ช่วงชีวิตในรั้วมัธยมผ่านพ้นไปอย่างที่ใจต้องการ น่านน้ำใช้เวลาอดทนกับการเรียนที่นี่นานนับสามปี หากย้อนไปช่วงแรก ๆ ตอนที่เข้าเรียนใหม่ ๆ ยอมรับเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่บั่นทอนตัวเองมาที่สุด เขาไม่ได้มีความสุขกับการไปโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งเรียนจบมาแล้วคนที่สามารถเรียกว่าเพื่อนสักคนยังไม่มี แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้น่านน้ำรู้สึกขาดหายอะไร
สิ่งที่เขาอยากชื่นชมตัวเองก็คือความอดทน เขาเก่งที่สามารถผ่านความลำบากใจเหล่านั้นมาได้ และอีกอย่างที่เขาอยากยินดีกับตัวเองมาก ๆ ก็คือการที่เขาสามารถรักษาคนสำคัญที่เหลืออยู่ได้ครบทุกคน
เด็กหม่นหมองที่จากการผ่านเรื่องเจ็บปวดในวันนั้น กลับมาสดใสได้อีกครั้งเพราะครอบครัววิรุฬห์โยธิน การได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ทำให้น่านน้ำรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากความเคารพที่มีต่อทุกคน ยังมีความรักเพิ่มเข้ามา น่านน้ำรักทุกคนที่นี่ รักในความดี และจิตใจเมตตาต่อเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรทุกคนก็ยิ่งทำให้น่านน้ำมั่นใจว่าได้กลายเป็นคนในครอบครัวแล้วจริง ๆ
“น่านจะหยุดเรียนจริง ๆ เหรอ” รังสรรค์เเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่เพิ่งบอกกับตนว่าจะขอหยุดเรียนสักปี ก่อนขึ้นมหา’ลัย
“ครับ น่านอยากลองหางานทำสักปี เผื่อว่าจะเจอสิ่งที่ตัวเองชอบจริง ๆ”
“จริง ๆ ป๊าก็แล้วแต่น่านนะ ส่วนเรื่องทำงานน่านอยากไปลองทำงานที่บริษัทกับเฮียคินทร์ดูไหม ป๊าเห็นว่าน่านชอบวาดรูป ที่บริษัทมีแผนกออกแบบอยู่ ถ้าได้ลองไปศึกษาเผื่อว่าจะตัดสินใจได้ หรือถ้าน่านอยากทำงานอย่างอื่นป๊าก็ไม่ว่า”
“จริง ๆ น่านลองสมัครงานกับรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าไปแล้วครับ เป็นสตูดิโอถ่ายแบบ อาจจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่อย่างน้อยเป็นคนที่รู้จักกันน่าจะทำงานได้ไม่อึดอัด ป๊าโอเคหรือเปล่าครับ”
น่านน้ำอธิบายถึงงานที่ตัวเองอยากทำให้ชายวัยกลางคนฟัง สรรพนามที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้รู้สึกอึกอัก เพราะเรียกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อปีก่อน โดยที่คุณรังสรรค์เองเป็นคนให้เขาเรียก
“ถ้าหนูน่านเขาอยากทำก็ให้เขาลองดูเถอะค่ะ ลองผิดลองถูกจะได้มีประสบการณ์ จริงไหมจ๊ะหนูน่าน”
“จริงครับม๊า” เมื่อมีคนเห็นด้วยเด็กหนุ่มก็มีหวังขึ้นมาทันที ยกยิ้มเต็มใบหน้า กระนั้นก็ยังใจเต้นไม่หายเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของคุณรังสรรค์
“รุ่นพี่คนนั้นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไว้ใจได้แน่ใช่ไหม?”
พี่ชายคนโตของบ้านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะหลังจากเหตุการณ์ตอนมอหกที่น่านน้ำโดนเพื่อนแกล้งสาดน้ำใส่ที่โรงเรียน ทั้งยังจับขังเอาไว้จนคินทร์ต้องเป็นคนไปที่โรงเรยนคุยกับพ่อแม่ของอีกฝ่าย เนื่องจากรังสรรค์ไม่ว่าง
นับตั้งแต่นั้นคินทร์มักจะเป็นห่วงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกับคีนที่อยู่โรงเรียนเดียวันแต่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนก็โทษตัวเองที่ปกป้องน่าน้ำไม่ได้ เกือบมีเรื่องชกต่อยกันครั้งหนึ่ง น่านน้ำขอเอาไว้ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่มากไปกว่านี้
ส่วนเคนหลังเรียนจบมอปลายเจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่หอกับเพื่อน นานครั้งจะหลับมาบ้าน แต่พอรู้เรื่องเขาคนนิ่ง ๆ อย่างนั้นเวลาโกรธใครก็ห้ามไม่อยู่ รู้อีกทีก็ตอนขึ้นโรงพักเพราะแอบพาเพื่อนไปดักต่อยคนที่แกล้งน่านน้ำ
ครั้งนี้คินทร์เลยเป็นห่วงกลัวว่าเด็กหัวอ่อนจะหลงเชื่อคนอื่นและไว้ใจมากเกินป หากรุ่นพี่คนนั้นไม่ได้หวังดีจริง ๆ อาจสร้างบาดแผลในใจให้น่านน้ำเพิ่ม ครั้งนี้เขาคงไม่ยอม
“รุ่นพี่คนนี้น่านรู้จักครับ ตอนอยู่โรงเรียนเก่าเคยอยู่ชมรมเดียวกัน เขาใจดีมาก ๆ เฮียคินทร์สบายใจได้” เอ่ยตอบเสียงดังฟังชัด หนักเน้อนไม่อ้อมแอ้ม พลางส่งสายตาให้อีกฝ่ายมั่นใจ
“แต่เฮียเป็นห่วง”
“เอาน่าคินทร์ ให้น้องได้ลองทำสิ่งที่อยากทำเถอะ ป๊าอนุญาต แต่มีข้อแม้ถ้าหากทำไปแล้วรู้สึกไม่สบายใจ หรือกดดันมากเกินไปน่านต้องลาออกจากที่นั้นทันที เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ ขอบคุณนะครับป๊า”
ร่างเล็กยกมือไหว้ขอบคุณคุณรังสรรค์ด้วยความดีใจ อย่างน้อยท่านก็เข้าใจและยอมให้เขาได้เลือกทำในสิ่งที่ต้องการ นี่คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น่านน้ำสบายใจที่จะอยู่กับครอบครัวนี้ เพราะถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยขัดขว้างความต้องการของเขา เพียงแค่ปริปากพูดออกมา หากสิ่งใดสนับสนุนได้ก็พร้อมเสมอ
ทว่าเมื่อหันไปมองหน้าเฮียคินทร์ รอยยิ้มก็คอย ๆ เลือนหาย พร้อมแววตาเป็นประกายคล้ายกับกำลังอ้อน
หลังจากคุยกันเรื่องน่านน้ำเสร็จคุณรังสรรค์ กับคุณหญิงกนกอรต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งของลูกชายเพื่อนที่ต่างจังหวัด คร้งนี้เลยให้คินทร์อยู่บ้านเป็นเพื่อนน้อง ๆ แทนที่จะตามไปด้วยอย่างเช่นทุกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ น่านน้ำลุกขึ้นมาเปิดประตูให้กับพี่ใหญ่ของบ้าน
คินทร์ไม่รอให้เจ้าของห้องได้พูดอะไร ก็แทรกตัวเข้ามาให้ห้องพร้อมปิดประตูลงทันที
“เรื่องงานน่านลองคิดอีกทีไหม”
ร่างสูงรีบเข้าประเด็นที่ตนค้างคาใจตั้งแต่เมื่อตอนเย็น ปกติคินทร์เป็นคนที่ตามใจน่านน้ำมากกว่าใครในบ้าน ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะเขาเป็นห่วงจนหยุดคิดไม่ได้
“แต่น่านคิดดีแล้วจริง ๆ นะ”
“เฮียเป็นห่วงน่านมากรู้ใช่ไหมครับ”
“น่านรู้..”
“ถ้ารุ่นพี่คนนั้นไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนตอนที่น่านเรียนอยู่ล่ะ?”
“เฮียเป็นคนคิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” เฮียคินทร์ที่เขารู้จักเป็นคนรอบคอบก็จริง ทว่าใช่จะคิดเล็กคิดน้อยมากขนาดนี้
“เป็นเรื่องของน่านไงครับเฮียถึงคิดมาก เฮียตั้งใจดูแลน่านมาอย่างดี ถ้ามีคนมาทำให้น่านเสียใจอีกเฮียคงปวดใจน่าดู”
“เฮียดูแลน่านมาดีขนาดนี้ ภูมิต้านทานดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่เสียใจง่าย ๆ หรอก” เอ่ยยิ้ม ๆ ราวกับไม่จริงจังมากนัก
“ถึงอย่างนั้นเฮียก็เป็นห่วงอยู่ดี”
“ขอน่านลองทำก่อนเถอะนะ นะ.. นะครับเฮีย”
สองมือเล็กกระตุกชายเสื้อร่างสูง พลางช้อนตาขึ้นมา แสดงสีหน้าออดอ้อนเพื่อให้อีกคนใจอ่อน
และแน่นอนว่าได้ผล เฮียคินทร์ก็คือเฮียคินทร์ สามปีที่อยู่ด้วยกันมาเขาเรียนรู้เกี่ยวกับอีกคนมามากแล้ว แทบจะเห็นทุกด้านของเฮียคินททร์
“โอเคครับ ยอมก็ได้ ทำก็ทำ แต่มีข้อแม้”
“ถ้าน่านทำได้นะ”
“เฮียจะไปรับไปส่งน่านเอง ตงลงไหม”
“แต่เฮียต้องทำงาน”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาถ้าน่านตกลง”
“ก็ได้ครับ”
คนหน้าบึ้งเมื่อครู่ตอนนี้ยิ้มขึ้นมาได้บ้างแล้ว ฝ่ามือใหญ่โคลงศีรษะคนตัวเล็กไปมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
น่านน้ำไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคินทร์ตอนนี้เรียกว่าอะไร จะบอกว่าเป็นพี่น้องกันก็ไม่ผิด หรือมากกว่าพี่น้องอันนี้ก็คงไม่ผิดเช่นกัน มันดูก่ำกึ่งจนเขาเองก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้
เมื่อก่อนเขาคงตอบได้เต็มปากว่าเฮียคินทร์เป็นพี่ชาย ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนคือพี่น้อง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่มีก็มากขึ้น จนเริ่มไม่แน่ใจว่าเขายังมองเฮียคินทร์เป็นแค่พี่ชายได้อยู่หรือเปล่า
คินทร์เองก็คงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำกับน่านน้ำมันมากกว่าสิ่งที่ทำกับน้องชายอีกสองคน เขามีเป็นห่วงเคนกับคีนเหมือนกันก็จริง แต่จะมีความคิดที่ว่าทั้งสองโตจนดูแลตัวเองและรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
ทั้งที่น่านน้ำเองก็น่าจะโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว แต่เขากลับเป็นห่วงจนกระวนกระวายใจ ไม่รู้เพราะเรื่องราวของน่านน้ำที่เจอมาถึงได้ทำให้เขาอยากทะนุถนอมเด็กคนนี้ให้มากที่สุด หรือเป็นเพราะใจจริงเขาอยากทำอยู่แล้วต่อให้ไม่มีเรื่องพวกนั้นเขามาเกี่ยว
ทว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะอย่างหลังเสียมากกว่า...
...
สองเดือนต่อมา
“เป็นยังไงบ้าง วันนี้เหนื่อยไหมครับ”
คนอายุมากกว่าเอ่ยถามพลางยื่นมือคว้าเอากระเป๋าเป้ของคนน้องมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะพากันเดินไปที่รถ เอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบของวันนี้อย่างเช่นทุกวัน
ตลอดสองเดือนคินทร์ไปรับไปส่งน่านอย่างที่พูดไว้จริง ๆ ไม่มีขาดตกบกพร่องสักวัน
“นิดหน่อยครับ วันนี้พี่ดิวให้น่านลองใช้กล้องถ่ายรูปสนุกดีครับ”
“ชอบไหมครับ”
“อืม.. ก็ชอบนะครับ แต่รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดี น่านคงจะถนัดจับดินสอวาดรูปมากกว่าจับกล้อง”
เด็กหนุ่มตอบพลางหัวเราะเบา ๆ พอได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำก็สนุกดี แต่คงยังไม่ใช่แนวของเขาอยู่ดี เมื่อเทียบกับตอนได้ออกแบบชุดเพื่อสั่งตัดให้นายแบบใส่เขาชอบทางนั้นเสียมากกว่า
ยิ่งได้ลองทำอะไรแบบนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าตัวเองชอบวาดรูป ฝีมือที่มีสามารถพัฒนาและต่อยอดได้อีกอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นน่านอยากลองไปฝึกงานที่บริษัทเฮียดูไหม” คำถามนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่คินทร์ถาม เพราะเห็นว่าที่บริษัทมีฝ่ายออกแบบ หากน่านได้ลองทำอาจจะชอบก็ได้
“เอาไว้ก่อนดีกว่าครับ น่านเพิ่งจะทำงานนี้ได้แค่สองเดือนเอง”
“ก็ได้ครับ เฮียตามใจน่านอยู่แล้ว” เอ่ยพร้อมยกยิ้มให้ “กลับบ้านกันเถอะ”
“ครับ”
ร่างสูงถือวิสาสะจับมือเล็กเดินไปที่รถ ไม่รู้ทุกอย่างที่เขาทำชัดมากพอหรือยัง คำถามที่คอยถามตัวเองซ้ำ ๆ ตอนนี้เขาคิดว่าเราทั้งคู่พอจะให้คำตอบกับตัวเองได้แล้ว ว่าความรู้สึกและการกระทำเล่านี้มันคืออะไร
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ