เสียงคลื่นกระทบชายหาดดังซัดเข้ามาเป็นจังหวะเบา ๆ รับกับสายลมทะเลที่พัดพาเอากลิ่นไอเค็มอ่อน ๆ มาแตะจมูก ผู้คนจำนวนหนึ่งพักผ่อนกันอยู่รอบ ๆ โรงแรมหรูริมชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของการพักผ่อนตากอากาศ
บริเวณท่าเทียบเรือเล็กของ “โรงแรมฮีลอินไซด์” (Heal Inside) โรงแรมชื่อดังอันดับต้น ๆ ของเกาะเสม็ด เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางแย่งกันขึ้นไปนั่งบนเรือไม้เก่า ๆ ที่ผูกไว้กับเชือก พื้นเรือมีรอยแตกเป็นทางยาว แผ่นไม้ด้านข้างถูกน้ำทะเลกัดกร่อนจนเผยเนื้อผุพังออกมา หากมองเพียงผิวเผินก็คงคิดว่าเป็นเพียงเรือไม้ธรรมดา แต่คนที่ชินตากับทะเล ย่อมมองออกทันทีว่ามันไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย
“เฮ้ย! อย่าเล่นกับเรือลำนี้นะ มันผุแล้ว เดี๋ยวมันแตกกลางน้ำเอาหรอก!”
เสียงหญิงสาววัย 20ต้น ๆ รูปร่างผอมเพรียว สูงไม่เกิน 170 แต่ดูทะมัดทะแมน ผมยาวรวบหางม้า ก้าวฉับเข้ามาพร้อมตะโกนเสียงดุดัน เธอคือ รุ่งฟ้าสาง ลูกสาวคนโตของคนขับรถประจำตระกูลผู้เป็นเจ้าของโรงแรมนี้นั่นเอง
ดวงตาคมสวยของเธอจ้องเด็ก ๆ อย่างจริงจัง จนพวกเด็กที่เพิ่งหัวเราะสนุกสนานเมื่อครู่พากันนิ่งค้างไป ก่อนจะรีบกุลีกุจอวิ่งลงจากเรือ ทิ้งไว้เพียงเรือไม้เก่าที่โยกเยกตามแรงคลื่นเบา ๆ
“ไม่รู้หรือไงว่าของมันจะพังอยู่แล้ว ยังจะไปเล่นกันอีก! ถ้าเกิดโดนไม้ทับจะเป็นยังไงกัน” เธอบ่นตามหลังเด็ก ๆ อย่างหัวเสีย
ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มแฝงแววขี้เล่นก็ดังขึ้นจากด้านข้าง...
“โห…เสียงดังขนาดนี้ นี่คุณเป็นเจ้าของท่าเรือนี้หรือไง ถึงได้หวงเรือจนห้ามไม่ให้เด็ก ๆ เล่น?”รุ่งฟ้าสางหันขวับไปทันที ดวงตาเจอกับร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวพับขึ้นถึงข้อศอก กางเกงสีน้ำตาลอ่อนสบายตา ชายหนุ่มคนนั้นยืนยิ้มกวน ๆ อยู่ไม่ห่างนัก แววตาคมกริบจับจ้องมาเหมือนกำลังท้าทาย
หม่อมหลวงกฤติเดช ธิติวรารักษ์
“แล้วคุณเป็นใครเหรอ ถึงได้มายุ่ง วุ่นวาย แถวนี้ ถ้าไม่รูเรื่องอะไรก็อย่ามาจุ้นจ้านแถวนี้ดีกว่า” รุ่งฟ้าสางแค่นเสียงถาม ดวงตาจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้
กฤติเดชยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ผมก็แค่แขกที่มาพักที่นี่… เห็นคนมาข่มขู่เด็ก ๆ ที่กำลังเล่นกันสนุกสนาน ผมก็ไม่สบายใจเท่าไร”
“แขก?” รุ่งฟ้าสางเลิกคิ้วสูง “ก็ถ้าเป็นแค่แขกก็ไม่น่าจะต้องเข้ายุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริงดีกว่านะ” เสียงห้วน ๆ ของรุ่งฟ้าสางพูดโต้กลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
“อ้าว…แล้วผมต้องรู้เรื่องจริงอะไรอีกหรอ ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นก็คือคุณกำลังตะวาดแล้วไล่เด็กที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานออกไป ผมก็ต้องนึกว่าคุณเป็นเจ้าของหาดน่ะสิ”
“แล้วคุณไม่เห็นรึงัย ว่าเรือที่เด็กกำลังเล่นอยู่มันผุพังไปถึงไหนแล้ว ถ้ามันแตก หัก หรือหล่นมาล้มทับเด็กขึ้นมาจะเป็นยังไง คุณจะรับผิดชอบไหมล่ะ” รุ่งฟ้าสางสวนกลับไปอย่างทันควัน
กฤติเดชหัวเราะเบา ๆ “ผมก็ไม่ได้บอกให้พวกเด็กลงเรือสักหน่อย แล้วคุณจะมาเรียกหาความรับผิดจากผมได้ยังไง” พูดพลางทำสีหน้ายั่วยวนไปพลาง “ผมก็ไม่คิดว่าคนหน้ายักษ์จะมาเป็นห่วงเด็ก ๆ ได้” กฤติเดชทำพูดในลำคอ แต่ไม่วายที่รุ่งฟ้าสางก็ดันได้ยิน
“คุณ!” รุ่งฟ้าสางกำมือแน่น อยากเถียงกลับแต่ก็กลัวเสียงดังจนคนรอบ ๆ หันมามอง “มันไม่ใช่เรื่องน่าขำนะ คนอย่างคุณก็ได้แต่พูดแระ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ แน่ใจหรอว่าคุณจะรับผิดชอบ?” รุ่งฟ้าสางหันหนีไปทางเรือไม้ที่ยังโคลงเคลงอยู่ แต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว
กฤติเดชมองหน้าเธอเต็มตา ยิ่งเห็นเวลาหญิงสาวโกรธ ดวงตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวก็ยิ่งดูมีเสน่ห์จนเขาเผลอยิ้มมุมปากออกมา และยิ่งทำให้เขาอยากจะยั่วโมโหเธอขึ้นอีกเรื่อย ๆ
รุ่งฟ้าสางสูดหายใจแรง เธอพยายามกดอารมณ์ไม่ให้ปะทุออกมามากกว่านี้ เพราะไม่อยากเสียมารยาทต่อหน้าแขกของโรงแรม แต่ท่าทางกวนประสาทของชายแปลกหน้าตรงหน้ากลับทำให้ยิ่งหงุดหงิด
“คุณนี่มัน…” เธอเม้มปากแน่น “อยากจะลองดีใช่มั้ย?”
กฤติเดชหัวเราะเบา ๆ พลางกอดอก เอียงคอมองเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “เปล่าสักหน่อย แค่เห็นคุณจริงจังเกินเหตุ…มันก็น่าขัดคอเล่นเท่านั้นเอง”
“นี่มันเรื่องความปลอดภัยนะคะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!” รุ่งฟ้าสางจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง
“โอเค ๆ ถ้างั้น…” กฤติเดชทำท่าเหมือนยอมแพ้ แต่ปากยังไม่หยุด “งั้นต่อไปนี้ถ้าผมจะพูดอะไร ต้องขออนุญาตคุณเจ้าถิ่นก่อนรึเปล่า?
เมื่อกฤติเดชยังไม่ยอมหยุด ยังคอยพูดยียวนกวนประสานรุ่งฟ้าสางขึ้นอีก นั่นเลยทำเอารุ่งฟ้าสางแทบระเบิด ยิ่งคำว่า “เจ้าถิ่น” ทำให้เธอกัดฟันแน่นอย่างพยายามควบคุมตนเอง แต่คนตรงหน้ายิ่งพูด ยิ่งยั่วให้เลือดในกายสูบฉีด
“คุณนี่มัน…” เธอหรี่ตา “ปากดีนักนะ!”
เสียงกระแทกของเท้ารุ่งฟ้าสางที่ก้าวเข้าหา ทำเอาคนรอบ ๆ บริเวณท่าเรือเริ่มหันมามอง บางคนหยุดถ่ายรูปวิวทะเลแล้วหันกล้องมาทางทั้งคู่แทน
กฤติเดชเห็นเข้าก็ยิ่งยิ้มกว้าง “อ้าว ๆ มีคนมองแล้วนะครับ ถ้าคุณโวยวายต่อไป คนอาจเข้าใจผิดว่าเจ้าถิ่นอย่างคุณกำลังข่มขู่นักท่องเที่ยวอย่างผมนะครับ”
“อะไรนะ?” คำพูดนั่นทำให้รุ่งฟ้าสางเดือดดานอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้เธออยากจะเข้าไปตั๊นหน้าของกฤติเดชอย่างจังซะเหลือเกิน หน้าแดงระเรื่อด้วยความโมโห แต่ก็ได้แต่อดทนเอาไว้ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
กฤติเดชฉวยโอกาสก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ก้มศีรษะลงมาเล็กน้อยจนระยะห่างระหว่างทั้งคู่แคบลงเหลือเพียงไม่กี่คืบ เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นใกล้หูเธอ
“หน้าแดงขนาดนี้ อย่าบอกว่ากำลังหลงเสน่ห์ผมอยู่น๊า?”
“บ้าไปแล้ว!!” รุ่งฟ้าสางผลักอกเขาออกแรงจนชายหนุ่มเซถอยไปครึ่งก้าว ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธและความเขินที่แทรกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
คนรอบ ๆ เริ่มหัวเราะคิกคัก บางคนกระซิบกับเพื่อน ๆ ราวกับกำลังดูละครน้ำเน่าฟรี ๆ กลางทะเล
เสียงหัวเราะคิกคักจากผู้คนรอบ ๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดที่ท่าเรือแปรเปลี่ยนเป็นความน่าสนใจราวกับกำลังดูละครสด แต่ก่อนที่รุ่งฟ้าสางจะทันได้โต้ตอบอะไรเพิ่ม เสียงหวานนุ่มอ่อนโยนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ฟาง… เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หญิงสาวร่างบอบบางในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความเป็นห่วง เธอคือ สุฑัตตา ลูกสาวเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ และยังเป็นเจ้านายที่รุ่งฟ้าสางสัญญากับตัวเองว่าจะคอยปกป้องไม่ให้ใครมารังแก
ทันทีที่กฤติเดชหันมา…เขาก็เหมือนถูกกระแทกด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดเข้าตาโดยไม่ทันตั้งตัว ความงดงามเรียบง่ายของสุฑัตตาทำให้เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาคมที่เคยทอประกายขี้เล่นบัดนี้กลับมองเธออย่างเผลอไผล ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อให้ได้ชมภาพตรงหน้าเพียงหนึ่งเดียว
สวย…อย่างที่ไม่ควรจะละสายตา
กฤติเดชเผลอขยับยิ้มบาง ก่อนจะปรับท่าทีให้ดูเป็นปกติ แต่แววตากลับยังมีประกายบางอย่างที่บ่งบอกถึงความประทับใจแรกพบ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณแซน” รุ่งฟ้าสางรีบตอบแทน น้ำเสียงยังคงติดหงุดหงิด “แค่ฟางเจอคนบางคน…ชอบหาเรื่องกวนประสาทเท่านั้นเอง”
เมื่อกฤติเดชได้ฟังสิ่งที่รุ่งฟ้าสางเอ่ยออกไป สมองจึงประมวลผลอย่างรวดเร็วและจึงจับใจความได้ว่าคนสวยที่กำลังอยู่หน้าเขาน่าจะเป็นเจ้านายของคนที่เขากำลังปะทะคารมด้วย
“เอ้า...คุณคนสวยคนนี้เป็นเจ้านายของคุณหรา ผมก็นึกว่าคุณเป็นเจ้าของหาด เห็นทำท่าทางวางกล้ามซะใหญ่โต ที่แท้...” ท่าทางกฤติเดชยังยียวนไม่เลิก พร้อมหันไปยิ้มให้สุฑัตตาโดยตรง รอยยิ้มเจือเสน่ห์บางอย่างที่ไม่ใช่รอยยิ้มกวนประสาทเหมือนตอนเถียงกับรุ่งฟ้าสางเมื่อครู่
“สวัสดีครับ… ผมกฤติเดช เป็นแขกที่มาพักที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณคือ...” น้ำเสียงกฤติเดชสุภาพ อ่อนน้อม แต่สายตาที่ทอดมองกลับแฝงความเจ้าชู้จาง ๆ จนรุ่งฟ้าสางที่ยืนข้าง ๆ รู้สึกเสียวสันหลัง
เดี๋ยวนะ… ไอ้หมอนี่มันกำลังหยอดเจ้านายฉันอยู่เหรอ!?
“ฉัน...สุฑัตตา ค่ะ เป็นผู้ดูแลโรงแรมนี่ค่ะ” สุฑัตตาแนะนำตัวเองอย่างสุภาพ
“โอโห...ผมไม่คิดว่าโรงแรมที่สวยขนาดนี้ วิวดี บรรยาเลิศขนาดนี้ เจ้าของโรงแรมยังสวยกว่าเป็นไหน ๆ”
สุฑัตตาฝืนยิ้มบาง เพราะด้วยมารยาทเธอไม่อาจแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้ แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ชายแปลกหน้าทักเธอแบบนั้นตรง ๆ
กฤติเดชมองรอยยิ้มของสุฑัตตาแล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย “ถ้ารู้ว่าที่นี้ จะมีสิ่งสวย ๆ งาม ๆ ขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยที่มาพัก...เอ่อที่นี้”
คำพูดนั้นทำเอาสุฑัตตาชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าสวยมีสีแดงระเรื่อจาง ๆ แต่ก็ยังยิ้มรับไว้ตามมารยาท
ขณะที่รุ่งฟ้าสางแทบจะกรี๊ดออกมา เธอกัดฟันแน่น หันไปจ้องกฤติเดชเขม็ง
“พอได้แล้วคุณ! จะกวนฉันไม่พอ ยังจะมากวนคุณแซนอีกเหรอ?”กฤติเดชหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสมือนกำลังเพลิดเพลินกับการเห็นหญิงสาวทั้งสองแสดงท่าทีแตกต่างกันออกไป
บรรยากาศที่ริมชายหาดเหมือนกำลังจะคลี่คลาย หลังจากเหตุการณ์ปะทะเดือดของกฤติเดชกับรุ่งฟ้าสาง กลายเป็นหัวข้อสนทนาแซวเล่นกันของนักท่องเที่ยวและแขกของโรงแรมที่เห็นเหตุการณ์ ถึงแม้สุฑัตตาจะจัดการให้บรรยากาศเริ่มคลี่คลายบ้างแล้ว แต่ก็ไม่วายก็ยังมีแววประกายไฟเล็ก ๆ ที่พร้อมจะลุกโชนได้ทุกเมื่อ
กฤติเดชยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ขณะเอียงศีรษะมองไปทางสุฑัตตาอีกครั้ง
“คุณนี่…สวยจนคนมองเผลอพลาดเรือแตกเอาง่าย ๆ เลยนะครับ” น้ำเสียงเจือแววหยอกล้อและออกแนวเจ้าชู้ชัดเจนสุฑัตตาขมวดคิ้วนิด ๆ แต่ยังคงเก็บรอยยิ้มสุภาพเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคือแขกของรีสอร์ต
“คุณพูดเกินไปแล้วค่ะ” เธอตอบเรียบ ๆ แต่แววตาก็มีความไม่ชอบใจที่ถูกชมแบบเปิดเผยเกินงามรุ่งฟ้าสางที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับสะอึก เขารีบก้าวมาขวางเล็กน้อยเหมือนจะบังเจ้านายสาว
“เฮ้ย คุณนี่…อย่าพูดจาอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้นได้ไหม คุณสุฑัตตาไม่ใช่คนที่ใครจะมาพูดเล่น ๆ ได้”กฤติเดชเลิกคิ้ว หันมาหัวเราะเบา ๆ
“ทำไมล่ะ? หรือว่าลูกค้าที่นี้จะพูดอะไรไม่ได้เลยหรอ? จะต้องอนุญาติก่อนเท่านั้นหรอครับ” เขาแกล้งหันไปสบตาสุฑัตตาอีกที “ว่าไงครับ คุณเจ้าของโรงแรมคนสวย?”สุฑัตตาไม่ตอบทำได้เพียงแต่ยิ้ม แต่ใจจริงกลับรู้สึกอึดอัดที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการโต้เถียง
รุ่งฟ้าสางเริ่มหงุดหงิด เสียงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“คุณ! จะลูกค้าหรือไม่ลูกค้าก็ควรให้เกียรติคนอื่นด้วย เข้าใจคำว่า มารยาท ไหม”กฤติเดชยักไหล่ แววตาเป็นประกายเหมือนกำลังสนุกกับการยั่วอีกฝ่าย
“ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่นา แค่พูดชม…เท่านั้นเอง หรือว่าโรงแรมนี้ ลูกค้าจะพูดอะไรไม่ได้เลยหรอคับ ?”เสียงทั้งสองคนเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง จนคนงานที่เดินผ่านแถวนั้นหันมามองอย่างงุนงง
สุฑัตตาพยายามจะเข้ามาห้าม แต่จังหวะที่ทั้งสองเถียงกัน ต่างฝ่ายต่างเผลอขยับก้าวเข้าหากันแรงเกินไป แขนของรุ่งฟ้าสางไปชนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่วางน้ำชาอยู่
แก้วน้ำหนึ่งใบล้มลงอย่างรวดเร็ว และเศษแก้วน้ำที่ตกลงมาก็กระเด็นมาถูกแขนของสุฑัตตาพอดี
“โอ๊ะ!” เธอร้องเบา ๆ พลางถอยหลัง แต่เพราะแก้วน้ำที่ตกมีน้ำอยู่พื้นไม้ตรงนั้นก็เลยเปียก ทำให้เธอเสียหลักไปนิดนึง กฤติเดชที่ยืนใกล้ที่สุดรีบก้าวมาคว้าแขนสุฑัตตาไว้ทัน
“ระวังนะครับ ผมไม่อยากให้คนสวย ๆ แบบคุณเจ็บ” เขาพูดด้วยเสียงนุ่ม แต่ยังไม่วายแฝงแววเจ้าชู้สุฑัตตาเม้มปากแน่น ใบหน้าฉายแววทั้งเกรงใจและขุ่นเคืองไปพร้อมกัน
“ขอบคุณค่ะ…แต่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนั้นก็ได้”รุ่งฟ้าสางรีบเข้ามาแย่งคว้าแขนสุฑัตตาจากกฤติเดชเพื่อไปประคองเจ้านายทันที แต่สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจสุดขีดที่เห็นกฤติเดชแตะต้องสุฑัตตา
“นี่! ถ้าคุณไม่กวนประสาท ฉันกับคุณก็คงไม่เถียงกันจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก!”กฤติเดชหันมาแล้วเหลือบเห็นที่แขนสุฑัตตามีเลือดไหลซิบๆออกมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นตกใจในทันควัน
“โทษทีนะครับคุณสุฑัตตา ผมไม่คิดว่าจะทำให้คุณเจ็บตัว”
สุฑัตตาถอนหายใจยาว เธอสบตาทั้งสองคนทีละคน ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แต่แฝงความเคร่งขรึม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าให้ดีคุณกับฟางก็อย่ามาตีกันตรงนี้ได้ไหมคะ? ฉันไม่อยากให้แขกคนอื่นตกใจกันไปมากกว่านี้น่ะคะ”กฤติเดชกับรุ่งฟ้าต่างก็มีสีหน้ารู้สึกผิดที่ทำให้สุฑัตตาเจ็บตัวแบบนี้ แต่ก็มีบางครั้งที่ทั้งสองบังเอิญมาสบตากันก็ยังถลึงตาให้กันอย่างเนื่อง ๆ
อารมณ์ของรุ่งฟ้าสางตอนนี้คืออยากจะลากฤติเดชออกไปจากโรงแรมให้พ้น ๆ
แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่นเหมือนจะกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความชุลมุน ที่ดูเหมือนจะไม่จบง่าย ๆ
บรรยากาศริมทะเลคลี่คลายไปบ้างหลังเหตุชุลมุน สุฑัตตาพยายามดึงรอยยิ้มกลับคืนมา แม้จะมีรอยถลอกเล็กน้อยตรงแขน แต่เธอก็ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“งั้น…เรากลับไปที่ล็อบบี้กันก่อนนะคะ” สุฑัตตาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ อ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเด็ดขาด
“คุณกฤติเดชเองก็คงอยากพักผ่อนมากกว่าให้ใครมามุงดูต่อ…ฟาง ช่วยอย่าเสียงดังหรือเถียงกับแขกของรีสอร์ตอีกได้ไหม แขกคนอื่นจะเข้าใจผิดเอาได้”รุ่งฟ้าสางหันไปสบตาเจ้านายอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมกัดฟันพยักหน้า
“…ค่ะ คุณแซน” กฤติเดชยกมือขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะช่วยแก้ต่าง “ไม่หรอกครับ ผมผิดเอง ที่ไปกวนคุณฟางก่อน” น้ำเสียงครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม—ไม่มีแววประชดหรือแหย่ แต่เป็นการยอมรับจริง ๆสุฑัตตายิ้มบาง ๆ “ถ้างั้นก็ดีแล้วค่ะ”
ทั้งสามจึงเดินเรียงกันกลับไปยังล็อบบี้ รุ่งฟ้าสางเดินนำหน้าอย่างแข็งกร้าว กอดอกแน่น ส่วนกฤติเดชเดินทอดน่องสบาย ๆ อยู่ตรงกลาง และสุฑัตตาเดินตามมาด้านหลังอย่างสงบ
กฤติเดชเหลือบตามองแผ่นหลังของรุ่งฟ้าสางเป็นพัก ๆ แม้สีหน้าเธอจะบึ้งตึง แต่ท่าทางที่ยืนเท้าสะเอว พูดจาโผงผางเมื่อครู่ กลับติดตาเขาอย่างประหลาด
น่ารักดี…เวลาหน้างอเหมือนเด็กที่ไม่อยากยอมใคร ริมฝีปากของกฤติเดชยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“ยิ้มอะไรของคุณ?” รุ่งฟ้าสางหันกลับมาถามทันทีอย่างจับผิด
กฤติเดชสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบยักไหล่ทำหน้าตาย “เปล๊า…ผมแค่คิดว่า ทะเลที่นี่สวยดีนะครับ”รุ่งฟ้าสางจ้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสักนิด ก่อนจะหันกลับไป เดินนำต่อด้วยท่าทีหงุดหงิดกว่าเดิม
สุฑัตตาที่เดินตามมาได้แต่คุมเชิงเอาไว้ เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างรุ่งฟ้าสางกับกฤติเดชยังคงครุ่กรุ่นอยู่และรู้สึกไม่ไว้วางใจกับท่าทีของกฤติเดชที่มีต่อตัวเองเท่าไรนัก
ที่ล็อบบี้
เมื่อทั้งสามเข้ามาถึงโถงต้อนรับอันหรูหรา พนักงานรีสอร์ตหลายคนหันมามองด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้เพราะเห็นว่าสุฑัตตาเป็นคนพาเดินนำ
สุฑัตตาหันมาหากฤติเดช
“ดิฉันขอตัวไปทำแผลสักหน่อย คุณกฤติเดชพักผ่อนตามสบายเลยนะคะ หากมีอะไรต้องการเพิ่มเติม แจ้งที่เคาน์เตอร์ได้เลยค่ะ”กฤติเดชรีบตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ครับ…แล้วเรื่องเมื่อกี้ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับคุณสุฑัตตา”สุฑัตตายิ้มบาง ๆ รับคำ แล้วจึงหันไปบอกกับรุ่งฟ้าสาง
“ฟาง เธอช่วยดูแลคุณกฤติเดชแทนฉันสักพักนะ”“ห๊า?!” รุ่งฟ้าสางเผลอร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะรีบลดเสียง “เอ่อ…ค่ะ คุณแซน”
เมื่อเจ้านายสาวเดินออกไป รุ่งฟ้าสางหันขวับมาทางกฤติเดชทันที
“คุณนี่มันตัวปัญหาจริง ๆ เลยรู้ตัวไหม”กฤติเดชหัวเราะเบา ๆ “รู้สิครับ…แต่ปัญหาที่น่ามองก็ไม่เลวนะ”
รุ่งฟ้าสางถึงกับถลึงตาใส่ “คุณ!!”
เสียงแอร์เย็นฉ่ำภายในล็อบบี้ตัดกับแดดบ่ายริมทะเลที่ยังส่องแรง รุ่งฟ้าสางเดินนำกฤติเดชมาหยุดตรงโซฟาหนังมุมหนึ่ง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังที่นั่งด้วยท่าทางเหมือนคุณครูออกคำสั่ง
“นั่งลงซะ จะได้ไม่ไปป้วนเปี้ยนกวนแขกคนอื่นเขาอีก”
กฤติเดชมองตามนิ้วเรียวยาวที่ชี้มา ก่อนจะยกคิ้วขึ้นยิ้ม ๆ
“น้ำเสียงนี่…ผมเป็นแขกของรีสอร์ตนะครับ ไม่ใช่เด็กนักเรียนดื้อในห้องเรียนของคุณ”“แขกที่ว่านี่ก็คือแขกตัวปัญหาน่ะสิคะ” รุ่งฟ้าสางเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ แล้วเท้าเอวมองเขา
กฤติเดชหัวเราะในลำคอเบา ๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ราวกับจงใจจะทำให้เธอหมั่นไส้มากกว่าเดิม
“ครับ วางกล้ามใหญ่โตยังกะตัวเองเป็นเจ้าของโรงแรมเองงั้นแระ เจ้าของตัวจริงยังไม่เห็นว่าอะไรเลย”“น่ารำคาญจริง!” รุ่งฟ้าสางโพล่งสวนทันควัน
กฤติเดชหัวเราะลั่น คราวนี้เสียงหัวเราะของเขาเรียกสายตาจากพนักงานแถวนั้นให้เหลียวมามอง รุ่งฟ้าสางหน้าแดงด้วยความเขินผสมหงุดหงิด รีบกระซิบเสียงดุ
“เบาหน่อยสิ คนเขามองหมดแล้ว!”“ก็คุณตะโกนใส่ผมก่อนนี่นา” เขาตอบอย่างไร้สำนึก แต่ดวงตาเป็นประกายขี้เล่น
รุ่งฟ้าสางกัดฟันกรอด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้านายสั่งให้เธอดูแลเขา เธอจึงหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟ
“เด๋วไปรับออเดอร์ที่ผู้ชายคนนั้นนะ ส่วนพี่ขอน้ำแข็งใส่น้ำเย็นเจี๊ยบแก้วนึง”
“ของผมด้วยนะครับ เอาเป็น…น้ำมะนาวก็แล้วกัน” กฤติเดชเอ่ยเสริมขึ้นทันที ก่อนจะเหลือบมองเธอด้วยรอยยิ้มกวน ๆ
เขาเอนพิงโซฟาอย่างสบาย ๆ พลางมองเธอที่นั่งกอดอกอยู่ตรงหน้า—ถึงจะหน้ายุ่ง พูดจาแข็งกระด้าง แต่แววตาที่เธอใช้มองเจ้านายเมื่อครู่นั้น…เต็มไปด้วยความห่วงใยจริง ๆและมันทำให้เขาเผลอคิดว่า ผู้หญิงแบบนี้ ก็ดูน่ารักใช้ได้เหมือนกัน
ไม่นานนัก พนักงานก็ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ รุ่งฟ้าสางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มทันที พลางทำทีไม่สนใจแขกกวนประสาทที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่หางตาก็ยังเหลือบมองเขาอยู่เป็นระยะ
กฤติเดชยกแก้วน้ำมะนาวขึ้นจิบ แล้วหันไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งจริงใจ
“คุณ…คุณทำงานที่นี่มานานหรือยัง?”“ถามทำไม?” เธอตอบห้วน ๆ
“ก็แค่อยากรู้…เพราะดูเหมือนคุณรู้จักทุกซอกทุกมุมดีมาก แถมยังจริงจังกับการทำงานสุด ๆ”
รุ่งฟ้าสางเลิกคิ้ว “แน่นอนสิคะ ฉันอยู่กับคุณแซนมานานมาก โรงแรมนี้ ฉันก็เห็นมาตั้งแต่เกิด ไม่มีอะไรหรือเรื่องไหนที่ฉันจะไม่รู้เกี่ยวกับที่นี้”
กฤติเดชมองเธอนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ว้าว งั้นคุณก็คงเป็นคนพิเศษของที่นี้เลยสิครับ”รุ่งฟ้าสางชะงักเล็กน้อย หัวใจดันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เธอรีบหันไปทางอื่นแล้วตอบห้วน ๆ
“คุณเริ่มยุ่งกับเรื่องที่ไม่สมควรยุ่งอีกแล้วนะ” สติรุ่งฟ้าสางกลับมาหลังจากที่หลุดไปแว็บนึงกฤติเดชหัวเราะเบา ๆ ยกแก้วน้ำขึ้นชนอากาศ
“เฮ้อออ คนอย่างผมก็แบบนี้แระ?”“หมอนี่...เป็นคนกวนประสาทจริง ๆ นะเนี๊ยะ!” รุ่งฟ้าสางคิดในใจ พร้อมกับใจที่เต้นระรัวเบา ๆ
เสียงหัวเราะคิกคักของพนักงานที่แอบฟังอยู่ด้านข้างดังขึ้นเบา ๆ รุ่งฟ้าสางหน้าแดงทันที แต่กฤติเดชกลับยิ้มกว้างอย่างพอใจ—เพราะวันนี้เขารู้แล้วว่าการเจอกับ “ผู้พิทักษ์เจ้านายสาว” อย่างรุ่งฟ้าสาง คงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลยสักนิด
พลบค่ำ ณ ลานดินเนอร์ของโรงแรม
เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะเบา ๆ แสงไฟจากหลอดกระดาษแขวนเหนือศีรษะส่องบรรยากาศให้อบอุ่นและผ่อนคลาย ทุกเย็นโรงแรมของสุฑัตตาจะจัดมื้อดินเนอร์ริมทะเลไว้ต้อนรับแขก เป็นหนึ่งในเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้มาเยือนให้ประทับใจ
หลังจากจบเรื่องราวที่วุ่นวายเมื่อตอนกลางวัน แล้วกลับไปพักผ่อนจนเต็มที่แล้ว กฤติเดชปรากฏตัวในลุคที่ต่างจากเดิม—เสื้อยืดสีขาวสะอาดทับด้วยเสื้อฮาวายลายดอกสดใส กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ เสมือนชายหนุ่มที่เข้ากับบรรยากาศทะเลอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาเดินถือแก้วน้ำมะพร้าวสด ๆ อยู่ในมือ พร้อมรอยยิ้มกวน ๆ ที่เหมือนจะละลายความจริงจังของทุกสิ่งรอบตัว
“โอ้โห…บรรยากาศดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่สวรรค์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นราวกับพูดกับตัวเอง แต่หางตาก็เหลือบไปทางรุ่งฟ้าสางที่ยืนทำหน้าตึงอยู่ไม่ห่าง
“สวรรค์สำหรับคนอื่น แต่เป็นนรกสำหรับฉัน ถ้าต้องเจอคุณทุกวัน” รุ่งฟ้าสางตอบห้วน ๆ ทันที
กฤติเดชหัวเราะเบา ๆ พลางยกแก้วมะพร้าวขึ้นจิบ “แหม…แค่เห็นหน้าผมวันละนิดวันละหน่อย ทำไมต้องแรงขนาดนั้นล่ะครับคุณ?”
รุ่งฟ้าสางกำลังจะสวนกลับ แต่สุฑัตตาก็เข้ามาแทรกกลางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ทั้งสองคนอย่าเพิ่งเริ่มกันสิคะ อย่างน้อยก็ปล่อยให้บรรยากาศเย็นนี้สงบหน่อยเถอะ”ทั้งคู่ชะงักไปตามคำพูดของเธอ—ก่อนที่เสียงฝีเท้าวิ่งเร่งรีบจะดังมาจากด้านหลัง
“พี่กฤตครับ พี่กฤต ผมขอโทษที่ผมมาช...”
เสียงนั้นขาดห้วง เมื่อร่างสูงในชุดเชิ้ตแบบที่ไม่เรียบร้อยเท่าไร รีบวิ่งเข้ามา แล้วพุ่งชนเข้ากับสุฑัตตาอย่างจัง
“อ๊ะ!” สุฑัตตาเซถอยจนล้มลงกับพื้น
ชายหนุ่มรีบพยุงแขนเธอ และเมื่อทั้งสองคนที่สบตากัน ทั้งคู่ชะงักค้างในท่าประคองกัน สายตาประสานเข้าหากันในระยะใกล้ ราวกับเวลารอบตัวหยุดหมุนไปชั่วขณะ
สุฑัตตาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่เขตต์ธาดา—ชายแปลกหน้าที่เพิ่งปรากฏตัว—มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนและตกตะลึงไม่แพ้กัน
“ผ…ผมขอโทษครับ!” เขตต์ธาดารีบพูด ละล่ำละลักด้วยความลน “ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่…รีบไปหน่อย”
สุฑัตตายิ้มบาง ๆ แม้จะยังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น”
กฤติเดชที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบก้าวเข้ามา “อ้าว…เขตต์! นี่นายเพิ่งโผล่มาเหรอ?”
เขตต์ธาดาหันไปหาพี่ชายตัวเองทันที “ครับพี่กฤต ขอโทษที่มาช้า ผมติดงานด่วนของบริษัท เลยเพิ่งตามมาทันทีที่เสร็จ”
กฤติเดชหัวเราะหึ ๆ พลางยักไหล่ “อืม ก็ดีแล้ว ที่นี่มีอะไรน่าสนใจเยอะเลยล่ะ”
คำพูดนั้นทำเอารุ่งฟ้าสางหันขวับมามองด้วยความหมั่นไส้
“คุณนี่มันจริง ๆ เลยนะ…” รุ่งฟ้าสางพูดเหมือนรู้ว่ากฤติเดชคิดอะไรในใจจบจากเรื่องราวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น ได้มีบางอย่างได้เกิดขึ้นกับสุฑัตตา แต่ไม่มีใครทราบ และสุฑัตตาก็ไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เลยพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด
บริเวณโต๊ะไม้ยาวริมชายหาดถูกจัดอย่างเรียบง่าย แต่ดูอบอุ่น โคมไฟเล็ก ๆ แขวนอยู่เหนือศีรษะส่องแสงสีส้มอ่อนคล้ายเปลวเทียน เสียงดนตรีอะคูสติกแผ่วเบาลอยมาตามลมทะเล
สุฑัตตาต้องรับบทเจ้าบ้านโดยปริยาย จัดการให้กฤติเดช เขตต์ธาดา และรุ่งฟ้าสางได้นั่งพร้อมกันรอบโต๊ะ เธอพยายามยิ้มอย่างสุภาพกลบเกลื่อนความเขินที่ยังติดอยู่ในใจ และอาการเจ็บข้อเท้าจากเหตุการณ์ชนกันเมื่อครู่
“ขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมมื้อค่ำของโรงแรมเรานะคะ ถึงจะเป็นกิจกรรมประจำวัน แต่หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขค่ะ” สุฑัตตาพูดพลางยกแก้วไวน์ขึ้นเล็กน้อย
“แน่นอนครับคุณสุฑัตตา” กฤติเดชรีบรับทันทีด้วยรอยยิ้มแบบคนมีเสน่ห์ “บรรยากาศดี อาหารน่ากิน…แถมยังมีเจ้าบ้านที่สวยที่สุดในโลกแบบนี้ ใครจะไม่ประทับใจล่ะครับ”
สุฑัตตาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้มสุภาพตอบ—ในใจไม่ค่อยสบายใจกับน้ำเสียงเจ้าชู้ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเกี้ยวแบบไม่เหมาะสมในฐานะเจ้าของบ้าน
แต่คนที่แทบระเบิดออกมากลางวงกลับเป็นรุ่งฟ้าสาง
“คุณกฤติเดช! จะพูดอะไรก็เกรงใจเจ้าของที่หน่อยสิคะ”“หืม? ผมก็พูดตามจริงนี่ครับ” กฤติเดชหันมายักคิ้วกวนใส่เธอ “หรือคุณอิจฉาที่ผมไม่ได้ชมว่าคุณน่ารักบ้าง?”
รุ่งฟ้าสางหน้าแดงจัดทันที “ใครจะไปอยากได้คำชมจากคุณกันเล่า!”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ เขตต์ธาดาที่เงียบมาตลอดเผลอยิ้มเมื่อเห็นทั้งคู่เถียงกันเหมือนเด็ก ๆ ความเป็นธรรมชาติแบบนี้ทำให้บรรยากาศคลายตึงเครียดลง
แต่เมื่อสายตาเขตต์ธาดาเผลอหันไปสบกับสุฑัตตาอีกครั้ง ทั้งคู่กลับนิ่งเงียบ…โลกภายนอกเหมือนเลือนหาย เหลือเพียงการจ้องมองที่บอกอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด
กฤติเดชเหลือบมาเห็นเข้า รีบทำเสียงกระแอมในคอ “เอ่อ…เขตต์ นายเพิ่งมาถึงเหนื่อย ๆ กินเยอะ ๆ หน่อยสิ”
เขตต์ธาดาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนตอบ “ครับพี่กฤต” แล้วก้มหน้าตักอาหารเข้าปากเพื่อหลบสายตา
รุ่งฟ้าสางแอบมองภาพนั้นแล้วรู้สึกแปลก ๆ ในอก—เหมือนความสัมพันธ์ในวงนี้กำลังซ่อนเงื่อนอะไรบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
สุฑัตตาพยายามเปลี่ยนเรื่อง “อาหารค่ำที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์นะคะ แขกสามารถตักได้เองตามใจชอบ แต่คืนนี้ฉันอยากแนะนำเมนูพิเศษ—กุ้งเผาซอสสมุนไพร เป็นสูตรเฉพาะของเชฟที่โรงแรม”
“กุ้งเผา? ว้าว แบบนี้ต้องชิมให้ได้” กฤติเดชยกมือทันที “คุณฟางครับ ตักมาให้ผมสักตัวสิ”
“คุณนี่…ไม่ได้ยินหรือไงว่านี่มันบุฟเฟต์ อยากกินก็ไปตักเองสิ!” รุ่งฟ้าสางตวาดกลับทันที
เขตต์ธาดาหลุดหัวเราะในคอเบา ๆ แต่รีบเก็บอาการเมื่อเห็นสายตาคมของพี่ชายหันมาจับจ้อง
สุฑัตตาส่ายหน้ายิ้มอย่างจนใจ บรรยากาศรอบโต๊ะจึงสลับไปมาระหว่าง ความขบขันแบบจิกกัด และ ความหวั่นไหวโรแมนติก ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ลมทะเลเย็นพัดโชยผ่าน ทำให้กลิ่นหอมของกุ้งเผาและสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่ว รุ่งฟ้าสางกำลังตักอาหารลงจานอย่างหงุดหงิดไปพลาง เพราะทุกทีที่กฤติเดชอ้าปาก มันไม่เคยจบลงด้วยความสงบ
“คุณฟางครับ ช่วยเลือกกุ้งตัวใหญ่ ๆ ให้ผมหน่อยสิ” เสียงพูดพร้อมลมหายใจอันร้อนผ่าวของกฤติเดชที่ผ่านมาทางหู ทำเอารุ่งฟ้าสางเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่ใช่คนใช้คุณนะคะ” รุ่งฟ้าสางหันมาตอบห้วน ๆ หลังจากฟื้นจากพวัง แต่ก็หยิบกุ้งใส่จานเขาอยู่ดีด้วยความเกรงใจที่ยังไงเขาก็เป็นแขกของโรงแรม
กฤติเดชยิ้มมุมปาก พลางเลื่อนจานไปข้างหน้า “ขอบคุณครับ…แหม ใจจริงก็ไม่ได้อยากรบกวนหรอก แต่ถ้าได้กุ้งจากมือคุณ มันก็คงอร่อยกว่าปกติ”
คำพูดนั้นทำให้สุฑัตตาที่นั่งข้าง ๆ ชะงักไปเล็กน้อย เธอยิ้มสุภาพกลบเกลื่อน แต่หัวใจกลับรู้สึกแปลก ๆ อย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณกฤติเดชพูดเกินไปแล้วค่ะ” สุฑัตตากล่าวเบา ๆ
“ไม่เกินหรอกครับ” กฤติเดชตอบทันควัน พร้อมหันไปสบตากับเธออย่างมีเลศนัย “บางครั้งคนเราก็ต้องพูดความจริงออกมา ถึงแม้มันจะทำให้บางคนใจเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย”
สุฑัตตากลั้นใจยิ้ม แต่ก็รีบหันหน้าหนีทันที ส่วนรุ่งฟ้าสางนั้นถึงกับแทบลุกพรวดจากเก้าอี้ เธอวางช้อนเสียงดังจนทุกคนบนโต๊ะสะดุ้ง
“คุณนี่มัน…ไม่รู้จักกาลเทศะเลยใช่ไหม!” รุ่งฟ้าสางจ้องเขม็งเหมือนจะพ่นไฟใส่
“อ้าว ผมก็พูดดี ๆ นะครับ คนเราจะหวงอะไรนักหนากับคำชมธรรมดา” กฤติเดชยักไหล่ราวไม่ใส่ใจ แต่จริง ๆ แอบเหลือบมองอาการหงุดหงิดของเธอด้วยความเพลินใจ
เขตต์ธาดาที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ ใจเต้นวูบ เขาเห็นกฤติเดชมักหยอดคำพูดก้ำกึ่งให้สุฑัตตาอยู่เรื่อย และเมื่อสุฑัตตาไม่ปฏิเสธตรง ๆ แต่กลับยิ้มบาง ๆ รับด้วยความเกรงใจ ยิ่งทำให้เขตต์ธาดารู้สึกสับสนในใจ
“หรือว่า…คุณสุฑัตตากับคุณกฤติเดช…?” ความคิดนั้นแล่นผ่านหัวเขตต์ธาดาอย่างไม่อาจห้ามได้
เขาก้มหน้าลงตักข้าวเงียบ ๆ แต่แววตาที่มองสุฑัตตากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังปนเจ็บปวดที่ตัวเองยังไม่รู้จักหญิงสาวคนนี้ดีพอ แต่กลับเหมือนถูกชิงตัดหน้าไปแล้ว
บรรยากาศบนโต๊ะมื้อค่ำจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียดปนสับสนอีกครั้ง
เสียงคลื่นยังคงซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลังจากดินเนอร์จบลง แขกคนอื่น ๆ ทยอยแยกย้ายไปพักผ่อน ทิ้งไว้เพียงเงาแสงไฟอ่อน ๆ และทรายที่ยังอุ่นจากแดดยามบ่าย
สุฑัตตาพยายามเดินให้ปกติเพื่อออกมาส่งกฤติเดชและเขตต์ธาดาที่บริเวณโถงต้อนรับ รุ่งฟ้าสางตามมาติด ๆ โดยไม่ปล่อยให้เจ้านายของตนคลาดสายตา
“คืนนี้ขอบคุณมากนะคะที่มาร่วมมื้อค่ำ หวังว่าทั้งสองคนจะประทับใจ” สุฑัตตายกยิ้มบาง ๆ แม้ในใจยังแอบกังวลกับท่าทีเจ้าชู้ของกฤติเดชที่ตนไม่ถนัดจะรับมือ
“ผมประทับใจมากครับ” กฤติเดชตอบพลางกดเสียงต่ำแบบเล่นเล่ห์ “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เจ้าบ้านที่แสนจะใจดีแบบคุณ”
สุฑัตตาชะงักไป แต่ยังคงยิ้มสุภาพตอบกลับตามมารยาท “ทางโรงแรมยินดีต้อนรับเสมอค่ะ”
ระหว่างที่ทั้งคู่แลกเปลี่ยนคำพูด เขตต์ธาดายืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ดวงตาของเขาเผลอทอดมองสุฑัตตาอย่างที่ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้ แต่ความคิดที่ว่าพี่ชายอาจมีใจให้เธอ ทำให้เขาต้องก้มหน้าหลบเหมือนพยายามปิดบังความรู้สึกตัวเอง
รุ่งฟ้าสางมองเห็นภาพทั้งหมดชัดเจน แววตาเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจปนหวงแหนที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าหวงใคร—เจ้านายผู้เป็น “เจ้าหญิง” ของเธอ หรือหมั่นไส้ชายหนุ่มเจ้าชู้ที่เอาแต่ทำให้สถานการณ์ปั่นป่วน
เมื่อสุฑัตตาขอตัวกลับไปพักผ่อน เหลือเพียงกฤติเดช รุ่งฟ้าสาง และเขตต์ธาดาเดินไปตามทางกลับห้องพักของแขก บรรยากาศเงียบเกินไปจนกฤติเดชต้องเป็นฝ่ายเปิดปาก
“คุณฟ้าสางครับ” เขาเรียกขึ้นมาอย่างกวน ๆ
“อะไรอีกล่ะ?” รุ่งฟ้าสางหันมาทันทีด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ผมกำลังคิดว่า…ถ้าคุณหงุดหงิดจนหน้าตึงแบบนี้ทุกวัน เดี๋ยวริ้วรอยจะขึ้นก่อนวัยนะครับ” กฤติเดชพูดพลางยิ้มมุมปาก
รุ่งฟ้าสางตาโต “คุณนี่มัน—ที่ฉันต้องหงุดหงิดก็เพราะคุณนั่นแระ”
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดต่อ กฤติเดชกลับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีขาวสะอาดมาให้ “เมื่อกี้คุณทำไวน์หกใส่เสื้อตัวเองนิดหน่อย ใช้เช็ดสิครับ เดี๋ยวจะเป็นรอย”
รุ่งฟ้าสางชะงัก…หัวใจวูบไปเล็กน้อยกับความอ่อนโยนที่โผล่มาไม่ทันตั้งตัว เธอรีบช้อนสายตาขึ้นสบกับเขา แต่กฤติเดชกลับยกคิ้วกวน ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็อย่าทำหน้าเหมือนผมจะกัดคุณตลอดสิ ผมก็เป็นคนใจดีเป็นบ้างเหมือนกันนะ” เขาพูดเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ต่างจากตอนกวน ๆ เมื่อครู่
รุ่งฟ้าสางอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนี มือกลับกำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เขตต์ธาดาที่เดินตามหลังตลอดเห็นภาพทั้งหมด เขาเม้มปากแน่น ความสับสนและกังวลตีตื้นขึ้นในอก—ทั้งต่อกฤติเดชที่ดูเหมือนจะผูกพันกับทุกคนที่เขาอยากปกป้อง และต่อสุฑัตตาที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตแต่กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงไม่หยุด
แสงไฟโรงแรมสาดลงบนใบหน้าของเขตต์ธาดา เผยให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่ยังหาทางออกไม่ได้
และในค่ำคืนนั้น ดินเนอร์ที่ควรจะอบอุ่นโรแมนติก ได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจของทั้งสี่คน ต่างคนต่างกลับไปด้วยอารมณ์ที่แตกต่างที่ติดค้างคาภายในใจ
ภายในห้องพักหลังจากดินเนอร์ที่สุดจะมีหลาหลายอารมณ์เกิดขึ้น กฤติเดชนั่งอยู่บนเตียง ในมือถือโทรศัพท์เหมือนจะเลื่อนดูข่าวสารทางโซเชี่ยลเหมือนธรรมดาทั่วไป ส่วนเขตต์ธาดาเพิ่งออกมาจากการชำระล้างร่างกายใน้องน้ำ เมื่อออกมาเขาเห็นพี่ชายของเขายังคงไม่นอนอีก ทั้งที่มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
“ยังไม่นอนอีกหรอครับ พี่กฤต ผมบอกแล้วว่าให้ผมไปนอนอีกห้องก็ได้ จะได้ไม่รบกวนพี่กฤตในการนอน” เขตต์ธาดาพูดเพราะเกรงใจพี่ชายเพราะนึกว่าเขาการเป็นตัวการที่ทำให้พี่ชายนอนไม่หลับ
“จะต้องไปเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็นทำไมล่ะ ห้องก็ใหญ่โต จะมีนายอีกสักคน ไม่ได้แคบขึ้นหรอก อีกอย่าง นายกะฉันก็เป็นพี่น้องกัน นอนห้องเดียวกันจะเป็นอะไรไป หรือว่า...นายรำคาญฉัน อย่างอยู่คนเดียวมากกว่าหรอ”
“เปล่านะครับ พี่กฤต ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับ คือผม...” เขตต์ธาดารีบสวนกลับทันควันอย่างรู้สึกผิด
“นี่ ฉันล้อเล่น...แค่ล้อเล่นนะเขตต์ นายจะคิดมากทำไมนักหนา” กฤติเดช พูดไปพลางหัวเราะในลำคอพร้อมสายหัวในความขี้เกรงใจของน้องชาย
ในห้องนิ่งเงียบไปสักครู่
“แล้ว...ที่บ้านฉันเป็นยังไงบ้าง...” กฤติเดชเริ่มมีสีหน้าจริงจังเมื่อเริ่มต้นพูดประโยคนี้ แต่ตายังคงจ้องมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ เหมือนไม่ได้สนใจกับคำถามที่เอ่ยออกไป
เขตต์ธาดาก็พลอยหยุดชะงักเมื่อได้ยินกฤติเดชพูดประโยคนี้ เหมือนจะรู้อะไรบ้างอย่างที่อยู่ในคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกไป
“ปกติครับ...เป็นปกติแล้ว” เขตต์ธาดาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเขร่งเครียด
แล้ววันที่วุ่นวาย หลากหลายอารมณ์ ที่เริ่มต้นจากสถานที่ที่เป็นเหมือนสวรรค์ โดยที่ไม่ใครรู้เลยว่า สถานที่แห่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และยังไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันจะนำพาไปสู่ความเข้าใจผิด ความใกล้ชิด และความรักที่ยากเกินกว่าจะห้ามหัวใจได้…
เสียงคลื่นกระทบชายหาดดังซัดเข้ามาเป็นจังหวะเบา ๆ รับกับสายลมทะเลที่พัดพาเอากลิ่นไอเค็มอ่อน ๆ มาแตะจมูก ผู้คนจำนวนหนึ่งพักผ่อนกันอยู่รอบ ๆ โรงแรมหรูริมชายหาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของการพักผ่อนตากอากาศ บริเวณท่าเทียบเรือเล็กของ “โรงแรมฮีลอินไซด์” (Heal Inside) โรงแรมชื่อดังอันดับต้น ๆ ของเกาะเสม็ด เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางแย่งกันขึ้นไปนั่งบนเรือไม้เก่า ๆ ที่ผูกไว้กับเชือก พื้นเรือมีรอยแตกเป็นทางยาว แผ่นไม้ด้านข้างถูกน้ำทะเลกัดกร่อนจนเผยเนื้อผุพังออกมา หากมองเพียงผิวเผินก็คงคิดว่าเป็นเพียงเรือไม้ธรรมดา แต่คนที่ชินตากับทะเล ย่อมมองออกทันทีว่ามันไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย“เฮ้ย! อย่าเล่นกับเรือลำนี้นะ มันผุแล้ว เดี๋ยวมันแตกกลางน้ำเอาหรอก!” เสียงหญิงสาววัย 20ต้น ๆ รูปร่างผอมเพรียว สูงไม่เกิน 170 แต่ดูทะมัดทะแมน ผมยาวรวบหางม้า ก้าวฉับเข้ามาพร้อมตะโกนเสียงดุดัน เธอคือ รุ่งฟ้าสาง ลูกสาวคนโตของคนขับรถประจำตระกูลผู้เป็นเจ้าของโรงแรมนี้นั่นเอง ดวงตาคมสวยของเธอจ้องเด็ก ๆ อย่างจริงจัง จนพวกเด็กที่เพิ่งหัวเราะสนุกสนานเมื่อครู่พากันนิ่งค