เสียงกรีดร้องแทบขนาดใจดังไม่ขาด แรงลมฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เด็กหนุ่มนั่งร่ำไห้อยู่บนถนนไร้ซึ่งรถผ่านไปผ่านมา แสงไฟจากหน้ารถสาดสองให้เห็นถึงร่างของหญิงวัยกลางคนที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางกองเลือด และชายวัยกลางคนที่ติดอยู่ในรถ ใบหน้าโชกไปด้วยเลือด สายตาที่มองมาอ่อนล้าเต็มที ปากสีเข้มเปรอะไปด้วยของเหลวสีแดงที่สำลักออกมา ขยับเอื้อนเอ่ยทว่าเสียงเบาหวิวไม่ดังพอที่จะสู้กับเสียงฝน
เด็กหนุ่มตกใจช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ได้แต่ร้องไห้ราวกับคนเสียสติ มองพ่อกับแม่ที่หายใจรอยรินและกำลังจะขาดหายใจไปต่อหน้าต่อตา
“ฮือออ อึก คุณพ่อ คุณแม่ อย่าทิ้งน่าน ฮือ อย่าทิ้งน่าน”
ทั้งที่พยายามเปล่งจนสุดเสียงแต่ราวกับว่าท่านทั้งสองไม่ได้ยิน ไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว
เค้กวันเกิดที่เตรียมไว้จะไปฉลองด้วยกันเละไม่เหลือชิ้นดี เทียนวันเกิดตามเลขอายุ15 ปี หักเป็นสองท่อน ช่างเป็นวันเกิดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
เป็นวันที่เขาไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต…
เฮือก!!!
ร่างเล็กสะดุ้งตกใจลุกขึ้นนั่งหอบหายใจราวกับคนขาดการหายใจมานาน น้ำตาเปรอะเปื้อนใบหน้าจนเปียก
ฝันอีกแล้ว… ความทรงจำเลวร้ายในวันนั้นย้อนกลับมาตอกย้ำความเจ็บปวดในใจเขาอีกแล้ว
ครั้นตั้งสติได้ถึงได้ยินเสียงฝนกระทบหน้าต่าง ร่างบางเดินลงจากเตียงไปแง้มผ้าม่านดูจึงได้รู้ว่ามีฝนตกลงมา ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
น่านน้ำรีบปิดผ้าม่าน เข้าห้องน้ำมาล้างหน้าล้างตาก่อนจะกลับมานอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ใช้หมอนอุดหูทั้งสองข้าง พยายามให้ได้ยินเสียงฝนน้อยที่สุด
ช่วงนี้คงใช้ชีวิตลำบากขึ้นสักหน่อย เพราะเข้าหน้าฝนแล้ว ซึ่งเป็นฤดูที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิต…
.
.
หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมาน่านน้ำก็นอนไม่หลับอีกเลย จนเวลาล่วงเลยมาเกือบหกโมงเช้า ฝนที่โหมกระหน่ำลงมาเมื่อคืนนี้ซาลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเปียกชื้นที่พื้นระเบียง และประตูกระจกด้านนอก
น่านน้ำลงมาเอาไม้ถูพื้นขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ลงไปช่วยในครัวอย่างเช่นทุกวัน
เสียงจอแจของสาวใช้พูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีระหว่างทำอาหาร น่านน้ำเพียงนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยปากร่วมวงสนทนาด้วย
“หนูน่านอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ป้าจะทำเพิ่มให้”
ป้าช้อยหญิงอาวุโสเอ่ยถามขึ้นครั้นเห็นเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งปอกเปลือกหัวหอมเงียบ ๆ
“ไม่เป็นครับ น่านทานอะไรก็ได้”
หากเป็นเมื่อก่อนตอนอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เขาเป็นเด็กช่างเลือก อาจเพราะเป็นคนกินยากมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าหลังจากมาอยู่กับป้าษาเขาไม่มีสิทธิ์เรื่องมาก มีอะไรให้กินก็ต้องกินให้ได้ แม้บางครั้งต้องแอบไปนั่งกินคนเดียวหลังครัวทั้งน้ำตาก็ตาม
ครั้นคิดถึงอดีตก็พลันรู้สึกหายใจลำบาก จึงพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน
คนอายุมากกว่าสังเกตเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีเลยไม่ถามอะไรต่อ เพราะเธอเองก็อายุมากแล้ว พอจะเข้าใจและเดาอาการออก
หลังจากช่วยในครัวจนเสร็จก็รีบขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน ไม่ลืมที่จะร่วมโต๊ะอาหารพร้อมคนอื่น ๆ วันนี้คินทร์อาสาไปส่งน้อง ๆ เพราะตนมีธุระแถวนั้นพอดี
“ตอนเลิกเรียนถ้าเฮียไม่ติดงานเดี๋ยวจะมารับ” ก่อนถึงโรงเรียนคนขับเอ่ยพูดขึ้นบอกน้องชายทั้งสามคน
“วันนี้ผมกลับเอง มีนัดกับเพื่อน” เคนตอบกลับเสียงเรียบ เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับคนฟัง
“อืม ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าไปเถลไถลที่ไหนไกลนัก”
“รู้แล้วน่ะเฮีย ผมโตแล้วนะ”
คินทร์ส่ายหัวไปมากับคำพูดน้องชายคนกลาง ยิ่งโตก็ยิ่งหัวรั้นขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นเรื่องปกติของเด็กรุ่นนี้ เขาเองก็เคยผ่านมาแล้ว แม้อายุจะห่างกันหลายปีแต่สามพี่น้องสนิทกันมากที่สุด เวลามีปัญหาอะไรมาคนแรกที่น้องนึกถึงก็คือพี่ชายอย่างคินทร์
“คีนกับน่านล่ะ มีนัดกับเพื่อนด้วยหรือเปล่า?”
คนขับมองกระจกหลังดูเด็กสองคนที่นั่งแนบชิดกัน ไม่ใช่เพราะน่านน้ำนั่งใกล้คีน แต่เป็นคีนที่ขยับไปนั่งเกาะแขนน่านน้ำไม่ห่าง
“วันนี้คีนไม่มีนัดกับเพื่อน”
“น่านก็ไม่มีครับ”
“งั้นเลิกเรียนเราไปเดินเล่นที่สยามกันดีไหมพี่น่าน”
ครั้นได้ยินคำตอบของน่านน้ำ เด็กหนุ่มก็ตาเป็นประกายวับขึ้นมาทันที รีบเอ่ยปากชวนไปเดินเล่น เพราะหลายครั้งที่ชวนไปน่านน้ำมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธทุกครั้ง เพราะเจ้าตัวไม่อยากไปเดินท่ามกลางคนหมู่มาก
“เอ่อ..”
“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอกน่านน้ำ”
คินทร์พูดขัดขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของน่านน้ำ ทว่าเมื่อมองไปที่คีนเด็กคนนั้นก็แหวใส่เล็กน้อยพลางมุ่ยหน้าอย่างเซ็ง ๆ ที่เขาชี้โพรงให้กระรอก ส่วนเคนก็หันหน้าหนีมองไปนอกรถไม่สนโลกใด ๆ ทั้งสิ้น
“เฮีย!”
“ไม่เป็นไรครับ น่านไปกับน้องคีนก็ได้” เห็นแก่ความพยายามของคีน ครั้งนี้เลยไม่ปฏิเสธอย่างครั้งอื่น ๆ
“เยส! พี่น่านน่ารักที่สุดเลย” เจ้าเด็กตัวโตกอดแขนออดอ้อนยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจ ในที่สุด! ครั้งนี้เขาก็ทำให้พี่น่านไปกับเขาจนได้
รถยนต์ขับมาจอดแทบทางเดินตรงข้ามกับหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน เด็กทั้งสามยกมือไหมคนอายุมากกว่าก่อนจะพากันเดินไป
คินทร์มองทั้งสามจนลับตาถถึงจะขับรถออกไป เขามีธุระที่ต้องไปทำก่อนเข้าบริษัทเช้านี้
ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในร้าน Three.K Daimond (ทรีเคไดมอนด์) เป็นร้านขายเพชรของบริษัททรีเคไดมอนด์ ซึ่งที่นี่เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด โดยมีสาขาย่อยอีกประมาณสี่แห่งในประเทศไทย
คินทร์ต้องเข้ามาดูร้านด้วยตัวเองเป็นประจำและในหนึ่งสัปดาห์จะสลับกันไปดูสาขานั้นทีสาขานี้ที เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย
ธุรกิจนี้มีทั้งหน้าร้านที่เปิดขายเป็นของตัวเอง และยังมีบริษัทใหญ่ที่รับออกแบบเครื่องประดับ รวมถึงโรงผลิตจิวเวลรี่เพชรแท้ นอกจากจำหน่ายในประเทศไทยแล้วยังส่งจำหน่ายไปที่ต่างประเทศครั้งละหลายร้อยล้านบาท
แม้ว่าคินทร์จะเป็นเพียงรองผู้บริหารที่รอรับตำแหน่งต่อจากพ่อ ระหว่างนี้เขาจึงต้องศึกษาดูงานให้มากที่สุด
เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตพ่อกับแม่เลยตั้งความหวังไว้มาก ส่วนน้องอีกสองคนก็เคยพูดเปรย ๆ กับเขาว่าไม่ชอบงานบริหารอย่างที่พ่อทำ คินทร์เองก็ใช่ว่าจะชอบ ทว่าตั้งแต่เด็กเขาซึมซับกับมันมาตลอด หากให้มารับช่วงต่อก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อยก็ถือเสียว่าทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจในส่วนที่พวกท่านหวัง และเสียสละให้น้องทั้งสองคนได้ไปทำตามความฝัน ดีกว่ามาจมอยู่กับกองเอกสารที่ตนเองไม่อยากทำ
“ในเรื่องของการทำ Marketing สำหรับสินค้าชิ้นใหม่ผมจะนัดประชุมในวันศุกร์ที่จะถึง ฝากคุณผู้จัดการช่วยประสานงานกับสาขาอื่นด้วยนะครับ เรื่องรายละเอียดในที่ประชุมผมจะให้เลขาส่งให้ทางอีเมล”
“ค่ะคุณคินทร์”
“แยกย้ายกันไปทำงานต่อเถอะครับ”
คินทร์ยกยิ้มให้พนักงานตามวิสัย แม้จะเพิ่งเข้าทำงานอย่างจริงจังได้ไม่นาน แต่กลับได้รับการยอมรับจากพนักงานเกินครึ่ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความใจดีและยิ้มเก่งของคินทร์ ทว่าในเรื่องของการทำงานเป็นคนที่จริงจังมากเหมือนกับพ่อของตน
นอกจากนี้ยังได้รับการชื่นชมจากพนักงานสาว ๆ ในบริษัท หลายคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลวิรุฬห์โยธิน แอบหวังว่าตัวเองจะเข้าตารองผู้บริหารคนใหม่
ถึงอย่างนั้นก็จะมีอีกหลายคนที่ไม่ยอมรับเด็กอายุเพียงแค่ยี่สิบสี่ปีที่เพิ่งเรียนจบอย่างคินทร์ ไม่เชื่อว่าจะสามารถขึ้นมาบริหารงานได้ ต่อให้เป็นลูกของประธานบริษัทก็ใช่ว่าจะยอมรับง่าย ๆ อย่างน้อยก็คงต้องพิสูจน์ฝีมือกันอีกสักหน่อย
.
.
เสียงจอแจของเด็กนักเรียนราว ๆ สี่สิบคนภายในห้อง จับกลุ่มพูดคุยระหว่างรอคุณครูเข้าสอน
น่านน้ำเป็นคนเดียวที่นั่งเหงาอยู่หลังห้อง อ่านหนังสือในบทเรียนเรื่องที่คุณครูจะเริ่มสอนในชั่วโมงเรียนวันนี้
“กูรู้มาว่าพ่อกับแม่ของมันตายแล้ว คุณรังสรรค์เลยเอามันมาเลี้ยง”
พลันหูแว่วได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูไม่ใกล้ไม่ไกล ทว่าใบหน้ายังคงก้มมองตัวอักษรในหนังสือ บทสนทนาถัดไปยิ่งทำให้จิตใจไม่จดจ่ออยู่กับเนื้อหาอีกต่อไป
“ที่ทำตัวหยิ่งเพราะมีคนใหญ่คนโตคุ้มกะลาหัวอยู่นี่เอง”
“มึงก็พูดไป คุณรังสรรค์เขาใจดีขนาดนั้น อาจจะนึกสงสารเลยส่งมันมาเรียนที่โรงเรียนค่าเทอมแพง ๆ แบบนี้ เพราะคุณเขาคงรู้ว่ามันคงไม่มีปัญญา”
“อย่าว่าแต่โรงเรียนค่าเทอมแพง ๆ เลย แค่โรงเรียนธรรมดาทั่วไปก็ไม่รู้มีปัญหาเข้าเรียนหรือเปล่า”
นักเรียนหญิงชายสองสามคนจับกลุ่มคุยกันไม่กลัวว่าคนที่กล่าวถึงจะได้ยินทั้งยังหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจราวกับเป็นเรื่องสนุก
ใช่ว่าพวกลูกคุณหนูคุณนายจะนิสัยเสียดูถูกคนอื่นเหมือนกันทุกคน มันเป็นบางจำพวกเท่านั้นนั่นแหละ จะโทษสังคมที่อยู่ก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะเคนกับคีนไม่เห็นจะเป็นอย่างคนพวกนี้ หากจะโทษคงต้องโทษที่ตัวบุคคลนั้น ๆ ที่มีจิตใจต่ำช้าคับแคบและอคติไปเอง
น่านน้ำไม่คิดจะตอบโต้เพราะสิ่งที่คนพวกนั้นพูดใช่ว่าจะไม่จริงเสียทั้งหมด เขาไม่มีปัญญาส่งตัวเองเรียนอย่างที่ว่าจริง ๆ หากไม่ได้คุณรังสรรค์เมตตาเขาคงไม่มีทางได้มาเหยียบโรงเรียนที่ค่าเทอมเป็นแสนแบบนี้
ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนหัดยอมให้คนอื่นดูถูกง่าย ๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขาเหนื่อยที่จะลุกขึ้นป่าวประกาศอธิบายเรื่องที่ตนเจอมาให้ใครเข้าใจ การที่ถูกตัดสินไปทั้งอย่างนั้น ทั้งที่ยังไม่เคยคิดที่จะทำความรู้จักกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจและปล่อยผ่านไปให้ได้
ทว่า… มันยากเหลือเกิน
คำพูดดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นกันราวกับเขาเป็นขยะเปียก มันเหมือนมีดเล่มคมที่เชือดเฉือนสร้างบาดแผลในใจเขาเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ทำได้ก็คืออดทน พยายามไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้คุณรังสรรค์ และคุณคนอื่น ๆ ต้องเดือดร้อนหนักใจเพราะเขา แค่สามปีเท่านั้น… แค่สามปีเขาก็จะหลุดพ้นจากวงโคจรอุบาทว์ในรั้วมัธยมแห่งนี้
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ