รักเดียวใจเดียวอย่างนั้นหรือ...
เพชรพร้อมใจเต้นรัวหลังจากโฆษณาสรรพคุณของตนเองไปหนึ่งดอก...ดอกสำคัญเชียวละ
ชายหนุ่มตีหน้าตาย สบตาเธอตรงๆ เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้พูดอะไร เขาวางถาดใส่อาหารคาวหวานและตะกร้าดอกไม้ที่เตรียมมาไว้บนพรม แล้วหาที่ให้หญิงสาวนั่งพับเพียบรอ จากนั้นเลื่อนบทสวดแผ่เมตตาที่พิมพ์เป็นระเบียบมาให้ตรงหน้า ก่อนจะบอกอย่างคนอยู่ใกล้วัด
“รอให้คนมาอีกสักหน่อยนะ ไม่นานหรอก ผมรอด้านหลัง” เมื่อพูดจบก็ตั้งท่าจะลุกหนีไป
“จะไปไหน มาใส่บาตรด้วยกันสิคุณ”
“คุณใส่เถอะ อาเตรียมมาแค่ของคุณ”
“ก็ใส่ด้วยกันได้นี่ แบ่งกัน”
“ไม่ต้องหรอก” เพชรพร้อมปฏิเสธ กำลังจะถอยหลังไปยืนรอ ก็ได้ยินเสียงหวานทว่าหางเสียงสะบัดเล็กน้อยลอยแว่วมา
“ทำไม ไม่อยากทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกับฉันหรือไง”
ชายหนุ่มชะงัก มองหน้าเธออึ้งๆ โดยไม่สามารถทำหน้าเฉยเหมือนเมื่อห้านาทีที่แล้วได้อีก เพราะใจของเขาดันคิดไปถึงการตักบาตรร่วมขันของคู่บ่าวสาวในพิธีแต่งงานเสียฉิบ แถมยังคิดเลยเถิดไปถึงคืนเข้าหอเลยด้วยซ้ำ
ส่วนกิจกรรมในคืนนั้นก็...
ไอ้เพชรเอ๊ย....ในวัดแท้ๆ จีวรสีเหลืองเดินสวนกันขวักไขว่ ยังมีใจไปคิดอะไรแบบนั้นได้อีก ตกนรกหมกไหม้แน่มึง
เขาถอยหลังอีกหนึ่งก้าว แต่เมื่อเห็นสายตาคู่สวยที่ยังจ้องเขาเขม็ง ชายหนุ่มก็ลอบถอนใจ ยอมก้าวกลับมานั่งพับเพียบข้างหญิงสาวแต่โดยดี “ก็ได้ แต่ถ้าชาติหน้าคุณต้องมาเจอผมอีก ก็อย่าโวยวายละกัน”
เท่านั้นเอง พินทุอรก็ยิ้มออก เลื่อนถาดอาหารมาอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับเธอแล้วบอก “การที่เราเจอกันในวันนี้อาจเพราะชาติที่แล้วเราเคยใส่บาตรด้วยกันมาก่อนก็ได้นะ เจอกันอีกสักชาติ คงไม่เท่าไหร่หรอก”
“แต่ผมยินดีเจอคุณทุกชาติเลยนะ ไม่ติดอะไรเลย แล้วคุณล่ะ”
หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบอะไร พระสงฆ์หลายรูปก็ทยอยเข้ามาด้านในเสียก่อน ทั้งสองคนจึงหันไปสนใจกับการทำบุญใส่บาตรแทน
หลังจากนั้นเพชรพร้อมก็พาพินทุอรไปบริเวณที่เติมน้ำมันตะเกียงซึ่งอยู่ในอุโบสถใกล้ๆ กัน ชายหนุ่มส่งขวดน้ำมันพืชเล็กๆ ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้หญิงสาว แล้วบอกเหมือนสอน
“เขาว่ากันว่าการเติมน้ำมันตะเกียงสำหรับคนโสดจะทำให้มีแสงสว่างนำพาเราไปเจอคนที่ดี คุณลองดูสิ”
“มิน่าเล่า...ฉันไม่เคยเติมน้ำมันตะเกียงนี่เอง ชีวิตเลยเจอผู้ชายเฮงซวยหลอก” พินทุอรพูดพร้อมรับขวดน้ำมันมาถือไว้ เธอยกขึ้นอธิษฐาน จากนั้นก็ค่อยๆ เทน้ำมันลงในช่องตะเกียงที่เปิดอยู่
“ขอให้จากนี้ไปคุณเจอแต่คนดีๆ นะ ถ้าจะมีแฟน ก็ขอให้เป็นผู้ชายที่ดี” เพชรพร้อมอวยพรจากใจจริง ไม่ว่าเขาจะมีวาสนากับเธอหรือไม่ แต่ก็ขอให้เธอได้พบเจอผู้ชายที่ดีและมีรักจริง
ทั้งสองก้าวออกจากอุโบสถพร้อมกัน แสงแดดส่องลงมาเฉพาะตรงที่เพชรพร้อมยืนอยู่ แต่บริเวณที่พินทุอรก้าวออกมานั้นมีเงาของต้นไม่ใหญ่บังไว้
หญิงสาวหันมาเห็นก็รีบบอกเสียงกลั้วหัวเราะ
“โอ้โฮ! คุณดูสิ ตัวคุณสว่างวาบเลย แดดส่องเฉพาะตรงคุณเลยนะเนี่ย สงสัยแสงสว่างจะพาฉันมาเจอผู้ชายที่ดีจริงๆ ด้วย”
“ผมว่าคุณมาถูกทางแล้ว”
“เสียดายที่คุณคงไม่ใช่ผู้ชายของฉัน”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่” เพชรพร้อมปรายตามองหญิงสาว แล้วเอ่ยถามสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจเต้นตึกตัก
“ก็คุณเด็กกว่าฉัน”
“เด็กกว่าแล้วไง ถ้าใจบอกว่าใช่ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
พินทุอรมองหน้าเขางงๆ เหมือนจะค้นหาความหมายในคำพูดของเขา แต่เธอยังไม่ทันจะค้นเจออะไร เพชรพร้อมก็ตัดบท ช็อตฟีลแบบไม่ให้ตั้งตัว
“จะให้ผมยืนตากแดด สว่างวาบๆ อยู่แบบนี้อีกนานไหม ไม่ไปขึ้นรถเหรอ”
“เอ้อ ไปสิ ไปๆ” หญิงสาวรับคำงงๆ แล้วเดินมึนไปยังลานจอดรถ
ชายหนุ่มผิวปากกับตัวเองเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ แล้วจึงก้าวตามเธอไปห่างๆ ใบหน้าดุดันดูอ่อนโยนลงอย่างสังเกตได้ โดยเฉพาะดวงตาคมกล้าที่ทอประกายอบอุ่นในยามที่ทอดมองแผ่นหลังของพินทุอร จากนั้นรอยยิ้มพึงใจก็กระจายเต็มดวงหน้าของชายหนุ่ม
พินทุอรกลับมาถึงบ้านของเพชรพร้อมราวแปดโมงเช้า เมื่อลงรถก็เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวเช้ากันบริเวณโต๊ะยาวในศาลาพักหน้าทางเข้าสวน ด้านข้างมีแผ่นไม้ขนาดย่อมปักบอกทางเขียนว่า ‘สวนเพียงดินดี’ ทุกคนมองมาที่เธอกับเพชรพร้อมแทบจะเป็นตาเดียว จิตแพทย์สาวจึงยิ้มและโบกมือทักทายตามมารยาท
เพชรพร้อมหันมาเห็นเข้าจึงหันมาบอก “พวกนั้นเป็นคนงานในสวนของผมเอง หน้าตาไม่ดีแต่นิสัยดี ไม่น่ากลัวหรอก”
หญิงสาวอยากจะบอกเหลือเกินว่าคงไม่มีใครหน้าตา ‘น่ากลัว’ ไปกว่าคนพูดอีกแล้ว แต่เธอยังอยากมีชีวิตรอดกลับไปรักษาคนไข้ต่อ จึงเลือกที่จะเงียบแล้วพยักหน้ารับเบาๆ แทน
เจ้าของสวนร่างยักษ์เดินเข้าไปกลางวงแล้วหันมากวักมือเรียก หญิงสาวเลยจำต้องเดินตามเขาไป พอถึงโต๊ะอาหารเขาก็แนะนำ
“นี่คุณอิง มาพักอยู่ที่นี่สักระยะ”
กลุ่มคนงานในสวนของเพชรพร้อมยิ้มกว้าง หนึ่งในนั้นรีบยกมือแล้วยืนขึ้นเพื่อแนะนำตัว
“ผมชื่อโอดครับ เป็นลูกน้องที่สนิทที่สุดของพี่เพชร”
“ก็ไม่อยากสนิทเท่าไหร่หรอก” เพชรพร้อมส่ายหน้าก่อนอธิบายต่อ “ชื่อยาวๆ ของมันคือโอดครวญ เพราะใช้ให้ทำอะไรก็มักจะโวยวายและเล่นใหญ่เสมอ”
“กินข้าวด้วยกันมั้ยครับคุณอิง” คนงานผิวคล้ำรูปร่างล่ำสันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถาม
พินทุอรเลิกคิ้ว “ได้เหรอ”
“ถ้าคุณอิงไม่รังเกียจ ก็ตามสบายเลยครับ”
“ไอ้นี่ชื่อสมิง แต่เพื่อนชอบเรียกมันว่าแสมเพราะทำอะไรเร็วเป็นลิง” เพชรพร้อมหันมาบอก
พินทุอรเลือกนั่งลงข้างคนงานร่างสูงอีกคนที่นั่งเงียบอยู่ ท่าทางของเขาดูสุภาพและเรียบร้อยผิดกับเพื่อนๆ แถมยังสวมแว่นสายตา ดูเหมือนนักเรียนนักศึกษาเนิร์ดๆ มากกว่าคนงาน เมื่อเห็นเธอทรุดตัวลงนั่ง เขาก็รีบขยับที่ให้ทันที
“นั่งด้วยคนนะ” เธอบอกพร้อมยิ้มผูกมิตร
“คนนั้นชื่อนุ่ม แต่ก่อนมันชื่อหนุ่ม แต่ไม่มีใครที่นี่เรียกแบบนั้นสักคน” เพชรพร้อมอธิบาย
“โอเค จำได้แล้ว คนตัวสูงคือโอด คนนั่งหัวโต๊ะคือสมิง ส่วนคนที่นั่งข้างฉันคือนุ่ม” พินทุอรทวน
“ส่วนผมชื่อสเตฟานครับ” สเตฟานคือคนงานที่มีใบหน้าไทยแท้ หล่อเหลาไม่เบา ผิวคล้ำ ผมสีดำ ดวงตาสีดำ ห่างไกลจากชื่อแบบพวกฝรั่งตาน้ำข้าวของตนเองอยู่หลายขุม
“แล้วแต่ก่อนชื่ออะไรล่ะ” พินทุอรถาม
โอดรีบชิงตอบ “มันชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดครับ เพราะแต่ก่อนแม่มันชอบพระเอกละครที่ชื่อสเตฟาน เลยเอามาตั้งชื่อลูก”
“อ้อ ดีจัง ความคิดดี แบบนี้ถ้าฉันมีลูก ลูกของฉันคงต้องชื่อชาอึนอูแน่ๆ พวกนายรู้จักไหม พระเอกเกาหลีที่เหมือนสัญลักษณ์แห่งความหน้าตาดีน่ะ สูงๆ ขาวๆ หล่อๆ”
“หล่อเท่าพี่เพชรไหมครับ” สเตฟานถามประสาซื่อ เพราะในหมู่บ้านแถบนี้ ความหล่อของเพชรพร้อมเป็นที่กล่าวขวัญอยู่มาก...มากพอๆ กับชื่อเสียงลบๆ เรื่องความดุ ปากหมา และขวางโลกนั่นละ
“ให้ตอบตามความจริงหรือตอบแบบเกรงใจล่ะ”
“ตอบตามที่ใจคุณอิงอยากตอบเลยครับ” สมิงยุ
“หล่อกว่าชาอึนอูอีก หล่อที่สุดในสามโลก หล่อกว่าทุกคนที่ฉันเคยเจอ หล่อจนฉันอยากจะเป็นลมวันละสามเวลาหลังอาหารเพราะความหล่อของเขา และฉันไม่รับความคิดต่าง”
คำตอบแบบปลอมสุดปลอมของพินทุอรเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากหนุ่มๆ คนงานได้เป็นอย่างดี
“คุณอิงอยู่เป็นนะเนี่ย” โอดบอก
หญิงสาวหัวเราะเสียงดัง “แหม...มาอยู่บ้านเขา มากินบ้านเขา จะให้บอกว่าเขาไม่หล่อได้ยังไงเล่า จริงไหม จะว่าไปพวกนายก็หล่อไม่เบาเลยนะ สงสัยสวนนี้คัดคนงานจากหน้าตา”
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สเตฟานถึงกับยกนิ้วโป้งให้สองนิ้ว
แม้เพชรพร้อมจะถูกชมว่าหล่อ แต่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มดันนุ่มออกไปอีกทาง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างพินทุอรแทน พร้อมสั่ง
“ไปตักข้าวมาให้กูกับคุณอิงด้วย เร็วๆ หิวแล้ว”
“พี่เพชรก็จะกินที่นี่เหมือนกันเหรอ” นุ่มถามงงๆ
“ทำไม กูจะกินไม่ได้เหรอ” เพชรพร้อมตาขวาง
“ก็ปกติพี่ไม่ค่อยกินข้าวเช้า เห็นกินแค่นมแก้วเดียว แล้วก็นั่งกดคอม ไถไอแพด ทำเอกสารน่าปวดหัวอยู่บนชานบ้านนู่น ไม่เคยลงมากินข้าวสักวัน” นุ่มยังมึนอยู่
“ก็วันนี้กูจะกิน มึงมีปัญหาอะไรนักวะไอ้นุ่ม”
โอดรีบเคลียร์ “ไปๆ เร็ว พี่เพชรคงหิวมากนั่นแหละ เลยอยากกินข้าวมื้อใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกไอ้นุ่ม มึงนี่ก็ชอบงง ชอบสงสัยไม่เข้าท่า”
นุ่มเกาหัวงงๆ บ่นงึมงำกับตัวเอง แต่ก็ลุกขึ้นไปตักข้าวตามคำสั่งคนงานรุ่นพี่
ทุกคนกินข้าวจนเสร็จและนั่งพักผ่อน มีคนงานเดินเข้ามาคุยกับเพชรพร้อมเรื่องราคามะพร้าวในสวน เพราะมีลูกค้ารายย่อยมาติดต่อขอซื้อแต่เช้า ชายหนุ่มจึงเดินออกไปคุย ทิ้งให้พินทุอรนั่งเล่นนั่งคุยกับหนุ่มคนงาน
จิตแพทย์สาวอยากจะเดินเล่นย่อยอาหาร จึงลุกเดินไปดูแปลงผักในบริเวณนั้น หญิงสาวเห็นกระบะไม้วางเรียงราย ด้านบนมีผ้าใบพรางแสงปิดอยู่เธอจึงแง้มดูเพราะอยากรู้ว่าเป็นต้นอะไร
“อย่าไปจับครับคุณอิง พี่เพชรเขาหวง” โอดเตือนเมื่อเห็นพินทุอรจับกระบะไม้
หญิงสาวตกใจ ชักมือกลับในทันทีทำให้เสี้ยนไม้ตำเข้าที่ปลายนิ้ว เธออุทานเบาๆ มือปัดไปโดนกระบะไม้เล็กๆ ที่วางอยู่ริมสุด ถาดเพาะกล้าไม้หล่นลงพื้น ดินกระจาย ต้นไม้ต้นจิ๋วระเนระนาด
“ฉิบหายแล้ว” สมิงอุทาน
“คอขาดกันทั้งวงแน่พี่” สเตฟานหน้าซีดกว่า
“โดนพี่เพชรเตะแน่ โอย...ตายแน่ๆ” โอดเริ่มโอดครวญ
เพชรพร้อมได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงเดินกลับเข้ามาในวงสนทนา และเห็นภาพตรงหน้า ชายหนุ่มมองหน้าคนงานชายทุกคนก่อนจะถามเสียงดัง
“ใครทำ”
คนงานทั้งสี่คนก้มหน้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอก
“กูถามว่าใครเป็นคนทำ” เจ้าของสวนร่างยักษ์ถามซ้ำ
“ฉันเอง ฉันเป็นคนทำเอง ไม่เกี่ยวกับคนงานของคุณเลย ฉันแง้มผ้าใบด้านบนดูเพราะอยากรู้ว่าคุณปลูกต้นอะไร พอดีเสี้ยนมันตำ ฉันก็เลยตกใจ มือเลยปัดไปโดนกระบะไม้หล่นลงมาอย่างที่เห็น แต่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ” พินทุอรละล่ำละลักบอก หญิงสาวไม่ได้กลัวเขาเหมือนพวกคนงาน ไม่ได้กลัวว่าจะถูกเขาอัดหรือเตะแต่อย่างใด เพียงแต่การที่เธอทำต้นไม้ที่ดูเหมือนจะเป็นของรักของหวงของชายหนุ่มพังนั่นต่างหาก ที่ทำให้เธอรู้สึกผิด
เพชรพร้อมหันมาทางพินทุอร หญิงสาวเตรียมจะขอโทษเขาอีกครั้ง หรือถ้าเขาอยากจะอัดหรือเตะเธอแบบที่คนงานพูด เธอก็จะยอมรับผิดแบบลูกผู้หญิง จะไม่ชกกลับเลยสักหมัด ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ว่าอะไร หากถามเสียงอ่อนลงแทน
“เสี้ยนตำมือคุณเหรอ”
“หะ...เอ่อ...ใช่” หญิงสาวตอบงงๆ
เพชรพร้อมคว้ามือเธอไปจับดื้อๆ พลิกฝ่ามือขึ้นตรวจดูเสี้ยนไม้ทีละนิ้ว เมื่อเห็นเสี้ยนไม้บนปลายนิ้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็จูงกึ่งลากหญิงสาวออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อกลับไปยังบ้านของตน
เด็กชายมองหน้าเด็กหญิงพริสาเหมือนจะขอโทษ หันมาหาพินทุอร แล้วถามขึ้น“ผมขอเล่นกับน้องอีกได้ไหมครับ”“ได้สิลูก ชวนน้องดีๆ นะคะถ้าอยากเล่นด้วยกัน” พินทุอรยิ้มจากนั้นเพชรพร้อมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองหน้าลูกสาวสุดแสบ“ส่วนเรา...เด็กหญิงพริสา เพียงดินดี...” เขาเรียกชื่อลูกสาวเสียเต็มยศเป็นการบอกเด็กหญิงอ้อมๆ ว่าคราวนี้เธอทำผิด “วันนี้หนูพรีมผิดตรงไหน บอกพ่อซิคะ”“หนูใช้กำลังทำร้ายพี่”“ผิดไหมคะ”“ผิดค่ะ”“แล้วต้องทำยังไง”เด็กหญิงพริสาหันไปหาเด็กชายคู่กรณี ยกมือป้อมๆ ขึ้นไหว้เด็กชายรุ่นพี่ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงดังฟังชัด“หนูพรีมผิดเองค่ะที่ดึงผมพี่พัตเตอร์ หนูพรีมขอโทษค่ะ หนูพรีมจะไม่ทำอีกแล้ว วันหลังเราค่อยเล่นกันใหม่นะคะ”“เก่งมาก” เพชรพร้อมชม “นอกจากพี่พัตเตอร์แล้วหนูพรีมต้องขอโทษใครอีกไหมคะ”ฟังจบเด็กน้อยก็หันไปทางคุณครูดาว กระพุ่มมือน้อยๆ ไหว้ “หนูพรีมขอโทษคุณครูดาวค่ะที่ทำให้คุณครูเสียเวลา หนูพรีมจะไม่ทำอีก”คุณครูดาวรับไหว้ ลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อยอย่างเอ็นดูจากนั้นเด็กหญิงก็หันไปหามารดาครู่กรณีที่อยากจะดึงผมเธอ “หนูพรีมขอโทษคุณน้าคนสวยด้วยค่ะที่หนูพรีมไปรังแกพี่พัตเตอร์ หนูพรีมจ
โทรศัพท์มือถือของพินทุอรสั่นระรัวเมื่อเวลาเลยบ่ายโมงมาเล็กน้อยจิตแพทย์สาวเลื่อนแฟ้มคนไข้ออกห่างตัว หมุนเก้าอี้ไปทางหน้าต่าง พยายามปรับน้ำเสียงให้เยือกเย็น แล้วจึงกดรับสายจากครูฝ่ายปกครอง“สวัสดีค่ะคุณครูดาว”“คุณแม่คะ ครูต้องโทร. มารบกวนคุณแม่อีกแล้วค่ะ”“วันนี้ใครคะ พอร์ชหรือพราม” พินทุอรถามด้วยความเคยชินเป็นอันรู้กันว่าลูกชายฝาแฝดของเธอ พอร์ชและพราม อายุแค่แปดขวบ แต่ทำให้เพื่อนร่วมห้องร้องไห้กระจองงองแงและไปฟ้องครูประจำชั้นแทบทุกวันมาตั้งแต่เข้าชั้นประถมแล้วสาเหตุที่เพื่อนๆ ร้องไห้ก็ไม่ใช่ว่าลูกชายเธอจะไปรังแกเด็กที่ไหนหรอกนะ แต่สองแฝดนั่นชอบทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมยิ้ม แล้วก็ชอบมองคนอื่นด้วยสายตาดุๆ แค่นั้นเองได้พ่อมาแท้ๆ...ปลายสายอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบมาเหมือนเกรงใจ“วันนี้ไม่ใช่แฝดค่ะ สองหนุ่มนั่นพอขึ้นป.สองแล้วก็พอจะพูดรู้เรื่อง ไม่ค่อยทำหน้าบึ้งหรือตาขวางจนเพื่อนกลัวแล้ว แถมยังมีเพื่อนที่กล้าเข้าไปเล่นด้วยสองสามคนแล้วนะคะ ถือว่ามีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดค่ะ เพราะตอนป.หนึ่ง สองแฝดไม่มีใครกล้าเข้าไปเล่นด้วยเลย”“ถ้างั้นวันนี้ใครคะ” พินทุอรถามแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจ อย่าให้เป็นอย
งานแต่งงานและทริปฮันนีมูนผ่านไปอย่างราบรื่น และพินทุอรก็ย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดได้เดือนเศษแล้ววันนี้เป็นวันแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เธอกลับมากรุงเทพฯ เพราะเพชรพร้อมต้องมาทำธุระที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาจึงพาพินทุอรมาเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองระหว่างที่ภัคจิรากำลังเดินเลือกร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยที่จะต้องมาฟังงานบรรยายวิชาการ หญิงสาวก็เห็นพินทุอรกำลังจูงมือสามีหนุ่มเลือกร้านอาหารอยู่เช่นกันหลังจากมีเรื่องกันคราวก่อน หญิงสาวก็ไม่ได้เจอพินทุอรอีกเลย เธอตามหึง ตามคุมรัชตะไม่ห่าง จนได้ข่าวว่าอีกฝ่ายแต่งงานไป เธอจึงไม่ได้ใส่ใจผู้หญิงคนนี้อีกแม้แฟนหนุ่มจะไม่เคยพูดถึงพินทุอรอีกเลยไม่ว่าเรื่องอะไร ทว่าภัคจิรารับรู้จากท่าทางของรัชตะว่ายังคิดถึงแฟนเก่าคนนี้ไม่เลิก ความอิจฉาแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว เธอจึงหันไปหาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องแล้วบอก“พี่เจอคนรู้จัก ขอเข้าไปทักแป๊บนึงนะ”“ใครคะพี่ภัค”“แฟนเก่าพี่หมอโอ๊ตน่ะ มากับผัวใหม่” ภัคจิราแสร้งยิ้มหยันรุ่นน้องสาวมองตามแล้วสูดปาก “หูย...คนใหม่ของเขาแซ่บระดับพริกร้อยสวนเลยนะพี่ ทั้งสูง ทั้งหุ่นเพอร์เฟกต์ แถมยังผิวสีแทนดูกร้าว
มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลม กับสองเรา...ในขณะที่พินทุอรก้าวเข้าไปเช็กอินในรีสอร์ตสุดหรูที่เพชรพร้อมบรรจงเลือกแล้วเลือกอีกเพื่อมาฮันนีมูน เพลงที่มารดาของพินทุอรชอบเปิดให้ฟังในวัยเด็กก็แว่วมาในความทรงจำมองจากตรงล็อบบียังสามารถเห็นหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงแดดทอประกายระยิบระยับ ส่วนท้องฟ้าสีฟ้าจางๆ ก็ดูสดใสเมื่อถูกแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวสวยเหมือนรูปในโปสการ์ดเลย...สามวันสองคืนต่อจากนี้เธอจะสวมแต่บิกินีสุดเซ็กซี่ แล้วทอดกายไปกับหาดทรายขาว หยอกเย้ากับเกลียวคลื่นที่ซัดสาด ปล่อยให้ผิวกายดื่มด่ำวิตามินดีจากแสงแดดเสียให้พอ จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำเย็นๆ ให้สดชื่น เพื่อเตรียมตัวลงไปจัดการบุฟเฟต์อาหารทะเล เบียร์และไวน์แบบฟรีโฟลว์หรือที่เรียกว่าดื่มได้ไม่อั้นแค่คิด...พินทุอรก็แทบจะล่องลอยไปสรวงสวรรค์แล้ว“ชอบห้องพักไหมอิง” เพชรพร้อมถามเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในพูลวิลลาหลังใหญ่ แบบที่เปิดออกไปแล้วมีสระว่ายน้ำส่วนตัวแยกจากสระหลัก มีรั้วสูงกั้นไว้อย่างมิดชิดเป็นสัดส่วน เพื่อให้คู่รักที่มาพักได้ใช้เวลาทำ ‘กิจกรรม’ ได้อย่างเต็มที่สมกับชื่อห้องฮันนีมูนสวีต แถมยังมองเห็นทะเลกับหาดทรายได้แบบพาโน
เสียงบรรเลงเพลงไทยเดิมดังก้องไปทั่วบริเวณบ้านสวนเพียงดินดีบรรยากาศในวันนี้สวยงามและหวานชื่นไม่ต่างจากภาพในงานแต่งงานที่เห็นในละครมากนัก จะแตกต่างก็เพียงมวลความสุขและความสนุกสนานที่โอบล้อมงานในวันนี้ล้นเอ่อจนทุกคนในงานสัมผัสได้เพชรพร้อมสวมชุดสูทสากลสีชมพูอ่อนนั่งพนมมือวางบนหมอนสำหรับรดน้ำสังข์ โดยมีพินทุอรซึ่งสวมชุดไทยสีชมพูอย่างที่เพชรพร้อมชอบคาดทับด้วยสไบสีทองนั่งอยู่เคียงกันทางซ้ายมือ รอบคอของทั้งคู่มีพวงมาลัยสองชายห้อยอุบะที่ชายมาลัย ซึ่งพวงมาลัยนี้ร้อยอย่างวิจิตรบรรจงด้วยฝีมือของนางรำพึงผู้เป็นแม่งานบ่าวสาวยิ้มให้กันด้วยความชื่นมื่นในระหว่างรอทำพิธีรดน้ำสังข์ ก่อนจะเป็นเพชรพร้อมที่ก้มลงไปหยิบกระดาษเช็ดหน้าแผ่นบางขึ้นมาซับเบาๆ ไล่ไปตามไรผมที่ล้อมกรอบหน้าของเจ้าสวยคนสวย“เหนื่อยไหมอิง”“ไม่เหนื่อย”“ร้อนหรือเปล่า” ถามเสร็จก็ยิ้มให้“เปิดแอร์ขนาดนี้ อิงจะเอาอะไรมาร้อน”“หนาวเกินไปไหม”“ไม่เลย กำลังดีแล้ว”เพชรพร้อมฟังแล้วยิ้มกว้างอีกครั้ง เอื้อมมือไปกุมมือพินทุอร มองตากันแล้วก็ยิ้มให้กันอีกหนคะนึงรักชะงักกึก พานใส่มงคลแฝดหรือมงคลที่ใช้สวมศีรษะบ่าวสาวแทบร่วง เธอวางพานใส่มงคลลง แล้
การ์ดแต่งงานถูกส่งไปทั่วโรงพยาบาลนรินทร์รัตน์ ยกเว้นก็แต่ใครคนหนึ่งที่แผนกศัลยกรรมกลับไม่ได้รับการ์ดเชิญนี้“เป็นไงบ้างไอ้โอ๊ต พักนี้ชีวิตดีไหม”รัชตะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู เขาขมวดคิ้วตอนที่คนมาใหม่เดินเข้ามาหาในห้องทำงานพร้อมรอยยิ้มแบบแปลกๆนายแพทย์อรัญอยู่แผนกสูตินารีเวช เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่ไม่ค่อยลงรอยกันนัก ศัลยแพทย์หนุ่มจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อเพื่อนที่แทบไม่ได้คุยกันเข้ามาทักทาย“มีอะไร” เขาถามตรงๆ“รู้ข่าวหรือยังวะ แฟนเก่าของมึงกำลังจะแต่งงาน”รัชตะชะงัก “หมายถึงใคร อิงน่ะเหรอ”“ใช่ หมออิงจะแต่งงาน แล้วก็ย้ายไปต่างจังหวัดด้วย”อรัญโบกการ์ดแต่งงานที่เพิ่งได้รับเมื่อเช้ากลางอากาศ พลางทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามรัชตะปรายตามองการ์ดแต่งงานสีน้ำเงินขลิบทองในมือเพื่อนร่วมงาน แล้วเบ้หน้าเหมือนไม่แคร์ แต่มือข้างที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่นจนเจ็บ“ความจริงไม่ต้องแจกการ์ดก็ได้ น่าจะเป็นแค่งานเลี้ยงกระจอกที่บ้านนอกเท่านั้น”“เขาจัดงานกันที่โรงแรมในกรุงเทพฯ นี่แหละ ระดับห้าดาวเสียด้วย” อรัญบอกชื่อโรงแรมห้าดาวสุดหรูซึ่งอยู่ใจกลางเมือง“จะจัดหรูแค่ไหน เจ้าบ่าวก็กระจอกอย