แสงแรกของดวงอาทิตย์เพิ่งทาบทอที่ปลายขอบฟ้าได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
พินทุอรเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความง่วงงุน เมื่อคืนกว่าเธอจะข่มตานอนก็เกือบตีสาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่หรือไม่ค่อยไว้ใจผู้ชายที่นอนอยู่ห้องตรงข้ามกันแน่ เธอไม่ได้กลัวว่าเขาจะเข้ามาปล้ำหรือทำมิดีมิร้ายหรอกนะ แต่กลัวว่าเขาจะเข้ามาขบหัวเธอกินเป็นอาหารมื้อดึกต่างหาก
ยังไม่ทันไร เสียงห้าวปนดุจากหน้าห้องก็ดังขึ้นอีก
“คุณ...คุณอิง ตื่นได้แล้ว อาให้ผมพาคุณไปใส่บาตรที่วัด”
เฮ้อ...นอกจากหน้าจะดุแล้ว เสียงยังดุได้อีก
หญิงสาวเดินไปเปิดประตูทั้งๆ ที่หัวยุ่ง ผมชี้ฟูไปคนละทาง แต่คนอย่างพินทุอรไม่มีอะไรต้องอาย เพราะสำหรับเธอแม้เพชรพร้อมจะเป็นผู้ชายแต่ก็อายุห่างกันหลายปีแสง พูดง่ายๆ ก็คือมวยคนละรุ่น กระดูกคนละเบอร์ เธอจึงไม่ได้สนใจจะ ‘ทำสวย’ เพื่อให้เขาประทับใจ
“ไปใส่บาตรเหรอ ใครไปบ้าง” เธอถาม
“ตอนแรกจะมีเด็กนักศึกษาที่มาพักเมื่อวานไปด้วย”
“แล้วตอนนี้ล่ะ” เธอยังถามต่อเพราะเขาไม่ยอมขยายความ
“พวกนั้นยกเลิกแล้วเพราะขี้เกียจตื่นเช้า เหลือแค่คุณคนเดียว อาเลยให้ผมพาไปเอง”
“อ้อ...ก็คือมีแค่คุณกับฉันสองคน” เธอสรุป
“ใช่ แค่สองคน”
จิตแพทย์สาวเสยผมลวกๆ พลางนิ่งคิด ไปกับเพชรพร้อมสองคนเนี่ยนะ หรือเธอจะแกล้งบอกว่าง่วง แล้วขอกลับไปนอนขดในผ้าห่มต่อดีนะ
จู่ๆ เพชรพร้อมก็พูดขัดเสียงเข้ม เหมือนรู้ว่าเธอกำลังลังเล
“ไปเถอะ ไหว้พระขอพรสักหน่อย จะได้เจอสิ่งดีๆ อะไรไม่ดีก็ให้ผ่านไป”
“คุณรู้เรื่องที่ฉันเพิ่งอกหักมาละสิ ลี่บอกเหรอ” พินทุอรถามพลางยกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองคนตรงหน้าคล้ายจะจับผิด หากเขาโกหกว่าไม่รู้ เธอจะตอกหน้าให้เจ็บ แต่เขากลับตอบตรงๆ ง่ายๆ
“ใช่ ผมรู้ว่าคุณเพิ่งอกหักมา”
หญิงสาวคลายมือลง “คุณก็เลยอยากพาฉันไปไหว้พระให้สบายใจสินะ อย่ากังวลเลย ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า”
“การไปไหว้พระก็ไม่ได้หมายถึงอ่อนแอสักหน่อย ผมนึกว่าคุณอยากจะไปไหว้พระเพื่อขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คุณแคล้วคลาดจากผู้ชายห่วยๆ ต่างหาก” เพชรพร้อมเปิดปากพูดประโยคยาวๆ กับหญิงสาวเป็นครั้งแรก
พินทุอรนึกตามแล้วก็ยิ้มออก รู้สึกดีกับคนตรงหน้าขึ้นบ้างเล็กน้อย เธอกำหมัดชกมือตัวเอง “นั่นสินะ ฉันไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อมาอาบไล่เสนียดจัญไรที่เคยเกาะตัวก็ได้นี่นา ทำไมเพิ่งคิดได้เนี่ย ว่าแต่...คุณคิดว่าเจ้าอาวาสวัดนี้จะเสกหนังควายเข้าท้องคนเป็นไหมนะ”
“พระท่านไม่ทำให้คุณหรอก”
“นั่นสิ พระดีๆ ที่ไหนจะทำกัน”
“แต่ผมทำให้คุณได้นะ”
“คุณเสกหนังควายเข้าท้องเป็นเหรอ”
“เสกกำปั้นผมไปกระแทกหน้าไอ้หมอนั่นให้คุณได้ต่างหาก” เขาตอบสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
จิตแพทย์สาวยิ้มขำแล้วโบกมือในอากาศ “งั้นก็ไม่ต้องหรอก เพราะฉันต่อยมันไปแล้วหลายหมัด ถึงได้โดนพักงานจนต้องมานอนเล่นอยู่ที่บ้านคุณแบบนี้ยังไงล่ะ ลี่ไม่ได้เล่าเหรอ”
“เรื่องนี้ไม่ได้เล่า” เพชรพร้อมส่ายหน้าแต่มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ “แล้วตกลงว่าไง จะไปไหม”
พินทุอรนิ่งนึก จะว่าไปเพชรพร้อมในตอนนี้ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนเมื่อวาน การไปใส่บาตรกับเขาก็คงไม่เลวร้ายเท่าไรนักหรอก
“ไป คุณรอฉันห้านาทีนะ ขออาบน้ำแป๊บนึง แล้วเราไปใส่บาตรกัน”
ก่อนห้านาทีเล็กน้อย พินทุอรก็ออกมายืนหน้าตาสดใสรับอากาศยามเช้าที่หน้าชานบ้าน เพราะเมื่อคืนเพชรพร้อมพาเธอเข้าบ้านจากด้านข้าง ทำให้ไม่ทันได้เห็นบริเวณหน้าบ้านซึ่งตกแต่งไว้อย่างน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม
หญิงสาวพิจารณาบรรยากาศรอบตัวแล้วยิ่งยิ้มกว้าง บนชานบ้านที่เธอยืนอยู่นั้น ทางมุมซ้ายเป็นโซนของโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากับเก้าอี้สี่ตัวและหมอนอิงสีสวยสะอาดตา เหมาะสำหรับมานั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัว ส่วนมุมขวาเปิดโล่งคล้ายเป็นลานอเนกประสงค์ที่สามารถมองลงไปเห็นมะพร้าวและต้นไม้น้อยใหญ่ในสวนได้เต็มสายตา ตรงกลางมีบันไดไม้ราวสี่ถึงห้าขั้น เพื่อก้าวลงสู่ลานคอนกรีตด้านหน้า ซึ่งตกแต่งด้วยต้นไม้กระถางเล็กกระถางน้อย จัดวางอย่างมีศิลปะ มีเก้าอี้ทำจากเปลือกไม้วางอยู่สองตัวกับตุ๊กตาปูนปั้นรูปสัตว์น่ารัก ช่างเข้ากับบรรยากาศบ้านสวนสุดๆ
บ้านของเพชรพร้อมดูๆ ไปก็คล้ายร้านอาหารแนวโฮมคาเฟ่หรือบ้านสวยๆ ตามช่องยูทูป จะต่างกันก็ตรงที่บ้านหลังนี้ดูจับต้องได้ ดูมีชีวิตชีวา และมีบรรยากาศของการอยู่อาศัยมากกว่า พินทุอรคิดว่าเธอสามารถอยู่ที่บ้านของเขาได้ทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงเธอเคยจินตนาการว่าอยากจะใช้ชีวิตในบ้านน่าอยู่แบบนี้กับรัชตะ มีลูกสักสองคน สร้างครอบครัวเล็กๆ เติบโตและแก่เฒ่าไปด้วยกัน เพียงแต่ตอนนี้คงต้องพับความฝันนั้นไปก่อนเพราะคนที่เธอวางแผนชีวิตไว้ เขาไปสร้างครอบครัวใหม่กับคนอื่นเสียแล้ว
เสียงแตรดังขึ้นตรงลานกว้าง ดึงจิตแพทย์สาวให้หลุดจากภวังค์ขมๆ
เพชรพร้อมถอยรถกระบะโฟร์วิลคันเดียวกับเมื่อวานออกมารับ หญิงสาวจึงรีบไปขึ้นรถเพื่อไม่ให้คนร่างยักษ์ต้องรอนาน ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่ออาศัยร่มเงา เมื่อเปิดประตูลงมา หมาไทยตัวใหญ่สีดำกับสีน้ำตาลท่าทางร่าเริงและเป็นมิตรก็วิ่งมาต้อนรับที่ประตูรถราวกับรู้จักชายหนุ่มเป็นอย่างดี
“ว่าไงหิริ โอตตัปปะ วันนี้มาทำหน้าที่พนักงานต้อนรับเหรอ ไม่ไปตามหลวงพ่อล่ะ” เพชรพร้อมทักทาย ลูบหัวลูบหางสุนัขอย่างรักใคร่
“หิริ โอตตัปปะ” พินทุอรทวนคำ
“ชื่อของเจ้าสองตัวนี่ไง”
“ชื่อหมาหรือเนี่ย ตั้งซะใกล้นรกเชียว ใครตั้งให้”
“เจ้าอาวาสตั้ง”
พินทุอรสะดุ้งแล้วยิ้มเจื่อน มองเจ้าสี่ขาขนเงามันทั้งสองตัวขำๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มถาม
“ตั้งชื่อแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“ก็แบบ...มันฟังแล้วบาปไหม ที่เอาหลักธรรมมาตั้งชื่อหมา”
“หิริ โอตตัปปะ คือหลักธรรมคำสั่งสอนให้ละอายและเกรงกลัวต่อบาป แต่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่ต้องกราบไหว้บูชาหรือยกไว้เหนือหัว ห้ามแตะต้องสักหน่อย ส่วนหมาก็คือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่ามนุษย์อย่างเราๆ นักหรอก ท่านเจ้าอาวาสเคยบอกว่าที่ตั้งชื่อหมาแบบนี้ก็เพื่อให้เด็กวัดและพระลูกวัดได้หมั่นเตือนสติตัวเองได้บ่อยๆ ตอนเรียกไอ้สองหน่อมาหา หรืออย่างน้อยก็วันละสองเวลา ตอนเรียกพวกมันมามากินข้าว”
“เข้าใจคิดนะ” เธอบอกพร้อมลูบหัวสุนัขไปด้วย
“เมื่อกี้คุณยังบอกว่าใกล้นรกอยู่เลยนี่” เขาพูดหน้าตาย
“แหม...อย่าขยี้สิ คนเราเปลี่ยนความคิดกันได้ ชั่วพริบตาเดียวนี่แหละ”
เพชรพร้อมอมยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก หยิบถาดอาหารคาวหวานและตะกร้าใส่ดอกไม้ที่เตรียมไว้ออกมาจากท้ายรถ “ท่านสอนเด็กๆ ในละแวกนี้เสมอว่าคนเราถ้ายึดมั่นอยู่ในศีลธรรม ละอายใจต่อบาป เราจะทำผิดน้อยลงเพราะละอายใจตัวเอง”
พินทุอรช่วยชายหนุ่มถือของใส่บาตรบางส่วนในระหว่างที่เขาปิดล็อกรถก่อนจะบอก “เด็กๆ แถวนี้โตขึ้นมาคงเป็นคนดีกันทุกคน เพราะมีผู้ใหญ่ที่ดีคอยชี้นำ”
“ไม่ทุกคนหรอก ติดยาก็หลายคน ในระหว่างที่มีคนคอยชี้นำทางที่ดีให้ ก็จะมีผู้ใหญ่เลวๆ ชักจูงไปในทางที่ผิดด้วยเหมือนกัน สังคมมันก็แบบนี้แหละ”
“แต่อย่างน้อยก็คงไม่มีใครกล้าคบผู้หญิงสองคนอยู่เป็นปีๆ แบบแฟนเก่าฉันแน่เลย เพราะละอายใจตัวเอง ถ้ามีแฟนคงรักเดียวใจเดียวแน่นอน เพราะโตมากับคำสอนเรื่องความละอายใจ”
“ผมก็โตมากับท่านนะ เป็นคนรักเดียวใจเดียวเหมือนกัน” เขาบอกเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินลิ่วนำเข้าไปในวัด แม้พินทุอรจะเอะใจเล็กน้อยกับคำพูดเหมือนจะ ‘ขายตัวเอง’ ของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ทันได้คิดอะไรเพราะต้องสาวเท้าเร็วๆ ตามคนตัวสูงใหญ่ให้ทัน
เด็กชายมองหน้าเด็กหญิงพริสาเหมือนจะขอโทษ หันมาหาพินทุอร แล้วถามขึ้น“ผมขอเล่นกับน้องอีกได้ไหมครับ”“ได้สิลูก ชวนน้องดีๆ นะคะถ้าอยากเล่นด้วยกัน” พินทุอรยิ้มจากนั้นเพชรพร้อมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองหน้าลูกสาวสุดแสบ“ส่วนเรา...เด็กหญิงพริสา เพียงดินดี...” เขาเรียกชื่อลูกสาวเสียเต็มยศเป็นการบอกเด็กหญิงอ้อมๆ ว่าคราวนี้เธอทำผิด “วันนี้หนูพรีมผิดตรงไหน บอกพ่อซิคะ”“หนูใช้กำลังทำร้ายพี่”“ผิดไหมคะ”“ผิดค่ะ”“แล้วต้องทำยังไง”เด็กหญิงพริสาหันไปหาเด็กชายคู่กรณี ยกมือป้อมๆ ขึ้นไหว้เด็กชายรุ่นพี่ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงดังฟังชัด“หนูพรีมผิดเองค่ะที่ดึงผมพี่พัตเตอร์ หนูพรีมขอโทษค่ะ หนูพรีมจะไม่ทำอีกแล้ว วันหลังเราค่อยเล่นกันใหม่นะคะ”“เก่งมาก” เพชรพร้อมชม “นอกจากพี่พัตเตอร์แล้วหนูพรีมต้องขอโทษใครอีกไหมคะ”ฟังจบเด็กน้อยก็หันไปทางคุณครูดาว กระพุ่มมือน้อยๆ ไหว้ “หนูพรีมขอโทษคุณครูดาวค่ะที่ทำให้คุณครูเสียเวลา หนูพรีมจะไม่ทำอีก”คุณครูดาวรับไหว้ ลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อยอย่างเอ็นดูจากนั้นเด็กหญิงก็หันไปหามารดาครู่กรณีที่อยากจะดึงผมเธอ “หนูพรีมขอโทษคุณน้าคนสวยด้วยค่ะที่หนูพรีมไปรังแกพี่พัตเตอร์ หนูพรีมจ
โทรศัพท์มือถือของพินทุอรสั่นระรัวเมื่อเวลาเลยบ่ายโมงมาเล็กน้อยจิตแพทย์สาวเลื่อนแฟ้มคนไข้ออกห่างตัว หมุนเก้าอี้ไปทางหน้าต่าง พยายามปรับน้ำเสียงให้เยือกเย็น แล้วจึงกดรับสายจากครูฝ่ายปกครอง“สวัสดีค่ะคุณครูดาว”“คุณแม่คะ ครูต้องโทร. มารบกวนคุณแม่อีกแล้วค่ะ”“วันนี้ใครคะ พอร์ชหรือพราม” พินทุอรถามด้วยความเคยชินเป็นอันรู้กันว่าลูกชายฝาแฝดของเธอ พอร์ชและพราม อายุแค่แปดขวบ แต่ทำให้เพื่อนร่วมห้องร้องไห้กระจองงองแงและไปฟ้องครูประจำชั้นแทบทุกวันมาตั้งแต่เข้าชั้นประถมแล้วสาเหตุที่เพื่อนๆ ร้องไห้ก็ไม่ใช่ว่าลูกชายเธอจะไปรังแกเด็กที่ไหนหรอกนะ แต่สองแฝดนั่นชอบทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมยิ้ม แล้วก็ชอบมองคนอื่นด้วยสายตาดุๆ แค่นั้นเองได้พ่อมาแท้ๆ...ปลายสายอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบมาเหมือนเกรงใจ“วันนี้ไม่ใช่แฝดค่ะ สองหนุ่มนั่นพอขึ้นป.สองแล้วก็พอจะพูดรู้เรื่อง ไม่ค่อยทำหน้าบึ้งหรือตาขวางจนเพื่อนกลัวแล้ว แถมยังมีเพื่อนที่กล้าเข้าไปเล่นด้วยสองสามคนแล้วนะคะ ถือว่ามีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดค่ะ เพราะตอนป.หนึ่ง สองแฝดไม่มีใครกล้าเข้าไปเล่นด้วยเลย”“ถ้างั้นวันนี้ใครคะ” พินทุอรถามแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจ อย่าให้เป็นอย
งานแต่งงานและทริปฮันนีมูนผ่านไปอย่างราบรื่น และพินทุอรก็ย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดได้เดือนเศษแล้ววันนี้เป็นวันแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เธอกลับมากรุงเทพฯ เพราะเพชรพร้อมต้องมาทำธุระที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาจึงพาพินทุอรมาเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองระหว่างที่ภัคจิรากำลังเดินเลือกร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยที่จะต้องมาฟังงานบรรยายวิชาการ หญิงสาวก็เห็นพินทุอรกำลังจูงมือสามีหนุ่มเลือกร้านอาหารอยู่เช่นกันหลังจากมีเรื่องกันคราวก่อน หญิงสาวก็ไม่ได้เจอพินทุอรอีกเลย เธอตามหึง ตามคุมรัชตะไม่ห่าง จนได้ข่าวว่าอีกฝ่ายแต่งงานไป เธอจึงไม่ได้ใส่ใจผู้หญิงคนนี้อีกแม้แฟนหนุ่มจะไม่เคยพูดถึงพินทุอรอีกเลยไม่ว่าเรื่องอะไร ทว่าภัคจิรารับรู้จากท่าทางของรัชตะว่ายังคิดถึงแฟนเก่าคนนี้ไม่เลิก ความอิจฉาแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว เธอจึงหันไปหาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องแล้วบอก“พี่เจอคนรู้จัก ขอเข้าไปทักแป๊บนึงนะ”“ใครคะพี่ภัค”“แฟนเก่าพี่หมอโอ๊ตน่ะ มากับผัวใหม่” ภัคจิราแสร้งยิ้มหยันรุ่นน้องสาวมองตามแล้วสูดปาก “หูย...คนใหม่ของเขาแซ่บระดับพริกร้อยสวนเลยนะพี่ ทั้งสูง ทั้งหุ่นเพอร์เฟกต์ แถมยังผิวสีแทนดูกร้าว
มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลม กับสองเรา...ในขณะที่พินทุอรก้าวเข้าไปเช็กอินในรีสอร์ตสุดหรูที่เพชรพร้อมบรรจงเลือกแล้วเลือกอีกเพื่อมาฮันนีมูน เพลงที่มารดาของพินทุอรชอบเปิดให้ฟังในวัยเด็กก็แว่วมาในความทรงจำมองจากตรงล็อบบียังสามารถเห็นหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงแดดทอประกายระยิบระยับ ส่วนท้องฟ้าสีฟ้าจางๆ ก็ดูสดใสเมื่อถูกแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวสวยเหมือนรูปในโปสการ์ดเลย...สามวันสองคืนต่อจากนี้เธอจะสวมแต่บิกินีสุดเซ็กซี่ แล้วทอดกายไปกับหาดทรายขาว หยอกเย้ากับเกลียวคลื่นที่ซัดสาด ปล่อยให้ผิวกายดื่มด่ำวิตามินดีจากแสงแดดเสียให้พอ จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำเย็นๆ ให้สดชื่น เพื่อเตรียมตัวลงไปจัดการบุฟเฟต์อาหารทะเล เบียร์และไวน์แบบฟรีโฟลว์หรือที่เรียกว่าดื่มได้ไม่อั้นแค่คิด...พินทุอรก็แทบจะล่องลอยไปสรวงสวรรค์แล้ว“ชอบห้องพักไหมอิง” เพชรพร้อมถามเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในพูลวิลลาหลังใหญ่ แบบที่เปิดออกไปแล้วมีสระว่ายน้ำส่วนตัวแยกจากสระหลัก มีรั้วสูงกั้นไว้อย่างมิดชิดเป็นสัดส่วน เพื่อให้คู่รักที่มาพักได้ใช้เวลาทำ ‘กิจกรรม’ ได้อย่างเต็มที่สมกับชื่อห้องฮันนีมูนสวีต แถมยังมองเห็นทะเลกับหาดทรายได้แบบพาโน
เสียงบรรเลงเพลงไทยเดิมดังก้องไปทั่วบริเวณบ้านสวนเพียงดินดีบรรยากาศในวันนี้สวยงามและหวานชื่นไม่ต่างจากภาพในงานแต่งงานที่เห็นในละครมากนัก จะแตกต่างก็เพียงมวลความสุขและความสนุกสนานที่โอบล้อมงานในวันนี้ล้นเอ่อจนทุกคนในงานสัมผัสได้เพชรพร้อมสวมชุดสูทสากลสีชมพูอ่อนนั่งพนมมือวางบนหมอนสำหรับรดน้ำสังข์ โดยมีพินทุอรซึ่งสวมชุดไทยสีชมพูอย่างที่เพชรพร้อมชอบคาดทับด้วยสไบสีทองนั่งอยู่เคียงกันทางซ้ายมือ รอบคอของทั้งคู่มีพวงมาลัยสองชายห้อยอุบะที่ชายมาลัย ซึ่งพวงมาลัยนี้ร้อยอย่างวิจิตรบรรจงด้วยฝีมือของนางรำพึงผู้เป็นแม่งานบ่าวสาวยิ้มให้กันด้วยความชื่นมื่นในระหว่างรอทำพิธีรดน้ำสังข์ ก่อนจะเป็นเพชรพร้อมที่ก้มลงไปหยิบกระดาษเช็ดหน้าแผ่นบางขึ้นมาซับเบาๆ ไล่ไปตามไรผมที่ล้อมกรอบหน้าของเจ้าสวยคนสวย“เหนื่อยไหมอิง”“ไม่เหนื่อย”“ร้อนหรือเปล่า” ถามเสร็จก็ยิ้มให้“เปิดแอร์ขนาดนี้ อิงจะเอาอะไรมาร้อน”“หนาวเกินไปไหม”“ไม่เลย กำลังดีแล้ว”เพชรพร้อมฟังแล้วยิ้มกว้างอีกครั้ง เอื้อมมือไปกุมมือพินทุอร มองตากันแล้วก็ยิ้มให้กันอีกหนคะนึงรักชะงักกึก พานใส่มงคลแฝดหรือมงคลที่ใช้สวมศีรษะบ่าวสาวแทบร่วง เธอวางพานใส่มงคลลง แล้
การ์ดแต่งงานถูกส่งไปทั่วโรงพยาบาลนรินทร์รัตน์ ยกเว้นก็แต่ใครคนหนึ่งที่แผนกศัลยกรรมกลับไม่ได้รับการ์ดเชิญนี้“เป็นไงบ้างไอ้โอ๊ต พักนี้ชีวิตดีไหม”รัชตะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู เขาขมวดคิ้วตอนที่คนมาใหม่เดินเข้ามาหาในห้องทำงานพร้อมรอยยิ้มแบบแปลกๆนายแพทย์อรัญอยู่แผนกสูตินารีเวช เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่ไม่ค่อยลงรอยกันนัก ศัลยแพทย์หนุ่มจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อเพื่อนที่แทบไม่ได้คุยกันเข้ามาทักทาย“มีอะไร” เขาถามตรงๆ“รู้ข่าวหรือยังวะ แฟนเก่าของมึงกำลังจะแต่งงาน”รัชตะชะงัก “หมายถึงใคร อิงน่ะเหรอ”“ใช่ หมออิงจะแต่งงาน แล้วก็ย้ายไปต่างจังหวัดด้วย”อรัญโบกการ์ดแต่งงานที่เพิ่งได้รับเมื่อเช้ากลางอากาศ พลางทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามรัชตะปรายตามองการ์ดแต่งงานสีน้ำเงินขลิบทองในมือเพื่อนร่วมงาน แล้วเบ้หน้าเหมือนไม่แคร์ แต่มือข้างที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่นจนเจ็บ“ความจริงไม่ต้องแจกการ์ดก็ได้ น่าจะเป็นแค่งานเลี้ยงกระจอกที่บ้านนอกเท่านั้น”“เขาจัดงานกันที่โรงแรมในกรุงเทพฯ นี่แหละ ระดับห้าดาวเสียด้วย” อรัญบอกชื่อโรงแรมห้าดาวสุดหรูซึ่งอยู่ใจกลางเมือง“จะจัดหรูแค่ไหน เจ้าบ่าวก็กระจอกอย