ผ่านการฝึกงานมาหลายเดือนน่านน้ำตัดสินใจได้แล้วว่าตนเองอยากเรียนอะไร หลังจากศึกษาสถานที่เรียนเป็นที่เรียบร้อย น่านน้ำรอวันเปิดรับสมัครอย่างใจจดใจจ่อ กาปฎิทินทุกวันจนถึงวันที่ตนเองรอคอย คนที่ช่วยพาน่านน้ำไปสมัครเรียนและให้คำแนะนำต่าง ๆ ก็คือเคน
ตอนแรกเฮียคินทร์อยากจะพามาเองแต่ติดตรงที่งานล้นมือไม่สามารถทิ้งมาได้เนื่องจากเกรงใจพ่อและพนักงานคนอื่น ๆ ยิ่งช่วงนี้เป็นที่จับตามองเป็นพิเศษเพราะอีกไม่น่านรังสรรค์จะลงจากตำแหน่งประธานและให้ลูกชายขึ้นมาบริหารแทน ส่วนตัวเองก็ขอใช้บั้นปลายชีวิตกับภรรยาที่บ้าน อาจจะช่วยดูแลกิจการสาขาย่อยอื่น ๆ ไปด้วย
ใช้เวลาประมาณครึ่งวันกับการดำเนินเรื่องสมัครเรียน หลังจากนี้ต้องรอผลประการทางอีเมลว่าจะผ่านรอบแรกไปจนถึงรอบสอบสัมภาษณ์หรือเปล่า
“แวะหาอะไรกินก่อนกลับแล้วกัน”
ตามนิสัยของคนพูดน้อยอย่างเคนไม่คิดที่จะถามว่าต้องการหรือเปล่า จะออกไปทางทำตามที่ตัวเองต้องการเสียมากกว่า แม้จะไม่ได้เป็นการบังคับอีกฝ่าย ทว่าทำให้คนฟังต้องทำตามแต่โดยง่าย
น่านน้ำไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่เคนไม่อยากรับช่วงต่อจากพ่อเหมือนพี่ชายคนโต เพราะจากนิสัยของเจ้าตัวแล้วค่อนข้างจะเดายาก ดูเผิน ๆ เหมือนจะเข้าถึงง่ายแต่ความจริงเคนไม่ชอบให้ใครเข้าหาก่อนสักเท่าไร ทั้งยังเป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยยิ้มแย้มสักเท่าไร ทว่าเวลามีเรื่องไม่พอใจชายหนุ่มคนนี้เหมือนเพลิงไฟที่เอาน้ำมาราดก็ไม่ยอมดับลงง่าย ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงความดุเอาไว้ กลับทำให้สาว ๆ หนุ่ม ๆ ไม่เกรงกลัวที่จะต่อแถวยื่นขนมจีบให้ไม่เว้นวัน แต่มีเหรอที่เคนจะเล่นด้วย แม้จะได้ชื่อว่าเสือผู้หญิงประจำคณะวิศวะก็เถอะ
เคนในสายตาคนอื่นอาจจะดูหยิ่งหรือดุดันมากแค่ไหนเขาไม่อาจรู้ แต่สำหรับน่านน้ำเคนเป็นพี่ชายที่ใจดีกับเขามาก ๆ คนหนึ่ง แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยพูดเพราะส่วนใหญ่จะแสดงออกผ่านการกระทำเสียมากกว่า อย่างเช่นตอนเรียนอยู่มัธยมเคนก็จะคอยดูแลยู่ห่าง ๆ คอยสังเกตอยู่ตลอด เหมือนวันนี้ที่ยอมไม่เข้าเรียนเพื่อพาเขามาสมัครเรียน โดยที่ไม่มีข้อแม้หรือบ่นออกมาสักคำ
“กินอะไร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบอยู่นานสองนาน
“เอาเป็นผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวก็ได้ครับ”
“แค่นั้นครับ” เคนหันไปบอกพนักงานเสิร์ฟ ก่อนจะหยิบมือถือออกมาตอบแชทเพื่อนที่ส่งข้อความมาตั้งแต่เช้าแต่ยังไม่ได้ตอบ
เมื่อรอบตัวตกอยู่ในความเงียบน่านน้ำก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ รอข้าวมาเสิร์ฟ พลันสายตาหันไปเห็นว่านอกร้านมีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งทำเอกสารตกปลิวว่อนไปเต็มพื้นถนน ครั้นเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่คนมีน้ำใจอย่างน้ำน่านก็ไม่อาจนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้ ลุกขึ้นไปช่วยเก็บแผ่นกระดาษคืนให้เจ้าของ
“นี่ครับ”
“ขอบคุณนะครับ ผมซุ่มซ่ามไม่ทันระวังทำหล่นหมดเลย” คนพูดหัวเราะแห้ง ๆ
“ลองดูก่อนนะครับว่าครบหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักสูงกว่าเขานิดหน่อยมุ่ยหน้าเซ็ง ๆ กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง ก้มลงนับเอกสารในมือว่าครบหรือเปล่า
“ครบครับ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับที่ช่วยเก็บ ไม่อย่างนั้นคงปลิวหายไปไหนต่อไหน”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
“ครับ”
น่านน้ำมองอีกฝ่ายเร่งฝีเท้าเดินออกไปไกล ก่อนจะกลับเข้ามาในร้าน สบสายตาเข้ากับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่แรก พร้อมคำถามที่ตามมาทันทีหลังจากเขานั่งลง
“รู้จักเหรอ”
“ไม่รู้จักครับ”
“รู้ใช่ไหมว่าสังคมในรั้วมหาลัยต่างจากมัธยม มันอาจจะแย่กว่าหรือดีกว่าก็ได้” จู่ ๆ เคนก็พูดขึ้นมาไม่ปี่ไม่มีขลุ่ย
“ครับ”
“อย่าให้ความใจดีของตัวเองทำร้ายตัวเองเข้าใจหรือเปล่า”
น่านน้ำพอจะเข้าใจว่าอีกคนต้องการที่จะสื่อถึงอะไร และก็เข้าใจด้วยว่าเคนเป็นห่วงเพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ เหมือนเฮียคินทร์กับคีน
เพราะครั้งก่อนที่มีเรื่องตอนมอหก คำพูดของเคนเขายังจำได้ดี
“ถ้าคนอื่นมันเหี้ยมากนัก ก็เหี้ยกลับใส่มันไปบ้าง เป็นคนดีมากไปก็ใช่ว่าพวกแม่งจะเกรงใจ เข้าใจไหมน่าน”
การสร้างมิตรภาพเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะอยากเป็นมิตรกับเรา และใช่ว่าการเป็นคนดีมีน้ำใจจะทำให้คนอื่นเคารพ ต่อหน้าอาจจะเป็นอย่าง ลับหลังอาจจะเป็นอีกอย่าง นั่นคือสิ่งที่เคนอยากสอนให้น่านเข้าใจ
...
ผ่านมาประมาณสองสัปดาห์ผลประกาศออกมาว่าเขาผ่านในรอบแรกแล้ว หลังจากนี้ก็รอไปสอบสัมภาษณ์เท่านั้น
น่านน้ำออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อมาซื้อของไปทำบุญที่วัด ตั้งใจจะแวะไปไหว้คุณพ่อคุณแม่เพื่อบอกข่าวกับพวกท่าน
วันนี้ไม่มีใครว่างอยู่บ้านสักคน น่านน้ำเลยต้องออกมาคนเดียว ตอนแรกเขาคิดที่จะชวนคินทร์ออกมาด้วยกัน แต่เห็นว่าคนพี่มีงานต้องทำเลยไม่อยากรบกวน
บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างจะเงียบสงบ มีพระสงฆ์ประจำวัดอยู่สามรูป และเณรอีกสองรูป คิดไปแล้วเขาเองก็เคยบวชเณรอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นอาจจะยังเด็กถึงได้งอแงอยู่ตลอด ยังดีที่ตคุณพ่อคุณแม่แวะมาหาทุกวัน
ขาเรียวทอดน่องเดินเข้ามาในโบสพร้อมสังฆทานที่เตรียมมา หลังจากได้ทำบุญรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ได้รับพรจากหลวงพ่อ ได้กรวดน้ำให้คุณพ่อคุณแม่
น่านน้ำเดินมาทางหลังวัด ซึ่งเป็นสถานที่ของคนที่ตายไปแล้ว น่านน้ำหยุดลงตรงอัฐิบัวเก็บกระดูกของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งมีรูปคู่ของทั้งสองคนแปะอยู่ ร่างเล็กย่อตัวลงนั่งยอง ๆ วางช่อดอกไม้ที่เตรียมมาตรงแท่นวาง ก่อนจะจุดธูปหนึ่งดอก บอกกล่าวสิ่งที่อยากพูด
“น่านสอบติดมหาลัยแล้วนะครับคุณพ่อคุณแม่ ถ้าทั้งสองคนยังอยู่คงจะดีใจมาก ๆ เลยใช่ไหม ...คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงน่านแล้วนะ ตอนนี้น่านมีความสุขดี ทุกคนในครอบครัวคุณรังสรรค์ใจดีกับน่านมาก” เอ่ยพูดทั้งน้ำตา ความรู้สึกมากมายปะปนกันไปหมด ทั้งใจหาย เสียดาย และดีใจ ก่อนปักธูปลงในกระถาง ฝ่ามือขาวปัดฝุ่นที่เกาะบนรูปภาพ พลางยกยิ้มบาง ๆ “น่านคิดถึงคุณพ่อคุณแม่นะครับ คิดถึงมาก”
ใช้เวลาอยู่คนเดียวในวัดเกือบครึ่งวัน เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะนั่งรถมาที่บ้านเก่า ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปแล้ว บ้านที่เขาเคยอยู่ถูกรื้อถอดจนไม่เหลือซาก ทั้งยังถูกปล่อยขายสมราคาที่ดินหลายสิบไร่
น่านน้ำเดินสำรวจรอบ ๆ เพราะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ส่วนนั้นได้ บรรยายแถวบ้านยังร่มรื่นเหมือนตอนที่เขายังเด็ก ภาพความทรงจำเก่า ๆ ไหลย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ ชีวิตสิบห้าปีที่เขาเคยอยู่ที่นี่มีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย แม้มองไปจะไม่เห็นบ้านแล้ว แต่เขายังคงจำทุกอย่างได้ดี
นึกเสียดายที่ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป หากโตเหมือนตอนนี้เขาคงทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อที่ดินแปลงนี้คืนมา
รอบข้างไม่ค่อยมีเพื่อนบ้าน เพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ระหว่างเขตแดนจะมีกำแพงกั้นเอาไว้
Rrrrr...
ระหว่างเดินเล่นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นขาประจำเลยก็ว่าได้
[อยู่ไหนครับน่าน เฮียกลับบ้านมาไม่เจอ]
“น่านออกมาทำบุญที่วัดครับ แล้วก็ตอนนี้อยู่แถว ๆ บ้านเก่าของคุณพ่อ”
[ไปคนเดียวเหรอ ทำไมไม่โทรหาเฮีย]
“น่านเห็นเฮียต้องทำงานเลยไม่อยากกวน”
[แชร์โลเคชันมาให้เฮียทางแช็ตหน่อยครับ เดี๋ยวไปรับ]
“ครับ”
หลังวางสายน่านน้ำปักหมุดที่อยู่ของตัวเองส่งให้อีกฝ่ายทันที พลันเหลือบไปเห็นเวลาบนหน้าจอก็ตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะเดินเล่นเพลินจนเวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแล้ว
น่านน้ำนั่งเล่นแถวนั้นรอคินทร์มารับ ระยะทางจากบ้านวิรุฬห์โยธินถึงที่นี่ใช้เวลาพอสมควร ไหนจะช่วงเลิกงานแบบนี้รถคงติดน่าดู
.
.
เวลาเกือบห้าโมงครึ่งคิทร์ก็มาถึงที่น่านน้ำอยู่ ลงจากรถมาหาเด็กหนุ่มก่อนเป็นอย่างแรก
“รอนานไหมครับ ยุงกัดหรือเปล่า”
คินทร์จับตัวน่านน้ำหันไปหันมาสำรวจดูว่ามีส่วนไหนบนร่างกายผิดแปลกไปบ้างหรือเปล่า
“แค่นิดเดียวเองครับเฮีย”
“กลับไปถึงบ้านเฮียจะเอายามาทาให้”
น่านน้ำพยักหน้าหงึกหงักรับคำ พลางยกยิ้มหวานครั้นถูกอีกฝ่ายใส่ใจมากขนาดนี้
“แล้วน่านมาที่นี่ทำไมครับ”
“แค่คิดถึงน่ะครับ เลยอยากกลับมาดู เพิ่งรู้ว่าเขารื้อบ้านออกไปแล้ว” ใบหน้าจิ้มลิ้มหงอยลงเล็กน้อย ทว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะกลับมายิ้มสดใสดังเดิม “กลับกันดีกว่าครับ ใกล้จะมืดแล้ว”
“ครับ”
เจ้าของรถเปิดประตูให้คนน้องได้ขึ้นไปนั่งก่อนจะกลับมาฝั่งคนขับ คินทร์มองบ้านเก่าของน่านน้ำผ่านกระจกข้าง เขาเพิ่งรู้ว่าเมื่อก่อนน่านน้ำเคยอยู่ที่นี่ เห็นสีหน้าแววตาที่หม่นลงก็พอจะรู้ได้ว่าน่านน้ำคงกำลังรู้สึกไม่ดี ทว่าคินทร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายสอดประสานเอาไว้แน่น พลันมุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ เมื่อน่านน้ำกระชับนิ้วจับมือเขาแน่นขึ้น
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ