น่านน้ำตื่นตั้งแต่เช้ามาทำอาหารใส่กล่องให้คินทร์ไปทานตอนเที่ยงที่บริษัท ช่วงนี้น่านน้ำว่างเพราะไม่มีงานอะไรต้องทำ เพียงแค่รอสอบสัมภาษณ์
“วันนี้ไปบริษัทกับเฮียไหม” คินทร์เอ่ยถามพร้อมรับถุงผ้าใส่กล่องอาหารจากมือน่านน้ำ
“น่านไปมีแต่จะกวนเวลาทำงานเฮียเปล่า ๆ”
“วันนี้เฮียมีเดินตรวจแผนก ไม่อยากไปจริง ๆ เหรอ”
เจ้าของร่างสูงเอ่ยถามเพราะเห็นว่านานน้ำสนใจเรื่องการวาดรูป ออกแบบถ้าได้ไปเดินดูการทำงานอาจจะชอบ ถือเป็นการเรียนรู้ศึกษาไปในตัว
“แต่...”
“ไม่กวนหรอก ไปเถอะ” คินทร์เอ่ยอีกครั้งคล้ายคะยั้นคะยอเสียด้วยซ้ำ
“ก็ได้ครับ”
“ยืนคุยอะไรกันอยู่สองคน”
เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีวิ่งเข้ามากอดคอพี่ชายตัวเล็กด้วยความเคยชิน แม้คีนจะโตขึ้นแล้วแต่พฤติกรรมเด็กน้อยที่มีก็ยังหลงเหลืออยู่มาก ยังเป็นเด็กที่น่ารักของน่านน้ำเสมอ
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” คนอายุมากเอ่ยทีเล่นทีจริง
“คีนไม่เด็กแล้วนะเฮีย”
“เหรอ หืม”
จมูกโด่งถูกบีบเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าลงเล็กน้อยที่โดนพี่ชายแกล้ง หันไปกอดออเซาะน่านน้ำ เสียงเจื้อยแจ้วพูดฟ้อง
“พี่น่านดูเฮียสิแกล้งคีน คีนไม่เด็กแล้วนะ ใช่ไหมครับ”
“อือ คีนโตแล้ว”
“พี่น่านน่ารักที่สุด เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งพี่ชายดีเด่นอันดับหนึ่งของคีน”
เด็กตัวโตยิ้มกว้างเมื่อน่านน้ำเข้าข้างตน ทั้งยังก้มลงหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่ พลางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายที่ยืนขมวดคิ้วมุ่น
เขาน่ะไม่เด็กแล้ว โตจนดูออกแล้วว่าเฮียคินทร์คิดอย่างไรกับน่านน้ำ
“พอแล้วคีน รีบไปกินข้าวเฮียจะไปส่งที่โรงเรียน มีสอบแก้ไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงทุ้มเข้มขึ้นต่างจากก่อนหน้านี้ แกะแขนน้องชายออกจากน่านน้ำ ก่อนจะดันหลังให้มานั่งที่โต๊ะ
หลังจากแวะส่งคีนที่โรงเรียนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็แวะเข้าบริษัททันที ร่างบางเดินตามหลังคนพี่ไม่ห่างราวกับกลัวว่าจะหลง
น่านน้ำไม่เคยเข้ามาภายในบริษัทเลยสักครั้งตลอดสามปี ที่ผ่านมาก็มากสุดก็นั่งรอคินทร์อยู่หน้าล็อบบี้
บรรยากาศภายในเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พนักงานมากหน้าหลายตาทั้งชายหญิงเอ่ยสวัสดีเมื่อเจ้านายเดินผ่าน
กระนั้นยังมีสายตาหลายคู่ที่ลอบมองเขาด้วยความสงสัย เพราะไม่มีใครเคยเห็นเขามาก่อน อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่น่านน้ำรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการถูกมอง
ห้องทำงานของคินทร์อยู่ชั้นบนสุดก่อนถึงเพนต์เฮาส์ ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องประธาน ต่างกันแค่ความกว้างของห้องเล็กกว่าเล็กน้อย
“เดี๋ยวน่านนั่งเล่นรอไปก่อนนะ ประมาณสิบโมงถึงจะเริ่มเดินตรวจ”
“ครับ”
“เฮียให้เลขาไปหาหนังสือแนวที่น่านชอบอ่านมาให้ เผื่อว่านั่งรอเฉย ๆ แล้วจะเบื่อ”
ตรงโซนนั่งเล่นมุมห้อง มีหนังสือกองใหญ่วางอยู่บนโต๊ะกระจก คินทร์โทรบอกให้เลขาเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ก่อนเขาออกจากบ้าน เพราะคิดไว้แล้วว่าน่านน้ำอาจจะเบื่อหากต้องนั่งรออยู่เฉย ๆ
ร่างเล็กเดินไปนั่งบนโซฟานุ่ม หยิบหนังสือแต่ละเล่มมาอ่านหน้าปก เพื่อเลือกเล่มที่ตนเองสนใจ
คินทร์นั่งประจำที่ตัวเอง หยิบเอกสารที่รอให้เขาตรวจสอบขึ้นมาอ่าน พลางลอบมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่โซนมุมห้องด้านหน้าเป็นระยะ ทั้งยังแอบยิ้มคนเดียวราวกับเด็กวัยแรกรุ่นทีแอบชอบใครสักคน
น่านน้ำนั่งอ่านนอนอ่านด้วยความตั้งใจ ทว่าไม่นานก็ผล็อยหลับไปเสียดื้อ ๆ
ร่างสูงลุกขึ้นมาย่อตัวลงข้าง ๆ หยิบหนังสือที่วางกางอยู่บนหน้าอกมาปิดตั้งไว้มที่โต๊ะ เอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหวานทัดหูอย่างเบามือ
ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้เขาจะหลงรักใครได้มากขนาดนี้ เด็กอายุยี่สิบปี กับเขาที่อายุยี่สิบเจ็ด จะสามารถเข้ากันได้หรือเปล่า ถ้าเขาอยากลองเดินหน้าแสดงความรู้สึกที่มีออกไปให้ชัดเจนมากกว่านี้ น่านน้ำจะยินดีหรือยินร้ายเขาก็ไม่สามารถเดาได้ แต่ถ้าหากให้เข้าข้างตัวเอง เด็กคนนี้ก็คงมีใจให้เขาไม่น้อยเหมือนกัน
...
หลายวันที่ผ่านมาน่านน้ำถูกคินทร์หว่านล้อมให้มาบริษัทด้วยกัน โดยมีข้ออ้างที่ว่าอยู่บ้านบ่อย ๆ มันน่าเบื่อ ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างดีกว่า ทว่าสิ่งได้ทำมากสุดก็คือเดินเล่นตามแผนกต่าง ๆ จะออกไปไหนมาไหนคนเดียวก็ไม่กล้า กลัวว่าจะไปสร้างความวุ่นวาย
คินทร์มอบหน้าที่ให้ปาริตาเลขาสาวช่วยดูแลน่านน้ำ คอยอธิบายการทำงานของแต่ละแผนก ซึ่งเธอค่อนข้างชอบเด็กอย่างน่านน้ำจึงไม่ปฏิเสธ เด็กหนุ่มตั้งใจฟังทุกคำอย่างสนใจ พนักงานในบริษัทก็เอ็นดูน่านน้ำอยู่หลายคน ทำให้รู้สึกหายเกร็งลงไปได้บ้าง
“น้องน่านอยากลองทำดูไหม”
หัวหน้าแผนกออกแบบเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกคนให้ความสนใจกับภาพวาดในกระดาษ เป็นการออกแบบเครื่องประดับชุดใหม่ที่กำลังจะนำเสนอในที่ประชุมอาทิตย์หน้า
“น่านทำได้เหรอครับ” ดวงตากลมใสเป็นประกายวับขึ้นทันตาเห็น
“ได้สิ คุณคินทร์ไม่ว่าหรอก”
เป็นอย่างที่เธอพูด คุณคินทร์จะว่าได้อย่างไรในเมื่อเป็นคนฝากฝังไว้ด้วยตัวเอง
“น่านอยากทำครับ”
“งั้นนั่งสิจ๊ะ” นับพรขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัว เพื่อให้เด็กหนุ่มได้นั่งแทนที่เธอ
“ตาฝากน้องด้วยนะคะพี่นับ เดี๋ยวตาต้องขอตัวกลับไปทำงานก่อน เผื่อคุณคินทร์เรียก”
“ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง”
น่านน้ำนั่งมองปาริตาเดินกลับไปทางเดิม ก่อนจะหันมองหญิงสาวข้างกายที่ส่งยิ้มอ่อนให้ เธอเริ่มอธิบายถึงคอนเซ็ปต์ของงานชิ้นนี้ เพื่อง่ายต่อการออกแบบให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
มีตัวอย่างอยู่ให้น่านน้ำได้ดูเป็นแนวทาง ก่อนที่นับพรจะปล่อยให้น่านน้ำลองจินตนาการและออกแบบเครื่องเพชรชุดนี้ด้วยตัวเอง
พนักงานในแผนกหลายคนให้ความสนใจกับเด็กคนนี้ นึกแปลกใจที่น่านน้ำได้เข้ามายุ่งเกี่ยวทั้งที่ไม่ใช่คนของบริษัท ไม่ใช่ลูกหลานของวิรุฬห์โยธินด้วยซ้ำ อีกทั้งไม่ใช่นักศึกษาฝึกงาน และแน่นอนว่าหากมีอะไรแปลกตาเกิดขึ้น จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบซุบซิบนินทานำไปพูดคุยกันราวกับเป็นปัญหาชีวิตตัวเอง
แม้จะมีคนที่เอ็นดูน่านน้ำอยู่หลายคน แต่ก็มีคนที่ไม่ชอบเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลกจริง ๆ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่กลับไม่ชอบกันเพียงแค่ไม่ถูกชะตาหรือทำอะไรไม่เข้าตา
น่านน้ำสังเกตเห็นสีหน้าของคนพวกนั้นจึงรับรู้ได้ว่าใครรู้สึกอย่างไรตอนมองมาที่เขา ทว่าเขาเลือกที่จะปล่อยผ่านไม่สนใจ
หลายชั่วโมงที่น่านน้ำอยู่กับนับพรที่แผนกออกแบบ จนรองประธานอย่างคินทร์ต้องเดินมาตาม ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องมองเด็กที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง หลายนาทีที่คินทร์ไม่ขยับตัวไปไหน จนคนในห้องเงยหน้าขึ้นมาเห็น
“เฮีย..” น่านน้ำดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มหวานให้เขา พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา “มานานยังครับ”
“ไม่นานครับ”
“มาตามน่านเหรอ”
“ครับ ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่เฮียไม่เห็นน่านขึ้นไปที่ห้อง เลยลงมาดู”
“พี่นับให้น่านลองออกแบบเครื่องเพชรคงจะเพลินไปหน่อย ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่หิวหรือยัง?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ตอนแรกก็ไม่ค่อยหิวแต่พอถูกถามท้องก็ร้องขึ้นมาทันที
“งั้นไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านดีไหม”
“ครับ”
ไม่ว่าคินทร์จะเสนออะไรน่านน้ำไม่คิดที่จะปฏิเสธ มือเล็กถูกกอบกุมพาเดินออกไปพร้อมกัน โดยไม่สนสายตาของพนักงานคนอื่น ๆ ที่ยังไม่กลับบ้าน
นั้นเพราะคินทร์คิดไว้อยู่แล้วว่าอยากทำอะไรให้ชัดเจน ไม่คิดที่จะปิดบังอะไรใครทั้งนั้น ไม่สนว่าคนอื่นจะมองยังไง ต่างจากน่านน้ำที่ก้มหน้าเดินพลางลอบยิ้มอยู่คนเดียวจนถึงรถ
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ