คุณคนโปรดสุดที่ร้าย
บทนำ
แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่กลางดึกคืนนั้นกลับมีพายุฝนฟ้าคะนอง กระแสลมกระโชกแรงพัดผ่านจนต้นไม้ในซอยหักโค่นขวางทางกลางถนน มีเพียงรถเล็กเท่านั้นที่สามารถสัญจรตัดผ่าน มอเตอร์ไซค์ของ ภูริ เร่งเครื่องแล่นผ่านความมืดท่ามกลางสายฝนด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
เวลานี้ชายหนุ่มร้อนใจอย่างถึงที่สุด อย่างไรเขาต้องไปให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อนที่ใครต่อใครจะล่วงหน้าไปถึงก่อน
ทันทีที่ดับเครื่องยนต์ลงหน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่สุดซอยตัน ร่างชุ่มโชกเปียกไปทั้งตัวก็หันมองซ้ายขวาด้วยความระแวดระวังก่อนไขกุญแจเข้าสู่ด้านในด้วยความรู้สึกใจคอไม่ดียิ่งกว่าวันไหน ๆ
“พี่วิศ!” เสียงร้อนรนตะโกนเรียกหาใครอีกคนซึ่งน่าจะอยู่ที่นี่เพราะมอเตอร์ไซค์อีกคันก็จอดอยู่ที่ด้านนอก
เสียงรื้อค้นของในบ้านดังให้ได้ยิน แต่ต้นเสียงไม่ได้มาจากห้องที่คิดว่าพี่ชายจะอยู่ สองเท้าจึงเบี่ยงทิศเดินไปยังอีกห้องแทน และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็นำพาความรู้สึกตื่นตระหนกเข้าครอบครองจิตใจ
ห้องหับคุ้นเคยสลัวรางด้วยแสงจากไฟดวงเล็ก ฉายให้ได้เห็นคราบเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกมุมห้อง กลิ่นคาวคละคลุ้งจนต้องยกหลังมือขึ้นปิดจมูก ทว่ามันก็มีเพียงแค่รอยคราบ ไม่มีร่างกายเจ้าของรอยเลือดดังกล่าว ขณะเดียวกันคนซึ่งอยู่ด้านในก็กำลังกระทำการบางอย่างที่ภูริไม่เข้าใจ
เขาก้าวเข้าประชิดตัว คว้าไหล่พี่ชายให้หันมองทันที
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น? นี่เรื่องจริงรึเปล่า? พี่เป็นคนทำ?”
“กูไม่ได้ทำ” แววตามั่นคงในอารมณ์ ประกอบกับสีหน้าจริงจังของ ภวิศทำให้ภูริไม่สามารถตั้งคำถามใดต่อไปได้
แม้อีกฝ่ายจะพูดแค่เท่านั้น แต่เพราะทั้งคู่เหลือกันเพียงสองคนพี่น้อง ภูริรู้ว่าพี่ชายไม่มีทางลงมือก่ออาชญากรรมเหี้ยมโหดได้ลง
“ตำรวจกำลังมา มึงรีบออกไป” เสียงราบเรียบของภวิศออกคำสั่ง
ขณะที่คนมองยังคงไม่เข้าใจในการกระทำที่ได้เห็น พี่ชายก็ขยายความพร้อมทั้งจัดแจงเคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องด้วยความรวดเร็ว
“ช่วงนี้กูมีปากเสียงกับแอนบ่อย เมื่อวานก็ทะเลาะกันหนัก กล้องวงจรปิดที่ร้านอาหารอาจใช้เป็นเบาะแสสำคัญเรื่องแรงจูงใจในการฆ่าได้ ช่วงเวลาที่แอนตายกูไม่มีหลักฐานที่อยู่ กลับบ้านมาเจอสภาพแบบนี้และข่าวออกแบบนั้น มองยังไงก็ดิ้นไม่หลุด และตอนนี้ตำรวจก็น่าจะกำลังมา…”
“ถ้าพี่ไม่ได้ทำก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว!” ภูริแย้งเสียงดัง
แม้สิ่งที่ได้ฟังตามการสันนิษฐานของพี่ชายจะเป็นข้อเท็จจริงที่เลี่ยงหลีกไม่พ้น แต่เขารับไม่ได้หากภวิศต้องตกเป็นแพะรับบาปในคดีที่ไม่ได้ก่อ ทว่าพี่ชายกลับระบายลมหายใจ จ้องตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่งกว่าที่ควรจะเป็น
“มึงไม่ใช่คนโง่ไอ้ภู ทุกอย่างบ่งบอกว่ากูคือผู้ต้องสงสัย แค่ตำรวจได้เห็นสภาพห้องนี้ กูจะตกเป็นผู้ต้องหาทันที”
“พี่ก็หนีดิวะ! มัวรออะไร!” คนฟังร้องสวนอย่างหัวเสีย ภูริรู้สึกใกล้จะบ้าเต็มที หากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วพี่ชายเขาเสียเวลาทำอะไรอยู่ “รีบหนีไปให้ไกล!”
เจ้าของเสียงร้อนใจคว้าเข้าที่แขนของภวิศเพื่อลากเดินออกสู่ภายนอก ใจคิดเพียงหากพี่ชายหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ยังทัน ทว่าอีกฝ่ายกลับกระชากตัวเขาไว้
“ไอ้ภู! มึงฟังกูให้ดี…”
แววตาดุดันก่ำแดงคล้ายผ่านการร่ำไห้ ประกอบกับข้อเท็จจริงบางอย่างที่ภวิศกระซิบบอกทำให้น้องชายรู้สึกลำคอแห้งผาก เพียงเขาตั้งท่าจะเอ่ยแย้งแม้รู้ว่าเป็นไปได้ยาก อีกฝ่ายก็ออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ทำตามที่กูบอก ตอนนี้ไม่มีทางไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“แต่พี่…”
“สัญญากับกู ถ้าตำรวจเรียกสอบปากคำ มึงจะให้การว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“…”
“ไอ้ภู?”
“ผมจะทำแบบนั้นได้ไง!”
“ถ้ามึงรักกูอย่าขัดคำสั่ง”
“…”
“กูขอแค่คำสัญญา”
ภูริรู้สึกวูบโหวงไปทั้งกายและใจกับคำร้องขอกึ่งบังคับด้วยสายตาเด็ดขาดจริงจัง เขาไม่ต้องการให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องการให้ครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวต้องเผชิญกับสถานการณ์โหดร้ายเพียงลำพัง หากแต่ไม่มีคำใดสามารถยกขึ้นแย้งสิ่งที่พี่ชายพูด และแม้จะกล้ำกลืนฝืนทนสักเพียงใดก็จำต้องพยักหน้ารับในที่สุด ทั้งความรู้สึกนึกคิดภายในใจกวัดแกว่งไร้ทิศทาง
“ดี”
เสียงถอนหายใจของพี่กับแววตาอ่อนโยนคล้ายจะประโลมปลอบ รวมถึงการลงฝ่ามือออกแรงบีบเหนือบ่ากว้างก่อนดึงเขาเข้ากอด ส่งผลให้ขอบตาคนรับไออุ่นผ่าวร้อน ทว่าไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยคำใดภวิศก็ผละกายออกห่าง เมินหันหนีไปอีกทาง
“มึงไปได้แล้ว”
ไม่มีบทสนทนาใดอีกแล้วในวินาทีนี้…
ภูริรู้ดีว่าบ้านเขาจะกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ไม่ช้าไม่นานตำรวจคงแห่กันมาถึง หากไม่รีบไปตั้งแต่ตอนนี้เหตุการณ์อาจเป็นไปในทิศทางที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม
ทุกจังหวะการลงฝีเท้าของชายหนุ่มหนักอึ้งยิ่งกว่าวันไหน ๆ แต่ก็จำใจต้องเดินต่อด้วยความรีบเร่ง วาดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ได้ก็บิดเร่งเครื่องกลับออกไปในทันที
ถนนเส้นเล็กคุ้นตายามคืนค่ำสงัดเงียบไปกว่าทุกที สัมผัสเย็น ๆ จากเม็ดฝนยังคงสาดเข้าหา ทว่าความชื้นจากร่างกายเย็นชืดไม่ได้ทำให้ความรุ่มร้อนในใจทุเลาลง และก่อนความเร็วของรถจะพาเขาผ่านพ้นออกสู่ถนนใหญ่ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถตำรวจติดไซเรนหลายคันเลี้ยวเข้าซอยพอดิบพอดี
นัยน์ตาพร่าเบลอไปด้วยน้ำอีกชนิดที่ไม่ใช่น้ำฝนกะพริบถี่ระรัว มือซึ่งกุมแฮนด์จับกำแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้าใส่ แม้ใจจะอยากวนรถกลับสักเพียงใด แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้น
และในไม่กี่อึดใจต่อมา มอเตอร์ไซค์คันเก่าก็ชะลอจอดชิดฟุตพาทข้างทางในที่สุด เสียงสายเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนดังขึ้นในวินาทีเดียวกัน เขาคาดหวังว่าคนต่อสายเข้ามาจะเป็นภวิศ แต่หน้าจอฉายให้ได้เห็นว่าเจ้าของสายเรียกเข้าคือ ริษา คนรักของเขาเอง
ภูริซึ่งกำลังเสียศูนย์อย่างหนักไม่มีกะจิตกะใจจะเลื่อนรับสาย ไม่มีใจจะคิดสิ่งอื่นใดนอกจากเรื่องของพี่ชายที่เวลาไม่นานต่อจากนี้จะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม
และเขาในตอนนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้สักอย่าง ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้ภวิศพ้นความผิดที่ไม่ได้ก่อ…
ไม่มีแม้แต่ทางเดียว…