น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน
“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน
“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”
“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”
คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”
“ไม่มี?”
“อื้อ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”
“งั้นเพื่อนล่ะ?”
คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”
“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”
“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย่ำแย่แทบจะเดินไม่ตรงแบบนี้น่ะเธอไม่อยากให้เพื่อน ๆ เห็นหรอก และเจ้าของโรงแรมนี้เองก็เป็นคนนึงที่เธอไม่อยากให้เห็น
คนเสนอความคิดได้แทบอยากจะเกาหัว แล้วจะเอายังไงเนี่ย “โน่นก็ไม่ นี่ก็ไม่ คุณนี่ก็เป็นคนเข้าใจยากเหมือนกันนะ”
“ลองมาเป็นฉ้านสิ จาเข้าจาย”
“เป็นได้ที่ไหนเล่า เอางี้ งั้นผมไปส่งคุณที่รถแล้วกัน ตรงนี้หลายคนมองคุณไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่”
ทันทีที่เขาพูดจบหญิงสาวก็ยื่นหน้าาเข้ามาใกล้จนทำให้ชายหนุ่มต้องยืดคอหนีพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น “คุณไว้จายด้ายเหร๊อ”
“ผมไม่มั่นใจนะ ไม่มีผู้ชายคนไหนน่าไว้ใจหรอก” รังสิมันตุ์ตอบไปตามตรงแต่แล้วหญิงสาวกลับยิ้มชอบใจ
“คุณแปลกดีนะ ม่ายมั่นจายก็บอกม่ายมั่นจาย หาม่ายค่อยได้แล้วผู้ชายแบบนี้ อึก” หญิงสาวบอกเสียงยานคางพร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงใส่ร่างกายแข็งแรงแทนที่จะหวาดระแวง รังสิมันตุ์ส่ายหน้าพรืดพร้อมกับพยายามยื่นหน้าออกห่าง ไม่ใช่ว่ารังเกียจเพียงแค่เห็นว่าใกล้ชิดเกินไปมันไม่ใคร่จะสมควร
“ว่าแต่ผมแปลก คุณเองก็แปลก ผมบอกว่าไม่มั่นใจ คุณก็ต้องพยายามตั้งสติสิ ไม่ใช่ล้มตัวมาพิงผมแบบนี้”
“ฉ้านไว้จายคุณ” น้ำเสียงหวานของคนเมาบอกก่อนจะกอดร่างกายแข็งแรงเอาไว้แน่นราวกับลูกน้อยอ้อนพ่อแม่อย่างไรอย่างนั้น รังสิมันตุ์หายใจเข้าสึก ๆ ควบคุมตัวเองไม่ให้สติเตลิดไปก่อนจะส่งสายตากับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเพื่อให้คิดเงินจากนั้นจึงพยุงพาหญิงสาวที่ทำตัวเป็นลูกสาวไปยังประตูโดยไม่สนสายตาที่มองตามอย่างเสียดายของใครหลาย ๆ คน
การมีหญิงสาวติดสอยห้อยตามออกมาด้วยค่อนข้างจะทุลักทุเลเพราะสาวเจ้าเมามากแต่ก็ป่วนมากเช่นกัน เขาจะไปทางซ้าย เธอดันจะไปทางขวา เขาพาเดินหน้า เธอกลับเซถอยหลัง กว่าจะลงจากชั้นดาดฟ้ามายืนรอรถที่หน้าโรงแรมได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก
“หยุดทามมายเหรอ” คนที่แทบจะไม่มีสติพึมพำถามเมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าที่คุยกันถูกคอหยุดเดินทั้งที่ก่อนนี้ยังพาเธอเดินไปเดินมาตั้งนาน
รังสิมันตุ์มองไปยังเส้นทางที่มักจะมีรถแท็กซี่ผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอพร้อมกับตอบกลับ “ก็หาแท็กซี่น่ะสิ”
“หาทามมาย”
“ก็พาคุณไปส่งไง”
“ม่าย ๆ รถฉ้านอยู่ทางน้าน” หญิงสาวปฏิเสธพร้อมกับชี้ไปมั่ว ๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก “ทางหนายหว่า อะ ทางนี้ต่างหาก”
“ทางไหนก็จอดไว้อย่างนั้นแหละคุณ เมาไม่ขับ มันอันตราย”
“แล้วรถฉ้านจะโดนคาโมยเปล่า”
“ไม่น่านะ โรงแรมหรูแบบนี้ระบบรักษาความปลอดภัยน่าจะดี” พูดจบก็หันไปเห็นรถแท็กซี่กำลังมุ่งหน้ามาพอดีชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปโบกรถและกลับมาประคองคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ไม่ให้ไปเถลไถลที่ไหนซะก่อนที่รถจะจอด
ครู่เดียวรถแท็กซี่ที่เรียกก็มาจอดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มประคองหญิงสาวเข้าไปนั่งด้านหลัง สายตาคู่คมมองสำรวจชายคนขับแท็กซี่ก่อนที่จะเข้าไปนั่งกับหญิงสาวแทนที่จะทิ้งคนเมาให้บอกทางกลับเอง เกิดเขาปล่อยไปแล้วสาวเจ้าเจอเรื่องร้ายคงเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต
ถึงคนขับแท็กซี่คนนี้จะดูซื่อ ๆ ไม่ได้น่าสงสัยก็เถอะ
“ไปไหนครับพี่”
“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบคนเมาก็ตะโกนตอบแล้วก็เอนตัวมาพิงร่างกายแข็งแรง กอดแขนเอาไว้ราวกับกอดแขนตุ๊กตา รังสิมันตุ์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะช็อคกับการกระทำของหญิงสาวหรือว่าคำตอบของเธอกันแน่
ตอบชื่อโรงแรมไปเนี่ยนะ เดี๋ยวคนขับก็คิดว่าไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อพอดี แม่คุณเอ้ย
“อ่า เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลนะครับพี่” คนขับแท็กซี่ทวนสถานที่พร้อมกับยิ้มกรุ่มกริ่ม รังสิมันตุ์มองรอยยิ้มที่โผล่ในกระจกก่อนจะถอนใจ เขาขอถอนความคิดที่คิดว่าไอ้หมอนี่หน้าตาซื่อ ๆ ไอ้นี่มันไม่ซื่อสักนิด
ดูก็รู้แล้วว่าคิดไปไกล ผับผ่าสิ
“เอ แต่เดอะชายน์อยู่ไกลเลยนา ใกล้ ๆ นี่มีโรงแรมนึงนะครับพี่ เปลี่ยนใจมั้ยครับ”
เปลี่ยนใจกับผีน่ะสิ ไอ้โรงแรมที่ว่านั่นมันม่านรูด
“เปลี่ยนใจมั้ยครับพี่ แยกข้างหน้าก็ถึงแล้วนะ” ชายคนขับแท็กซี่ที่คิดไปไกลแล้วถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองมาทางกระจกด้วยสายตาที่ผู้ชายส่วนใหญ่รู้กันโดยไม่ต้องพูด
รังสิมันตุ์มองออกแต่ก็ไม่ได้เออออกับอีกฝ่าย เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องเกินเลยกับสาวเจ้าสักหน่อย จะเปลี่ยนใจแวะเข้าม่านรูดทำไมกัน
“ไปเดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล”
“แหม่พี่ เดอะชายน์ก็เดอะชายน์ ไม่ต้องเสียงเข้มขนาดน๊าน”
ชายหนุ่มถอนใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถไปเงียบ ๆ ทั้งที่อยากจะอธิบายเหลือเกินว่าไอ้สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน
แต่พอลองคิดไปแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องบางเรื่องต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหูก็ใช่ว่าจะเข้าใจ จะคิดว่าเป็นการแก้ตัวไปซะเปล่า ๆ
ก็มันแปลกตั้งแต่ยืนรอรถหน้าโรงแรมเพื่อไปอีกโรงแรมแล้วแต่ไอ้คนขับมันไม่เห็นจะเอะใจ ดังนั้นพูดอะไรไปมันก็คงไม่ฟัง
แววตาอ่อนลงจากปกติหลายเท่าก้มมองคนที่กอดแขนเขาไว้และหลับไปราวกับไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งที่เพิ่งเจ็บช้ำใจมาแท้ ๆ แต่กลับหลับไปอย่างไม่เจ็บปวดหรือหวาดเกรงใด ๆ
ไม่กลัวถูกพาไปทำมิดีมิร้ายหรือไงกันนะ
งานเลี้ยงรุ่นจัดขึ้นที่ร้านอาหารของหนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นในอีกสามวันต่อมา ไม่มีอะไรที่ทำให้ศศิรินทร์หนักใจได้เท่ากับธีมของงานปีที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากทุกปีธีมชุดนักเรียนเนี่ยนะ?“ซอโซ่ แต่งตัวเสร็จหรือยัง เราเข้าไปนะ” เสียงของรังสิมันตุ์ที่อยู่ด้านนอกเรียกให้คนกำลังแต่งตัวได้สติอีกครั้ง หญิงสาวรีบร้องห้ามทันทีแต่ก็ไม่ทันจึงทำได้เพียงยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย“หยุดนะ อย่า...”“น่ารักออก”“แต่มัน...” ไม่มั่นใจเลยสักนิด เธออายุเลขสามแล้วนะ มาใส่ชุดเหมือนเด็กสิบเจ็ดสิบแปดแบบนี้นี่มัน...เขินชะมัดเลย“ไม่ต้องเขินหรอก เราก็ใส่ เห็นมั้ย”“เธอใส่แล้วดูดี แต่เราใส่แล้วมัน...”“สวย...สวยจนทำให้นึกถึงครั
เพราะทุกอย่างราบรื่นเกินไปศศิรินทร์จึงรู้สึกแปลก ๆ ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ จะไม่มีเรื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอกและศศิรินทร์ก็รู้ทันทีว่าไม่ง่ายก็ตอนที่พลอยขวัญเดินเข้ามาหาในตอนที่เธออยู่เพียงลำพัง เด็กสาวยังคงมีท่าทีเชิด ๆ อยากกับนางร้ายในละครก่อนจะเอ่ยออกมา “คิดว่าทุกอย่างราบรื่นแล้วเหรอ”“คิดผิดแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วน่ะพี่ไม่ได้หัวใจพี่ซันหรอก”“หมายความว่ายังไง”“จะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน พี่ซันน่ะมีคนที่รักปักใจมาตั้งแต่มัธยมแล้ว พี่อะแค่ตัวแทนเท่านั้นล่ะ” พลอยขวัญพูดแล้วก็ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ “ไม่เชื่อก็ลองเปิดดูในลิ้นชักโต๊ะพี่ซันซิ ในนั้นน่ะมีความในใจพี่ซันส่งถึงรักปักใจของเขาอยู่ เข้าใจไว้ซะว่าพี่ก็แค่ตัวแทน ไม่ใช่คนในใจ”พูดแค่นั้นพลอยขวัญก็จากไป ศศิรินทร์พยายามไม่คิดอะไรแต่สุดท้ายก็เก็บเ
บ้านของรังสิมันตุ์อยู่กับอย่างเรียบง่าย พ่อของเขายังไม่เกษียณจึงยังไปทำงานพร้อมกับน้องสาวฝาแฝดของเขาอยู่ ส่วนแม่นอกจากจะไปงานต่าง ๆ ตามที่ถูกเชิญแล้วก็ยังเป็นชาวนาสวนผสม ก่อนจะไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารแม่แสงดาวก็พาเธอแวะไปดูข้าวในนาของท่านที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งท้อง“แต่กี้แม่โตกับแม่แล่นเล่นกันอยู่แถวนี่ล่ะ ยามหน้านากะดำนานำกัน ยามเกี่ยวข้าวกะเกี่ยวซ้อยกัน(เมื่อก่อนแม่เรากับแม่วิ่งเล่นกันอยู่แถวนี้แหละ ถึงฤดูทำนาก็ดำนาด้วยกัน ถึงเวลาเกี่ยวก็เกี่ยวช่วยกัน)” การพูดคุยกับแม่ของคนรักหญิงสาวคิดว่าคงจะไม่พ้นเรื่องวัยเด็กของเขา ทว่าเรื่องเล่าครั้งแรกของคุณนายแสงดาวไม่ใช่เรื่องของรังสิมันตุ์เหมือนที่ศศิรินทร์คิดแต่เป็นเรื่องของแม่ ๆ ที่ท่านดูจะคิดถึงเป็นอย่างมาก“ตอนน้อย ๆ แม่โตติดแม่คัก ไปไสกะไปนำกัน บางมื้อกะพากันไปป่วนผู้ใหญ่จนถืกไล่ตีนำกัน(ตอนเล็ก ๆ แม่เราติดแม่มาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน บางวันก็พากันไปป่วนผู้ใหญ่จนถูกไล
“ฉันว่าแล้วว่าสุดท้ายแกก็ต้องใจอ่อน” เสียงเจือยแจ้วของภาสกรที่ดังอยู่ไม่ได้มีท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ หรือขัดใจกับการตัดสินใจของคนเป็นเพื่อน กลับกันภาสกรกลับยิ้มภูมิใจกับความเป็นศศิรินทร์ที่ใจดีกับคนที่ควรใจดี ถ้าศศิรินทร์ให้อภัยและช่วยเหลือคนอย่างคณิตา อันนั้นเขาคงเคือง แต่กับสุนิสา หลังจากได้ฟังถึงเหตุและผลที่ทำให้เธอคนนั้นทำเรื่องต่าง ๆ ไปแล้วก็เห็นใจอยู่เหมือนกัน คนที่ผิดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ควรได้โอกาส ถูกมั้ยล่ะแต่คนที่หลอกใช้และยุยงนั่นสิที่ไม่สมควรให้อภัย“แต่กับนังตัวยุแยง แกห้ามใจอ่อนเชียวนะโซ่ ฟ้องมันให้หนักเลย” ไม่วายโยงไปถึงคณิตาที่มีส่วนยุแยงสุนิสา กับสุนิสาเพื่อนจะให้อภัยเขาไม่ว่า แต่กับนทีที่คิดจะเลื่อนขาเก้าอี้รวมไปถึงคนอย่างคณิตา...ปล่อยไว้ไม่ได้“คราวนี้ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่นอน ฉันจะฟ้องนทีให้ถึงที่สุด ส่วนคณิตา...ในเมื่อสาวเจ้ายุแยง เป่าหูคนอยู่ลับหลัง ฉันก็จะค่อย ๆ ตัดท่อน้
ตาคู่คมจดจ้องมองเรือนกายเล็กที่หลับไหลไร้สติมีสายระระโยงระยางรอบกายอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดพลางกุมมือเล็กเอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ“ตื่นขึ้นมาได้มั้ยโซ่ เราคิดถึงเธอเหลือเกิน”“อึก” เสียงสะอื้นจากกฤติกาและพิชญาดาไม่ได้เข้าหูของรังสิมันตุ์แม้แต่น้อย เขาแนบหน้าลงกับนิ้วเรียวสวยที่ไร้ความเคลื่อนไหวปากก็พึมพำเรียกชื่อหญิงสาวไม่ยอมหยุดจนคนที่ลอบสังเกตการอยู่อดสงสารไม่ได้ ก็น่าสงสารอยู่หรอกนะที่หญิงคนรักมีสภาพเจ้าหญิงนิทราแบบนี้ แต่ก็สมควรแล้ว...ตาย ๆไปซะเลยก็ดีท่ามกลางความโศกเศร้ากระแสข่าวใหญ่ บิ๊กบอสแห่งเดอะชายน์ เอนเตอเทนเมนต์ประสบอุบัติเหตุใหญ่จนอยู่ในอาการโคม่าก็แพร่ว่อนโลกโซเชียล ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั้งทางดีและไม่ดี มีทั้งข่าวว่าอาการไม่ได้หนักอย่างที่เป็นข่าวและข่าวว่าบิ๊กบอสของชายน์ได้จากไปแล้วข่าวที่ออกมาทำให้ทั้งบริษัทปั่นป
ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเร็วเกินไปเหมือนจะค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นหลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริงจัง พอนึกย้อนกลับและถามตัวเองว่าคิดผิดหรือเปล่าที่เลือกรังสิมันตุ์มาเป็นคู่ชีวิตที่จะจับมือกันไปตลอด ในตอนนี้ไม่มีความลังเลอีกแล้วและคำตอบของเธอก็คือ...เธอคิดไม่ผิดเลยที่เลือกเขาเผลอแป๊บเดียวก็เดินด้วยกันมาได้กว่าสองเดือนแล้ว แต่การเดินทางด้วยกันตลอดระยะเวลาสองเดือนกลับไม่เคยมีการทะเลาะหรือความคิดเห็นไม่ตรงกันร้ายแรงเกิดขึ้น รังสิมันตุ์ในเวลาทำงานเขานิ่งสุขุม และค่อนข้างจะดุสมกับที่เป็นพี่รองของทีมซึ่งมีภาวะผู้นำรองลงมาจากคนเป็นพี่ใหญ่ ส่วนเวลาอยู่ด้วยกันเขากลับทำตัวเป็นเหมือนเด็กชายที่อยู่ในโอวาทบ้าง เกเรบ้าง แต่ก็ไม่เคยขัดใจจริงจังเวลามีเรื่องอะไรเขามักจะให้เธอเป็นคนตัดสินใจและออกความเห็นบ้าง แต่ก็ไม่เคยขัดใจหรือมีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ออกจะยอมให้เธอหลายส่วนทำเอาเพื่อนร่วมงานเขาแทบจะหาว่าพี่รองกลัวเมียไ