“อยู่ด้วยกันเถอะนะ อย่างน้อยก็เพื่อลูกของเรา” แม้จะเป็นคำขอที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่มันน่าตลกตรงที่คำพูดนั้นสามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้...
ดูเพิ่มเติมอารัมภบท
การตื่นลืมตาขึ้นมาพบเจอความว่างเปล่าในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าชีวิตของเขาตอนนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว บ้านหลังใหญ่ไร้ซึ่งความอบอุ่น ครอบครัวที่เคยอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ว่าหันไปมองทางไหนก็เห็นภาพความทรงจำที่เด่นชัดขึ้นภายในใจดวงน้อย ๆ ทว่าหลังจากนี้ภาพพวกนั้นคงค่อย ๆ เลือนรางลงไปทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างในก้นบึ้งหัวใจ
ไม่ง่ายเลยที่เด็กอายุเพียงสิบห้าปีต้องยอมรับความจริงที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ เหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เมื่อพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเขามาต้องจากโลกนี้ไปทิ้งไว้เพียงความคิดถึงที่เขาเฝ้าโหยหา และความทรงจำที่เขาไม่อาจลืมไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไร
เสียงผู้คนจอแจทยอยกันมาร่วมงานศพที่จัดขึ้นภายในวัด แขกมากหน้าหลายตาในชุดสีดำไว้ทุกข์ร่วมมาแสดงความเสียใจกับเด็กหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล สกุลวานิช ที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าในวันคล้ายวันเกิดอายุครบสิบห้าปีของตัวเอง
จากงานเลี้ยงกลายเป็นงานศพบิดาและมารดา ราวกับฟ้ากำลังแกล้งกัน อยากจะหัวเราะออกมาให้เหมือนคนเสียสติ ทว่าสิ่งที่ทำมีแค่นั่งมองโลงคู่และฉากรูปภาพของคนที่ตัวเองรักวางเคียงคู่กัน เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่เสียงหัวเราะ แต่เป็นเสียงร้องไห้ที่แทบจะขาดใจ
แม้วันนี้จะเป็นวันที่สองของงาน แต่เด็กคนนี้ยังร้องไห้ไม่ขาดสาย เฝ้าถามกับพ่อและแม่อยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมาว่าเหตุใดถึงทิ้งเขาไว้ให้เผชิญโลกกว้างเพียงคนเดียว ทำไมถึงไม่พาเขาไปด้วย
“น้องน่านไปทานอะไรหน่อยดีไหม เดี๋ยวป้าพาไป”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนใครต่อใครเห็นก็อดสงสารไม่ได้
ป้าษาเป็นพี่สาวแท้ ๆ คนเดียวของแม้ ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเขา นาน ๆ ครั้งที่จะได้เจอกันเนื่องจากไปใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ที่ต่างจังหวัดในภาคเหนือ ช่วงปิดเทอมใหญ่พ่อกับแม่ถึงจะพาไปเยี่ยมป้าษา
ครั้นรู้เรื่องเข้าป้าษาก็รีบบินตรงมาเพื่อจัดการงานศพให้น้องสาวและน้องเขยทันที ทั้งยังตั้งใจจะรับน่านน้ำไปอยู่ด้วยหลังจากจัดการเรื่องงานเสร็จทุกอย่างแล้ว
“แต่น้องน่านยังไม่ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเช้า ทานสักนิดเถอะนะ ไม่งั้นคุณพ่อคุณพ่อท่านจะเป็นห่วงเอา”
“น่านไม่หิว ฮือออ”
ยิ่งพูดถึงพ่อกับแม่ก็เหมือนกระตุ้นความเจ็บภายในใจ หากพ่อกับแม่ยังอยู่ตอนนี้คงได้ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทว่าหลังจากนี้ไม่มีอีกแล้ว...
“น่านคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ฮึก ทำไมทั้งสองคนถึงทิ้งน่าน ทำไมปล่อยให้น่านอยู่คนเดียว ฮือ”
น่านน้ำพรั่งพรูความอึดอัดถามป้าษาออกไป ทั้งน้ำเสียงทั้งคำพูดแทบฟังไม่เป็นคำ ร่างกายเล็กร้องไห้ตัวโยน ผู้เป็นป้าได้แต่ดึงหลานชายเพียงเข้ามากอดเอาไว้แน่น ทั้งที่เธอพยายามเข้มแข็งเพื่อหวังให้ตัวเองเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้หลานได้ สุดท้ายก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว การสูญเสียน้องสาวคนเดียวที่เธอรักมันเป็นเรื่องเจ็บปวดที่ยากเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
ทว่าเด็กคนนี้คงแตกสลายมากกว่าเขาเป็นไหน ๆ ต่อให้เธอจะทำดีแค่ไหนปลอบใจมากเท่าไร แต่เขารู้ดีว่าแผลที่เกิดขึ้นในใจของน่านน้ำมันจะเป็นแผลเป็นตลอดไป ใช้เวลารักษาเท่าไรก็ไม่มีวันหาย ต่อให้เวลานานไปแผลนั้นจะตื้นขึ้นมาในสักวัน แต่หากมีสิ่งใดไปสะกิดแผลนั่นก็อาจทำให้เจ็บขึ้นมาได้อีกครั้ง
เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วบริเวณ เด็กหนุ่มแอบมานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ท่ามกลางความมืด เสียงสวดในศาลาดังมาถึงที่เขานั่งอยู่ เขาไม่อยากอยู่ตรงนั้นไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าพ่อกับแม่ได้จากไปแล้ว
“พี่ขอนั่งด้วยได้ไหม”
ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยมองร่างสูงด้วยดวงตาพร่ามัว ทั้งรอบตัวยังมืดมีแสงสว่างเพียงน้อยนิดทำให้เห็นใบหน้าอีกคนไม่ชัดเท่าไรนัก
น่านน้ำไม่ได้ตอบกลับไปเพียงแค่ก้มหน้าเช็ดน้ำตา พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่น่าอายไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน เขาไม่ได้อยากอ่อนแอแบบนี้เลยแต่มันยากเกินไป เกินความพยายามของเขา
ข้างกายรับรู้ได้ถึงลมบางเบา เมื่อคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน ไม่มีเสียงพูดจากอีกฝ่าย ทว่าคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักกลับยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้กัน
มือเล็กยกขึ้นรับน้ำใจจากอีกคน เด็กคนนี้ไม่ได้รู้จักระวังตัวเลยแม้แต่น้อย หากชายแปลกหน้าคนนี้เป็นคนไม่ดีหรือคิดร้ายขึ้นมา เห็นทีคงจะไม่รอด
“ขะ ขอบคุณ อึก ครับ”
เพราะถูกเลี้ยงดูและอบรมมาอย่างดี ไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหนก็ไม่ลืมไปถึงมารยาทที่คุณแม่ของตนพร่ำสอนมาตั้งแต่เล็ก
“มานั่งที่มืด ๆ คนเดียวแบบนี้ยุงไม่กัดเหรอ”
น่านน้ำส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ แม้ว่าความจริงแล้วยุงแทบจะหามเขาไป แต่เสียใจเกินกว่าจะมานั่งตบยุง ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสัตว์ตัวเล็กจะนำภาหะของโรคไข้เลือดออกมาสู่เขาหรือเปล่า
หลายนาทีที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดที่ร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ช่วยกลบเสียงสะอื้นเบา ๆ ของเด็กคนนี้ได้เลย
ครั้นหันไปมองทางด้านหลังก็เห็นว่าคนเริ่มทยอยออกจากศาลากันแล้ว เขาเองก็ต้องกลับแล้วเหมือนกัน
“กลับไปที่ศาลาเถอะ อย่านั่งอยู่คนเดียวเลย เผื่อตรงนี้มีสัตว์มีพิษจะเกิดอันตรายได้”
คำเตือนแฝงความห่วงใยของคนแปลกหน้าทำให้น่านน้ำเงยหน้ามองร่างสูงอีกครั้ง เป็นใครกันทำไมถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้กับเขา รู้จักเขาหรือยังไง เพราะคนส่วนใหญ่ที่มางานก็เป็นคนรู้จักคุณพ่อกับคุณแม่ ซึ่งจากที่เห็นมาก็ค่อนข้างจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับพวกท่าน ทว่าชายคนนี้ที่ดูจะสูงกว่าเขาเยอะพอสมควร หากเพ่งมองผ่านความมืดก็พอจะเดาได้ว่าอายุมากกว่าเขา หรือหากพิจารณาจากน้ำเสียงก็ยังดูหนุ่มอยู่
“พี่ต้องไปแล้ว”
“...”
เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่พูดอะไรก็เริ่มเดินห่างออกมา ทว่าออกไปได้ไม่ไกลก็เอี้ยวตัวกลับมาแนะนำตัวอีกครั้ง
“จริงสิพี่ลืมแนะนำตัว พี่ชื่อคินทร์นะ หวังว่าเราจะได้เจอกันใหม่เด็กน้อย”
“ดะ เดี๋ยว”
เรียกไว้ไม่ทันรู้สึกตัวอีกที่พี่ชายคนนั้นก็เดินออกไปไกลเสียแล้ว เด็กหนุ่มหลุบตามองผ้าเช็ดหน้าในมือ รู้แค่ชื่อแล้วเขาจะคืนผ้าเช็ดหน้าให้ได้ยังไง
แต่เมื่อกี้ตอนที่อีกคนเอี้ยวตัวกลับมาไฟจากศาลากระทบเสี้ยวใบหน้านั้นพอดิบพอดี แม้จะเห็นไม่ชัดแต่เขาคิดว่าเขาจะจำรูปหน้าและรอยยิ้มนั้นได้
จะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า...
...
1 ปีต่อมา
หลังจากเจอจุดเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กที่มีครอบครัวอบอุ่น กลายเป็นเด็กกำพร้า เวลาผ่านมาถึงหนึ่งปีแผลที่เกิดขึ้นในใจยังไม่ได้จางหายไป ทุกวันจรดเช้ายันค่ำเขายังคงคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นที่เคยผ่านมา
จากอายุสิบห้าปีนี้ขึ้นมาเป็นสิบหก เขาเลือกที่จะหยุดเรียนไปเต็ม ๆ หนึ่งปี เพื่อนรุ่นเดียวกันต่างขึ้นมอปลายใช้ชีวิตตามวัยของตัวเอง ส่วนเขากลับจมอยู่กับความเศร้าไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามเดิม
เขาย้ายมาอยู่กับป้าษาที่จังหวัดน่านหลังจากจัดการงานศพพ่อกับแม่เสร็จเรียบร้อย เขามาอยู่ที่นี่ตัวเปล่าไม่มีสมบัติใดติดตัวมาแม้แต่น้อย ได้ยินที่ป้าษาคุยกับสามีก็พอจะเข้าใจได้ว่าธุรกิจที่พ่อสร้างขึ้นมาล้มละลาย ถูกยึดทุกอย่างไปทั้งหมดเพื่อชดใช้หนี้สินที่ติดไว้ เขากลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านหลังใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ก็ถูกธนาคารยึด เหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องมาอยู่กับป้าษา
แม้ป้าษาจะดีกับเขามากเท่าไร แต่เด็กที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยอย่างเขาก็ไม่เขาตาสามีของป้าษา ตลอดหนึ่งปีเขาพยายามอดทน ช่วยงานทุกอย่างที่ทำได้เพียงเพื่อทดแทนความเมตตาที่ท่านให้ที่พักที่นอน ข้าวปลาอาหาร
ป้าษามีลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคน รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา พี่ชายคนโตค่อนข้างจะใจดีและดูเอ็นดูเขามาแต่ไหนแต่ไร ส่วนอีกสองคนก็เหมือนจะไม่ชอบเขาสักเท่าไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน และพยายามเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเอง
ทว่าเหมือนชีวิตจะยังเล่นตลกกับเขาไม่มากพอ...
“ผมอยากขอรับหนูน่านไปดูครับ”
คำพูดของชายวัยกลางคนที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาขอรับเลี้ยงดูเขาโดยเงื่อนไขที่ยื่นให้กับป้าษาคือการพาเขาไปอยู่ที่บ้านตัวเอง ค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนต่าง ๆ จะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งยังมีเงินตอบแทนให้ก้อนหนึ่งหากป้าษาตอบตกลง
เขาไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการออกความเห็น จะเรียกว่าปลงก็คงไม่ใช่เพราะเขาก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดทุกอย่าง เพียงแค่ไม่มีแรงจะต่อต้านใด ๆ ครั้นหันไปมองป้าษาและสามีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังปรึกษากัน จากที่เห็นป้าษาดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่คนเป็นสามีกลับตอบตกลงสุดท้ายป้าษาก็ต้องเลือกสามีตัวเองอยู่แล้ว
เขาควรจะสำนึกสำเหนียกและจำให้ขึ้นใจ ว่าต่อให้ป้าษาจะรักเขาแค่ไหนเขาก็เป็นได้แค่คนนอกของบ้านหลังนี้ ที่ยืนของเขามันเล็กเกินกว่าขยับตัวได้ ไม่ว่าใครจะจับให้หันซ้ายหันขวาเขาก็ต้องทำเช่นนั้น
เด็กที่ไม่เคยลำบากมาก่อนเมื่อถึงจุดต่ำสุดของชีวิต แทบจะพึ่งพาตัวเองไม่ได้เลย โลกนี้มันกว้างเกินไปสำหรับเขาจริง ๆ มีอะไรอีกมากมายที่เขาไม่เคยเผชิญ ไม่เคยได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
“ป้าขอโทษนะน้องน่าน แต่ป้าเชื่อว่าคุณรังสรรค์เขาจะดูแลน่านอย่างดี อย่างน้อยถ้าอยู่กับคุณเขาน้องน่านก็จะได้เรียน ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นก็คงสุขสบายกว่าอยู่กับป้า”
พูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างจำนน ในเมื่อตอบตกลงรับเงินเขามาแล้ว น่านน้ำก็ต้องย้ายไปอยู่ที่นั้นกับคุณรังสรรค์ และต้องออกเดินทางตั้งแต่วันนี้
ป้าษาช่วยเก็บเสื้อผ้าที่มีอยู่น้อยนิดใส่กระเป๋าเป้ให้หลายชาย แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องทำแบบนี้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ในเมื่อสามีเป็นฝ่ายตัดสินใจ เพราะแม้แต่เธอบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็เป็นของสามี เธอเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากพอจะขอร้องให้เห็นใจเด็กคนนี้
“มาแค่ตัวก็ไปแค่ตัว อย่าหยิบจับเอาของที่บ้านฉันไปล่ะ”
คำพูดเหน็บแนมที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งออกมาจากปากของลุงเกริก รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ นึกโกรธตัวเองที่อ่อนแอเกินกว่าจะเถียงกลับไป ได้แต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาฟังคำดูถูกต่าง ๆ นานา
เขาไม่รู้ว่ากการไปอยู่ที่บ้านใหม่จะเป็นยังไง ทว่าภาวนาขอให้หลุดพ้นจากความเสียใจนี้เสียที
.
.
บ้าน วิรุฬห์โยธิน
นั่งเครื่องมาถึงสนามบินก็มีคนรถมารอรับเพื่อพากลับมาที่บ้าน แม้ภายนอกจะเฉยชาแต่ภายในใจของเด็กคนนี้กลับนึกกังวลอยู่ไม่น้อย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องย้ายมาอยู่กับคนแปลกหน้า
ประตูรถเลื่อนเปิดออกให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ลงมา พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารัก สาวใช้สามคนเดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น่านน้ำยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม
“พวกเราเป็นแค่คนใช้ไม่ต้องไหว้พวกเราก็ได้ค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยพูดขึ้นด้วยท่าทีเอ็นดู นึกชื่นชมในมารยาทของเด็กคนนี้ที่กำลังจะขึ้นมาเป็นเจ้านายอีกคนของเธอ
“หนูน่านเข้ามาในบ้านสิ ทุกคนรออยู่”
น่านน้ำสาวเท้าเดินตามคุณผู้ชายของบ้านมาจนถึงโถงห้องรับแขก มีคนนั่งรออยู่อย่างที่คุณรังสรรค์ว่าไว้จริง ๆ
“นั่งก่อนสิจ๊ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอายุใกล้เคียงกับแม่ของเขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม น่านน้ำนั่งลงบนโซฟาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“นี่คุณหญิงกนกอรภรรยาของลุง ส่วนนี่คินทร์พี่ชายคนโต เคนคนกลาง อีกคน...”
“คีนน้องคนเล็ก ยินดีที่ได้รู้จักนะพี่น่านน้ำ”
ไม่ทันที่คุณรังสรรค์พูดจบ ลูกชายคนเล็กก็ชิงแนะนำตัวก่อน ทั้งยังขยับเข้ามานั่งใกล้น่านน้ำอย่างถือวิสาสะ ด้วยความตกใจคนตัวเล็กรีบลุกขึ้นถอยออกห่างทันที
“คีน! พี่เขาตกใจเห็นไหม กลับมานั่งที่เลยไอ้ตัวแสบ”
ผู้เป็นแม่รีบปรามลูกชายของเธอ ครั้นหายตกใจแล้วน่านน้ำถึงได้ยกมือไหว้ทุกคน
“สวัสดีครับผม..ชื่อน่านน้ำครับ”
เอ่ยแนะนำตัวเองด้วยเสียงอ้อมแอ้ม คุณหญิงกนกอรยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ ก่อนจะจะลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างหน้าสมาชิกใหม่ ถือวิสาสะจับมือน้อย ๆ มากุมไว้
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านวิรุฬห์โยธินค่ะหนูน่าน”
“คะ ครับ”
เขายังมีอีกหลายอย่างที่นึกสงสัย และไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่บ้านหลังนี้ถึงได้รับเขามาเลี้ยงดู ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักหรือคุ้นหน้ามาก่อน
“เดินทางมาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนสักหน่อยดีไหม ลุงให้คนเตรียมห้องไว้แล้ว ให้พี่คินทร์พาไป”
“คีนขอพาไปเองได้ไหมป๊า”
“เราน่ะนั่งอยู่เฉย ๆ”
เด็กน้อยทำหน้ายู่เล็กน้อยที่ป๊าไม่อนุญาต เขาก็แค่อยากทำความรู้จักกับพี่ชายคนนี้ก็เท่านั้น ทำไมป๊าถึงไม่เข้าใจนะ!
ร่างเล็กเดินตามลูกชายคนโตขึ้นมาชั้นสามของบ้าน ห้องริมสุดทางเดินเป็นห้องนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ดวงตากลมใสสำรวจภายในห้องนอนคร่าว ๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณคนอายุมากกว่าที่อุตส่าห์เดินมาส่ง
“ขอบคุณพามาส่งครับคุณคินทร์”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกเฮียเหมือนเคนกับคีนก็ได้”
น่านน้ำยืนมองอีกฝ่ายนิ่ง ไม่คิดจะพูดหรือตอบรับอะไรกลับไป ทว่ากลับจำคำที่คนตรงหน้าบอกเอาไว้
“พักผ่อนเถอะ”
“ครับ”
ร่างสูงเดินห่างออกไปหยุดอยู่ตรงประตู ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้พร้อมประโยคที่ทำให้เขาต้องใช้สมองคิดเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำบางอย่าง
“ดีใจนะที่ได้เจอกันอีกครั้ง”
ดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ...
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ
ความคิดเห็น