น่านน้ำหอบเอาอุปกรณ์วาดภาพมาบริเวณสวนหลังบ้าน เป็นหนึ่งในการบ้านที่เขาต้องทำส่งในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวิชาที่เขาชื่นชอบ และถนัดมากที่สุด
เด็กหนุ่มจัดแจงของวางไว้ในพื้นที่ที่ตนเองหยิบจับได้สะดวก การทำงานศิลปะในที่เงียบสงบและร่มรื่นแบบนี้ทำให้สมองโล่งสามารถรังสรรค์ภาพวาดออกมาได้อย่างดี เสียงเพลงสากลเบา ๆ เปิดคลอเคล้าสร้างบรรยากาศรอบตัวให้น่าทำงานเพิ่มขึ้น
บริเวณสวนหลังบ้านเป็นที่ที่น่านน้ำชอบมานั่งเล่นมากที่สุด เพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามา แม้แต่เจ้าของบ้านอย่างคุณรังสรรค์ คุณหญิงกนกอร หรือลูก ๆ ทั้งสามคน ต่างไม่ได้ให้ความสนใจกับส่วนนี้ของบ้าน เพียงแค่ให้ลุงแช่มเป็นดูแล ไม่ให้พวกหญ้าขึ้นมารกก็เท่านั้น
เสียงนกร้องเบา ๆ ดังอยู่ไม่ไกล เรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี น่านน้ำวางสมุดวาดภาพก่อนจะเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน ชะเง้อมองอยู่หลายนาทีถึงได้เห็นว่ามีรังนกอยู่บนต้นไม้ ซึ่งไม่ได้สูงเท่าไรนัก ร่างเล็กเดินไปหยิบบันไดที่ลุงแช่มเอาไว้ต่อเท้าเวลาตัดแต่งกิ่งมาตั้งใกล้ ๆ ต้นไม้ ก่อนขึ้นไปยืนดูลูกนกตัวเล็กในรัง ใบหน้าจิ้มลิ้มเผยยิ้มอ่อนให้กับความน่ารัก
คนตัวเล็กวิ่งกลับมาหยิบโทรศัพท์เพื่อถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เอาไปเป็นแบบวาดภาพเสริมก็น่าจะดูมีอะไรมากขึ้น
“น่ารักจัง..” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาราวกับกระซิบ ด้วยความสูงของต้นไม้แม้จะต่อเท้าด้วยบันไดแล้วก็ยังมองไม่ค่อยเห็นจึงต้องเขย่งเท้าช่วย
ทว่าในจังหวะหนึ่งบันไดกลับโงนเงนจนร่างหงายหลังคว้ากิ่งไม่ไว้ไม่ทัน อาจจะยังเป็นโชคดีที่ไม่ทันร่วงลงถึงพื้นก็มีคนช่วยรับไว้เสียก่อน
“ระวังหน่อยสิครับ เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก”
เด็กหนุ่มตกใจไม่หายคิดว่าตัวเองจะลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแล้วซะอีก มีหวังถ้าหลังหรือเอวกระแทกกับพื้นหญ้าคงได้ช้ำไปหลายวัน
น่านน้ำรีบทรงตัวยืนตรงยกมือไหว้ขอบคุณคนอายุมากกว่าที่ช่วยเหลือเขาเอาไว้
“ขอบคุณที่ช่วยครับเฮียคินทร์”
คินทร์รับไหว้พร้อมยกยิ้มให้เด็กตรงหน้า ถ้าไม่เดินมาเจอป่านนี้คงได้เจ็บตัวไปแล้ว
ปกติเขากลับบ้านช้ากว่านี้ แต่วันนี้เสร็จงานเร็วเลยอยากกลับมาก่อน ทว่าที่บ้านกลับไม่มีใครอยู่สักคน มีแม่บ้านเดินเข้ามาบอกว่าน่านน้ำอยู่ที่สวนเขาจึงเดินมาดูแต่กลับไม่เจอคนมีเพียงสมุดวาดภาพกับอุปกรณ์ต่าง ๆ วางอยู่
เดินหามาเรื่อย ๆ จนเจอกับเด็กตัวเล็กที่พยายามชะเง้อมองอะไรสักอย่างบนต้นไม้ แต่พลาดท่าเกือบตกลงมา โชคดีที่เขาเข้าไปรับไว้ได้ทัน
“น่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“พอดีน่านได้ยินเสียงนกร้องเลยเดินมาดู” เอ่ยตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะกลัวว่าจะโดนดุ “บนนั้นมีรังนกอยู่”
“มีนกอยู่ในรังเหรอครับ”
“ครับ.. มีลูกนกตัวเล็ก ๆ สองตัว”
คนถามพยักหน้ารับเมื่อได้ฟังคำตอบ “ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนกลัวเฮียขนาดนั้นเลย เฮียไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย”
“...”
น่านน้ำก้มหน้างุดไม่กล้าที่จะสบตากับอีกฝ่าย ยิ่งถูกมองด้วยสายตาอ่อนโยนยิ่งทำตัวไม่ถูก รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจ
“เฮียเห็นน่านวางสมุดวาดภาพไว้ที่สวน การบ้านหรือเปล่า หรือแค่ออกมาวาดรูปเล่น” คินทร์พยายามชวนน่านน้ำคุยก่อนอย่างเช่นทุกครั้ง เพราะหากรอให้เด็กคนนี้ชวนเขาคุยก่อนมีหวังคงไม่ได้คุยกัน
“การบ้านครับ”
“เดี๋ยวน่าจะกลับไปนั่งทำต่อหรือเปล่า”
“ครับ”
“เฮียขอไปนั่งด้วยได้ไหม”
“...”
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ” เมื่อเห็นอีกคนนิ่งไปก็กลัวว่าจะอึดอัดหากเขาจะขอไปนั่งด้วย
“เปล่าครับ ถ้าเฮียอยากนั่งจะไปนั่งด้วยก็กันได้”
เด็กหนุ่มเอ่ยพูดเสียงเบาทว่ายังดังพอที่คนตรงหน้าจะได้ยิน คินทร์ยกยิ้มเอ็นดู ท่าทีนอบน้อมอ้อมแอ้ม กล้า ๆ กลัว ๆ ความจริงแล้วคินทร์ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเขาด้วยซ้ำ เพราะเจ้าตัวเป็นเจ้าของบ้านจะไปตรงไหนนั่งตรงไหนก็ย่อมได้
ถึงจะอยู่ด้วยกันมาเดือนกว่าแล้ว แต่น่านน้ำก็ยังปิดกั้นตัวเอง กำแพงในใจของเด็กคนนี้สูงเกินกว่าจะก้าวข้ามไปได้ในคราเดียว
ลมพัดโชยมาเป็นระลอกสม่ำเสมอ พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกใกล้จะตกดินในอีกไม่กี่นาทีนับจากนี้ เสียงดินสอขีดเขียนบนกระดาษดังคลอเคล้าไปกับเสียงเพลงเบา ๆ
คินทร์นั่งมองภาพที่อีกคนวาดอย่างเพลินตา ลอบชื่นชมฝีมืออยู่ในใจ ก่อนหน้านี้รับปากไว้ว่าตนจะนั่งเงียบ ๆ ไม่รบกวน เขาทำแบบนั้นจริง ๆ
นานนับชั่วโมงไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน ทว่าคินทร์ไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นคนรักสงบอยู่แล้ว การที่ได้นั่งเงียบ ๆ มองอะไรเพลิน ๆ จึงไม่ใช่เรื่องงุ่นง่านอะไร
“พี่น่าน!” เสียงนุ่มยังไม่แตกหนุ่มของน้องเล็กของบ้านเรียกคนอายุมากกว่าดังลั่น พลางวิ่งพรวดเข้ามา เด็กอารมณ์ดีช่างพูดอย่างคีนรีบเอ่ยถามคำถามมากมาย พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ “พี่น่านมาทำอะไรตรงนี้ แล้วนี่วาดอะไรอยู่ ขอดูหน่อยได้ไหม หือ! สวยมาก! พี่น่านสอนคีนวาดแบบนี้บ้างสิ แล้ว---”
น่านน้ำยกยิ้มบาง ๆ ให้คนที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกาย ก่อนที่คีนจะหุบปากฉับทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ
“คีน! พี่น่านทำงานอยู่เห็นหรือเปล่า” เสียงเข้มเอ่ยดุน้องชาย ครั้นเจ้าตัววุ่นวายมากเกินไป
“โธ่! คีนก็แค่ขอดูเอง ทำไมเฮียต้องทำเสียงดุ”
“ต้องให้เฮียพูดซ้ำไหม” แม้ภายนอกคินทร์จะดูเป็นคนอบอุ่นใจดีกับน้อง ๆ แต่ทว่าเป็นเรื่องที่จริงจังเจ้าตัวก็เป็นคนน่ากลัวมากคนหนึ่ง อาจจะเพราะเป็นพี่ชายคนโต ถึงได้มีหลายมุมที่แสดงออกมา ทั้งยังต้องคอยเป็นแบบอย่างให้น้องชาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถสอนน้องได้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
“ไม่เป็นไรครับเฮียคินทร์ อย่าว่าน้องคีนเลย”
คนกลางอย่างน่านน้ำเอ่ยปากเข้าข้างเด็กชายวัยสิบสามปี ถึงยังไงเสียคีนก็ยังเด็ก แค่เข้ามาชวนคุยตามประสาไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากมายสำหรับเขา
“พี่น่านของคีน” เด็กชายข้างกายเบะปากคล้ายจะร้องไห้พลางกอดแขนน่านน้ำเอาไว้แน่น ดีใจที่อีกคนเข้าใจและไม่ได้ต่อว่าตนเอง “เดี๋ยวนี้นะเฮียชอบดุคีน คีนจะยกพี่น่านเป็นพี่ชายคนโปรดแทนเฮียคอยดูเถอะ”
“เราน่ะโดนตามใจจนเคยตัวถึงได้ดื้อแบบนี้ น่านก็อย่าไปตามใจคีนมากนัก”
คนถูกกล่าวหามุ่ยหน้าใส่พี่ชาย ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับภาพวาดของน่านน้ำต่อ
แม้คีนจะอายุน้อยกว่าน่านน้ำถึงสามปีแต่ขนาดตัวกลับเท่ากัน เผลอ ๆ ตัวใหญ่กว่าด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะน่านน้ำเป็นเพศพิเศษถึงได้ตัวเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มราวเด็กผู้หญิง
หลังจากทุกอย่างกลับสู่ความสงบน่านน้ำได้วาดงานต่อนิดหน่อย ก่อนจะเก็บของเข้าบ้าน เพราะถึงเวลาทานมื้อเย็น
ทุกมื้อบนโต๊ะอาหารยังคงเหมือนเดิม ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาทานของตัวเองโดยไม่พูดไม่จากัน จะมีก็แต่คินทร์ที่คอยตักอาหารใส่จานให้น้องชาย รวมถึงน่านน้ำที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง
ทานข้าวเสร็จเด็กหนุ่มก็ช่วยพวกแม่บ้านยกจานไปเก็บ ทั้งยังช่วยล้างถ้วยล้างชาม แม้จะโดนห้ามเอาไว้ก็ไม่ฟัง พวกสาวใช้มองหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย กลัวเหลือเกินว่าสักวันจะโดนคุณหญิงคุณชายต่อว่าที่ปล่อยให้น่านน้ำมาทำอะไรแบบนี้
ร่างเล็กทอดน่องเดินมายังริมระเบียงห้องพร้อมอุปกรณ์วาดรูป องค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพเสร็จแล้ว เหลือแค่เก็บรายละเอียด เขาตั้งใจจะทำให้เสร็จก่อนจะไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้จะได้ลงสีอย่างเดียว
เวลาผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงกับการจดจ่ออยู่กับการวาดภาพ เปลือกตาสีมุกค่อย ๆ ปิดลงเมื่อรู้สึกปวดตา ก่อนลืมตาขึ้นช้า ๆ ละสายตาออกจากแผ่นกระดาษ มองไปยังทิวทัศน์ด้านหน้าในเวลากลางคืน
ผืนฟ้ามืดสนิท ไร้ซึ่งดวงดาวประดับ จะมีก็แต่พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ที่ท่อแสงอ่อนรอบ ๆ ตัวเอง ครั้นทอดมองอยู่ครู่หนึ่งความทรงจำหลาย ๆ อย่างกประเดประดังเข้ามาจนหลุดไปอยู่ในภวังค์
น่านคิดถึงคุณพ่อคุณแม่...
คิดถึงช่วงเวลาเคยเกิดขึ้นและสูญเสียไป คิดถึงใบหน้าของบิดามารดาที่ตนมักเห็นอยู่เป็นประจำค่ำเช้าเข้านอน
ตอนนี้ย่างเข้าปีที่สองแล้วที่เขาได้สูญเสียบุคคลที่รักทั้งสองไป ไม่เคยมีสักวินาทีที่เขาลืมเลือนพวกท่าน
พลันความทรงจำที่เด่นชัดขึ้นมาตอกย้ำ บาดแผลในใจที่ยังไม่หายดีทำให้เขาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้ตัวอีกทีแก้มใสก็เปื้อนไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว
เด็กหนุ่มรีบดึงสติยกมือขึ้นปาดน้ำตา เกรงว่ามันจะหยดลงบนงานวาดของตัวเอง
ถึงจะเสียใจที่ชีวิตต้องพบเจอเรื่องราวแย่ ๆ แต่ตอนนี้ก็ดีกว่าตอนที่อยู่บ้านป้าษา.. อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่หลายครั้ง เรียกสติคนที่กำลังคิดฟุ้งซ่านให้ลุกขึ้นมาเปิด
“เฮียเอานมอุ่นมาให้ ดื่มก่อนนอนจะได้นอนหลับสบาย”
เด็กหนุ่มหลุบตามองแก้วนมในถาดก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวโต “ขอบคุณครับ”
คาดว่าก่อนมาถึงเขาน้องชายทั้งสองคนก็คงจะได้ดื่มกันแล้ว เพราะในถาดมีแก้วเปล่าเปรอะคราบนมอีกสองแก้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมตาแดง ๆ”
คนช่างสังเกตโน้มลงเอียงหน้ามองนัยน์ตาของคนตัวเล็ก ที่ดูผิดปกติไปจากเดิมเล็กน้อย
“น่านขยี้ตาน่ะครับ ไม่ได้เป็นอะไร” เขาไม่อยากพูดความจริง เพราะไม่อยากให้ใครมองว่าตนเองอ่อนไหวกับเรื่องในอดีต มันคงจะดูอ่อนแอในสายตาคนอื่น “ขอบคุณสำหรับนมครับ เดี๋ยวน่านดื่มหมดแล้วจะเอาแก้วไปเก็บเอง”
พูดจบก็ค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะกลับเข้าห้องปิดประตูล็อกกลอนทันที ไม่รอให้อีกคนได้พูดอะไรต่อ คินทร์ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้อะไรมากมาย เพียงแค่เก็บความสงสัยเอาไว้
น่านน้ำเก็บอุปกรณ์วาดภาพมาไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ นั่งลงมองแก้วนมอุ่นครู่หนึ่งก่อนยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนลงมาชั้นล่างล้างแก้วเก็บไว้ที่เดิม
…
เด็กหนุ่มหน้าใสเดินเล่นอยู่ที่สวนอย่างเช่นทุกวัน หลังจากทานข้าวเช้าพร้อมคุณคนอื่น ๆ เสร็จก็ปลีกตัวออกมาทำการบ้านที่ค้างไว้จนเสร็จ วันนี้เป็นอีกวันที่น่านน้ำต้องอยู่บ้านคนเดียว แม้จะมีสาวใช้หลายคนทว่าพวกหล่อนเป็นหญิง เขาจึงไม่รู้ว่าควรพูดคุยด้วยเรื่องอะไร อีกอย่างทุกคนก็ดูจะเกร็ง ๆ เวลาอยู่กับเขา การเลือกออกมาอยู่ที่เงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้เป็นเรื่องที่ชินไปแล้ว ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่เสียอีก
เจ้าของบ้านอย่างคุณรังสรรค์ก็ออกไปทำงานที่บริษัทแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ก็ตาม ส่วนคุณหญิงกนกอรไปทำผมทำเล็บตามนัดของเพื่อน ๆ ลูกชายอีกสามคนก็แยกกันไปคนละทาง คนโตอย่างคินทร์ออกไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้า ไม่ได้อยู่ทานข้าวพร้อมกันด้วยซ้ำ คนกลางอย่างเคนรายนั้นคงไปเล่นเกมบ้านเพื่อนอีกตามเคย และน้องเล็กมีนัดทำรายงานกับกลุ่มเพื่อน
คนไม่มีเพื่อนอย่างน่านน้ำก็ต้องอยู่บ้านถูกแล้ว ทั้งที่เข้าเรียนมาได้อาทิตย์กว่าเขายังไม่มีเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้เลยสักคน อาจเป็นเพราะเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่น ๆ จึงสนิทกับคนอื่นได้ยาก เพราะคนอื่นมีกลุ่มที่สนิทกันหมดแล้ว
อีกอย่างน่านน้ำไม่ใช่คนช่างพูดอย่างเมื่อก่อน การจะเข้าหาใครก่อนจึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ไม่ใช่แค่คนอื่นที่ก้าวข้ามกำแพงมาหาเขาไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ข้ามกำแพงความกลัวของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
มีหลายครั้งที่เขาได้ยินเพื่อน ๆ ในห้องจับกลุ่มซุบซิบนินทาเรื่องที่เขาเข้ามาเรียนหลังจากปิดรับนักเรียนไปแล้ว คำพูดหนาหูที่กล่าวกันก็ไม่พ้นที่บอกว่าเขาเป็นเด็กเส้น เพราะมีผู้ปกครองเป็นคนใหญ่คนโต
ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแต่กลับเถียงออกไปไม่ได้… ในเมื่อมันคือเรื่องจริง
คุณรังสรรค์เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของโรงเรียน ให้ทุนการศึกษานักเรียนทุกเทอม ไม่แปลกที่เด็ก ๆ จะรู้จักกันเป็นอย่างดี ไหนจะรายการสัมภาษณ์ที่ได้ออกทีวีอยู่บ่อยครั้ง
ถึงเขาจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้มาก่อน แต่ทว่าในตอนนี้กลายเป็นเด็กที่อยู่ในการดูแลของทุกคนที่นี่
น่านน้ำจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเจอคำพูดมากมายจากปากของหลาย ๆ คน จะแก้ต่างให้ตัวเองก็ยากเกินไป..
“มานั่งอยู่คนเดียวอีกแล้วเหรอครับ” ลุงแช่มเอ่ยทักทันทีที่เจอเด็กคนนี้นั่งอยู่ที่เดิมทุกวัน แม้จะเป็นเรื่องชินตาแต่อดทักไม่ได้จริง ๆ
“ครับ ตรงนี้ร่มรื่นแล้วก็ลมพัดดีด้วยน่านเลยชอบมานั่งเล่น.. เหมือนตอนอยู่ที่บ้านเก่าของคุณพ่อคุณแม่”
เสียดายที่บ้านหลังนั้นถูกยึดไปแล้ว ทว่าความทรงจำที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ได้ถูกยึดไปด้วย ทุกอย่างยังเด่นชัดอยู่ทุกคราที่คิดถึง
“งั้นเรามาช่วยกันจัดดอกไม้ให้น่าอยู่เพิ่มขึ้นดีไหมครับ”
ลุงแช่มเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเด็กคนนี้ก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงผ่านเรื่องทุกข์ใจมาไม่น้อย จึงเปลี่ยนเรื่องคุยชวนทำสวนอย่างที่เจ้าตัวชอบอาสาช่วยอยู่บ่อยครั้ง ไหน ๆ ส่วนนี้ของบ้านคุณท่านทั้งสองมอบหน้าที่ให้เขาเป็นคนดูแล และน่านน้ำชอบมานั่งเล่นอยู่คนเดียวบ่อย ๆ อย่างนั้นช่วยกันจัดแต่งอีกหน่อย เผื่อว่ามันจะน่าอยู่มากขึ้นจะได้ใช้เป็นที่พักพิงใจให้เด็กคนนี้ไม่มากก็น้อย
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ