาสแล้วที่พ่อกับแม่จะต้องได้เจอกับพี่ธีร์สักที แม้ที่ผ่านมาพวกท่านจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ธีร์แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที “พี่โอเคหรือยัง” พี่ธีร์เอ่ยถามฉันเป็นรอบที่สิบของวันนี้ ชายหนุ่มแสดงอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉันเอื้อมมือไปจัดผมของคนพี่ที่ยุ่งเหยิงเพราะหมวกกันน็อก “ดูดีแล้วค่ะ เข้าบ้านกัน” ฉันสิ่งยิ้มหวานให้อีกคนได้ผ่อนคลายก่อนจะจูงมือพี่ธีร์เดินเข้ามาในตัวบ้าน คุณแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน แต่ก่อนแม่ก็ไม่โอเคนักที่ฉันไม่ได้ชอบพี่รันเวย์คนที่
เราทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในเต็นท์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงบรรยากาศรอบข้างที่เป็นป่าตีนภูเขายิ่งทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ฉันกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน “พี่ธีร์คะตรงนี้จะดีจริง ๆ เหรอ หนูรู้สึกแปลก ๆ” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมจนลามมาถึงใบหู ในใจสั่นระรัวราวกับว่าเลือดลมกำลังสูบฉีดเป็นอย่างดี “ตื่นเต้นดีใช่ไหมครับ” พี่ธีร์ไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วเลยถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ความมืดในเต็นท์ไม่ได้เป็นอุปสรรคของพวกเราเลย แต่ความแคบเนี่ยสิที่เป็นอุปสรรค “ระวังเต็นท์สั่นนะคะ” ฉันแอบเห็นชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากก่อนจะเข้ามาคลอเคลียที่ลำคอขบเม้มเล็กน้อยแล้วไล่ลงมาจนถึงเนินอกขาวไร้อาภรณ์ปิดบัง จังหวะของหัวใจฉันเต้นถี่กระชั้นเสียจนเหมือนจะระเบิดออกมา ลมหายใจที่รินลดบนผิวหนังของฉันย้ำเตือนว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ยอดอกของฉันถูกครอบครองด้วยลิ้นอุ่นก่อนที่สติของฉันมันจะเริ่มขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเลยน
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะแสงไฟที่ส่องสว่างจนแยงตา ดวงตาเคลื่อนไปมองบานหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้รับลมเพราเมื่อคืนไฟดับจนไม่มีพัดลมคอยเปิดเพื่อระบายความร้อน ฉันยันตัวเองขึ้นมานั่งพลางบิดขี้เกียจจากอาการเมื่อยล้า ความโล่งประหลาดทำเอาฉันต้องก้มหน้ามองเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของตัวเองแล้วหน้าแดงแจ่ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทีตอนทำไม่รู้จักอายยายวิเอ๊ย ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกาย พี่ธีร์นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขึ้นมาสวมใส่แล้วเดินตรงไปอาบน้ำ หลังจากที่ทำร่างกายให้สดชื่นแล้วฉันก็เดินลงบันไดมาที่ห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นออกดู ในตู้เย็นโล่งโจ้งมีเพียงแผงไข่ไก่ อยากซื้อของมาเติมจัง ไม่เป็นไรทำไปก่อนแล้วกัน ฉันหยิบแผงไข่ไก่ออกมาก่อนจะเริ่มทำอาหารเช้าทันที เห็นอย่างนี้ฉันก็ทำอาหารเป็นนะ สกิลเด็กหอไง ผ่านไปสักพักหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้าเหยียบลงมาจากบันไดก่อนที่พี่ธีร์จะเดินเข้ามาในห้องครัว “ทำไรกินเหรอ” พี่ธีร์เดินงัวเง
วันนี้เพื่อน ๆ ของฉันชวนมาเที่ยวส่งท้ายเทอมที่ผับของรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว ซึ่งก็เป็นผับเดียวกันกับที่ที่พี่ธีร์ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ ฉันเลยถือโอกาสมาเช็กซะเลยว่าพี่ธีร์ของฉันจะฮอตสักแค่ไหน “รับอะไรดีครับคุณลูกค้า” พี่ธีร์ส่งยิ้มพราวเสน่ห์มาให้ฉันที่นั่งอยู่ตรงริมสุดของเคาน์เตอร์ แพรวพราวชะมัด “มาตินีหนึ่งแก้วค่ะ” ฉันยกยิ้มมุมปากก่อนที่พี่ธีร์จะหันไปจัดตามที่ฉันบอก ฉันทอดสายตามองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม คนอะไรครบเครื่องชะมัด ฉันเดินมาตามทางเดินที่มีแสงไฟหลากสีสาดส่องไปมาเพื่อมุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำ วันนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาตาเท่าไรเลยไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่านไปมาชวนปวดหัว แต่แล้วก็มีแรงกระชากที่ข้อมือก่อนจะดันให้ฉันติดกำแพง “พี่รันเวย์” ฉันเรียกชื่อของอีกคนเสียงตื่น แต่คนพี่ก็ยกนิ้วขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของฉันไว้เพื่อบอกใหฉันเงียบลง “น้องวิ พี่วานอะไรหน่อยได้ไหม” พี่รันเวย์มองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง “ช่วยแกล้งเป็นแฟนพี่ทีได้ไหม” “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” ฉันรีบดันให้
“หงอยเลยอะดิ พี่ธีร์ไปค่ายแค่สามวัน นั่งหงอยเหมือนไม่เคยตัวห่างกันเลยเนอะ” นิดาเอ่นแซวเมื่อเห็นว่าฉันนั่งเขี่ยข้าวในจานด้วยความเบื่อหน่าย พี่ธีร์ไปค่ายอาสากับทางคณะตั้งสามวันแล้ว ขึ้นไปบนเขาไม่มีสัญญาณติดต่อกลับมาก็ไม่ได้ “แผลเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฉันบ่นพึมพำกับสองเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “สติค่ะสาวค่ายคณะแพทย์ฯ แปลว่าอะไรคะ แปลว่ามีหมอเต็มไปหมดค่ะ ยิ่งกว่าแขกวีไอพีอีกนะ หมอล้อมขนาดนั้นอะ” มนตอกย้ำสติหลุดลอยของฉันให้กลับคืนมา “จริงด้วย พี่ธีร์เรียนหมอนี่” “แกลืมไปแล้วเหรอว่าแฟนแกเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วแกลืมไปหรือเปล่าว่าแกเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่พยาบาล เก่งจังนะดูแลผู้ชายเนี่ย” นิดาเข้ามาซ้ำเติมเพิ่มอีกคน “แล้วเวลาแฟนแกป่วยแกไม่อยากดูแลหรือไง ขนาดพี่คิณเมื่อยยังไปนวดให้เลย แกเป็นหมอนวดเหรอ” “เจ็บแสบมาก รู้เลยว่าได้ความปากแจ๋วมาจากใคร” นิดายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะแอบชำเรืองหางตามามองทางมนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับเธอ “นี่ยายวิ พี่ธีร์เขากลับเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ ยิ้มหน