Share

บทที่ 9 ผมจะไม่ลงมือกับสวะ เว้นเสียแต่จะทนไม่ไหว

เวินซูซูไม่เชื่อว่าฉินเป่ยจะเก่งแบบที่ท่านย่าของเธอพูด!

หัวใจของเวินหงอิงไม่อาจสงบลงได้เลย ในเมืองหยางตูแห่งนี้ นอกจากเหล่าเฒ่าปีศาจพวกนั้น เธอก็ไม่กลัวใครแล้ว

เมื่อหลายปีก่อนเธอมีโอกาสได้ต่อกรกับเฒ่าปีศาจ แต่เธอก็พ่ายแพ้ไปโดยปริยาย

ถึงแบบนั้นเธอก็ยังรับรู้ได้ถึงกระแสลมปราณไหลเวียนในร่างกายของพวกเขา รู้ว่าตัวเองมีความแตกต่างกับพวกเขามาก

แต่เมื่อกี้เธอกลับหยั่งรู้ถึงการบำเพ็ญของฉินเป่ยเลย ยามที่เธอมองเขา เขาก็เป็นราวกับหลุมดำลึก!

“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน”

“เด็กน้อย หลานต้องจำไว้นะ สิ่งที่หลานทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะทำไม่ได้”

“แล้วจำไว้ด้วยว่า อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก ย่าดูคนไม่ผิดหรอก”

“ย่าจะให้งานหลานไปทำ ไปหาเสี่ยวเป่ยแล้วผูกมิตรกับเขาซะ”

“เข้าใจไหม?”

เวินซูซูฟังน้ำเสียงของเวินหงอิงที่ดูเรียบง่ายแต่เธอกลับไปกล้าตั้งข้อสงสัย ถึงภายในใจของเธอจะไม่อยากยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับปาก

……

ตอนนี้ฉินเป่ยซื้อร้านแห่งหนึ่งได้สำเร็จแล้ว และตอนที่เขาตั้งท่าจะเดินจากไป เขาก็ถูกคนคนหนึ่งขวางหน้าเอาไว้

และคนที่มาก็คืออากุ่ย! หัวหน้าบอดี้การ์ดของตระกูลโจว

“ไงไอ้เปี๊ยก ข้อชื่ออากุ่ย หัวหน้าบอดี้การ์ดของตระกูลโจว ข้ามาตัดแขนขาของเจ้าตามคำสั่งของผู้นำตระกูลที่ส่งข้ามา ข้าจะไม่ลงมือกับสวะหรอกนะ แกทำเองซะสิ!”

อากุ่ยพูดพร้อมกับส่งมีดเล่มหนึ่งมาตรงหน้าฉินเป่ย เขารู้สึกผิดหวังในตัวฉินเป่ยมาก ผิดหวังในระดับที่ทำให้ใจห่อเหี่ยว

เพราะเขาไม่รับรู้ถึงลมปราณจอมยุทธ์จากตัวฉินเป่ยเลย เดิมทีนึกว่าเขาเป็นผู้มากฝีมือเสียอีก อย่างน้อยก็คงให้เขาได้เหงื่อออกบ้าง!

ถึงยังไงซะฉินเป่ยก็เป็นถึงคนที่หักขาสองข้างของนายน้อยโจวอย่างโจวห้าวกับเหมาสง

แต่เมื่อได้เห็นฉินเป่ย ความอยากลงมือของเขาก็หายไปทันที

“โรคจิตเหรอ”

ฉินเป่ยไม่แลตามองอากุ่ยก่อนจะเดินผ่านด้านข้างของเขาไป

“เจ้าเปี๊ยก ได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัดหรือไง?”

ฉินเป่ยหยุดก่อนจะพูดขึ้น “ผมได้ยินชัดเลยล่ะ แล้วก็จะพูดคำของคุณคืนไป ผมจะไม่ลงมือกับสวะ เว้นเสียแต่จะทนไม่ไหว”

“ฮ่า ๆ ๆ ยอดมาก ยอดจริง ๆ!”

“เจ้าเปี๊ยก เจ้าทำให้ข้าโมโหได้สำเร็จ ในเมื่อเจ้าบังคับให้ข้าต้องลงมือ งั้นข้าก็จะทำตามที่เจ้าขอ!”

อากุ่ยพูดพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาฉินเป่ยโดยไม่สนใจฉินเป่ยเลย เพราะสำหรับเขาแล้วฉินเป่ยก็แค่แกะที่รอโดนถลกหนัง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก

ฉินเป่ยขมวดคิ้ว ในใจก็คิดว่า ไอ้เจ้านี่มันไม่ได้เป็นเอ๋อใช่ไหม

“เจ้าโง่เอ๊ย”

ฉินเป่ยไม่ได้สนใจอากุ่ยเลย เขาเดินผ่านไปด้วยสีหน้ารังเกียจ

อากุ่ยโมโหจัด ก้าวพุ่งไปเบื้องหน้าฉินเป่ยทันที ก่อนจะฟาดมือลงบนหัวไหล่ของเขาอย่างแรง!

“เจ้าเปี๊ยก เจ้าเป็นสวะที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนที่สุดตั้งแต่ข้าเคยเจอมา!”

“ไอ้XX นี่เจ้ายังกล้ามองเมินข้า?”

อากุ่ยโมโหถึงขีดสุด!

“ไม่ชอบมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”

ฉินเป่ยหันมองเขาด้วยสายตาอันแหลมคม อากุ่ยสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิรอบด้านหนาวเหน็บขึ้นมาทันที ความกลัวที่แทงลึกลงในกระดูกทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

“แก นี่แกเป็นจอมยุทธ์?”

“นี่แกระดับพลังอะไรกัน?”

อากุ่ยตกใจมาก ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วตัวราวกับมดไตร่

แต่ต่อให้เป็นเวลานี้ เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงการไหลเวียนของลมปราณจอมยุทธ์ในร่างกายของฉินเป่ยได้เลยแม้แต่น้อย

แต่แววตาของฉินเป่ยเมื่อกี้ กลับทำให้เขารู้สึกกลัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน! เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ตายไปแล้วรอบหนึ่ง!

“กลับไปบอกคนตระกูลโจวด้วยว่าสองวันนี้ผมต้องได้เห็นหยางลี่กับโจวห้าวมาคุกเข่าขอโทษพร้อมเงินอีกห้าล้าน!”

“ไสหัวไปซะ!”

พูดจบ ฉินเป่ยก็เดินจากไป

หลังจากที่เขาเดินจากไปได้ไม่กี่นาที อากุ่ยถึงได้สติกลับคืนมา ตัวเขาตอนนี้เหงื่อออกเต็มตัวไปหมด ร่างกายสั่นเทาอย่างหยุดไม่ได้

“อะไรกัน? เจ้าหมอนั่น เมื่อกี้ทำไมถึงได้มีแรงสังหารที่น่ากลัวขนาดนั้น”

“หรือเขาจะเป็นจอมยุทธ์ แล้วยังเป็นคนที่มีพลังสูงมากด้วย”

“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

“ข้าสัมผัสถึงลมปราณจอมยุทธ์ของเขาไม่ได้เลยสักนิดเดียวด้วยซ้ำ”

“บ้าชะมัด อากุ่ยคนนี้เคยจนตรอกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

อากุ่ยในฐานะหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลโจว เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองจนตรอกแบบนี้เด็ดขาด เขายืนตัวตรงก่อนจะตามฉินเป่ยไป

ไม่นานเขาก็ตามมาถึงตัวฉินเป่ย

“ไอ้เจ้าเปี๊ยก แกเลิกมาแกล้งทำเป็นเก่งต่อหน้าข้าคนนี้แล้วเอาชีวิตของแกมาซะเถอะ!”

อากุ่ยไม่กล้าดูถูกฉินเป่ย เขาต่อยไปยังฉินเป่ยในทันที

ฉินเป่ยยกมือขึ้นต่อยออกไปหนึ่งที!

วินาทีต่อมา เสียงดังครืดดังสนั่น แขนทั้งข้างของอากุ่ยใช้การไม่ได้แล้ว เสียงร้องโอดครวญของเขาดังขึ้นก่อนจะล้มตัวลงบนพื้นอย่างแรง

“จะเป็นไปได้ยังไง?!”

“แก แกเป็นจอมยุทธ์เหรอ?”

“แกซ่อนระดับพลังของตัวเองเอาไว้เหรอ?”

อากุ่ยนอนอยู่บนพื้นพร้อมสีหน้าตกใจและเจ็บปวดถึงขีดสุด

“หัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลโจวทำได้แค่นี้เองเหรอ? กระจอกสิ้นดี!”

แค่จะมองอากุ่ยฉินเป่ยยังรู้สึกขี้เกียจมอง เขาเดินหันออกไปทันที

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเขากลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เข้ามาในบ้านเขาก็เห็นแม่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว ทันใดนั้นน้ำตาก็คลอเบ้าเขาทันที

“แม่ครับ!”

ทันทีที่ตู้เหม่ยจวนที่กำลังทอดปลาอยู่ได้ยินเสียง เธอก็ทิ้งปลาหันกลับไปหาฉินเป่ยพร้อมน้ำตาที่อาบหน้าราวเปียกฝน!

“แม่ครับผมกลับมาแล้ว!”

“ผมเป็นลูกอกตัญญู ทำให้แม่ต้องได้รับบาดเจ็บ”

ฉินเป่ยคุกเข่าลงด้วยหัวใจที่รู้สึกผิดเต็มประดา

แต่เล็กจนโตพ่อของเขาไม่อยู่บ้าน เป็นแม่ที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ เขาติดค้างแม่มากมายมหาศาล

“กลับมาก็ดีแล้วนะลูก กลับมาก็ดีแล้ว กับข้าใกล้เสร็จแล้วล่ะ เป็นของโปรดลูกทั้งนั้นเลยนะ!”

ตู้เหมวยจวนดึงฉินเป่ยขึ้น ถึงใบหน้าจะยังอาบด้วยน้ำตาแต่ก็มีรอยยิ้มเมตตาอยู่ด้วยเช่นกัน

“อ๊ะ แม่ครับ ผมจะทำอาหารกับแม่ด้วย!”

ฉินเป่ยตรวจดูอาการบาดเจ็บของแม่ก่อนจะพบว่ารักษาหายดีทั้งหมดแล้ว มันทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย

แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก ความหวังสูงสุดในใจของเขาก็คือการที่แม่อยู่มีความสุข เขาจึงรีบช่วยแม่ทำกับข้าว ไม่นานอาหารหลายเมนูก็เสร็จสิ้น

สมาชิกครอบครัวสามคนทานอาหารกันพร้อมหน้า

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมากเท่าที่เขาจำความได้

“ดื่มเป็นเพื่อนพ่อหน่อยไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้วครับ พ่อนั่งก่อน ผมจะไปเอาไวน์มาครับ”

ฉินเป่ยลุกขึ้นไปหยิบไวน์ คู่พ่อลูกดื่มไวน์ที่แม่ตั้งใจเก็บเอาไว้หลายปีจนหมดภายในมื้อเดียว จากนั้นเขาก็บอกกับพ่อแม่เรื่องที่เขาหาร้านได้แล้ว

เดิมทีเขายังอยากบอกเรื่องอวี่เจียวหรงกับพวกเขาด้วย แต่เมื่อนึกดูแล้วก็รู้สึกว่าบอกตอนนี้คงยังไม่เหมาะ

เรื่องอวี่เจียวหรง ตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนกับฝันอยู่เลย

เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะตื่นจากฝันนี้

“ลูกรัก ลูกออกมาแล้ว ส่วนพ่อก็จะไม่จากไปแล้ว ไม่ว่าลูกจะทำอะไรแม่ก็จะสนับสนุน แม่ขอแค่อย่างเดียว ห้ามมีความสัมพันธ์อะไรกับหยางลี่อีกนะลูก เธอไม่เหมาะสมกับลูกของแม่หรอก!”

ห้าปีมานี้ตู้เหม่ยจวนรับรู้เรื่องราวของหยางลี่มาโดยตลอด ตู้เหม่ยจวนก็เคยไปหาเธอมาเหมือนกัน และทุกครั้งก็จะถูกหยางลี่กับโจวห้าวย่ำยีแทบจมดิน!

“แม่ครับ วางใจเถอะครับ เรื่องราวตลอดห้าปีที่ผมไม่อยู่นี้ผมได้รับรู้หมดแล้ว แล้วผมกับหยางลี่ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่ว่าบ้านหลังนั้นผมกับแม่ซื้อเงินสดมาด้วยกันตอนนั้น”

“ตอนนี้บ้านหลังนั้นมูลค่ากว่าห้าล้าน เงินนี่ผมจะต้องเอาคืนมาให้ได้ อีกทั้งโจวห้าวกับหยางลี่จะต้องมาขอโทษแม่ถึงที่ด้วย”

“แม่ครับ เรื่องนี้แม่ไม่ต้องสนใจหรอกครับ ตอนนี้ผมกับพ่อกลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแม่ได้อีกแน่นอนครับ”

ฉินเป่ยพูดจบ ฉินฮั่นก็พูดต่อ “ที่รัก ฟังที่ฉินเป่ยพูดเถอะนะ เขาเองก็โตแล้ว เขามีเรื่องที่เขาต้องทำ ส่วนเราก็แก่แล้ว ต่อไปก็ไปช่วยลูกดูแลร้านยาเถอะ”

ตู้เหม่ยจวนไม่ได้พูดต่อ ตอนนี้ในใจของเธอเริ่มแน่วแน่ ในที่สุดครอบครัวนี้ก็สมบูรณ์

ตอนนี้เองที่โทรศัพท์ของฉินเป่ยดังขึ้น เป็นอวี่เจียวหรงโทรมา

เขาลุกขึ้นและเดินออกไปรับโทรศัพท์ที่ด้านนอก

“ฉินเป่ย ตอนนี้คุณมาได้หรือเปล่า? ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยค่ะ”

“ได้สิ”

ฉินเป่ยวางสาย ก่อนจะบอกลาแม่แล้วออกจากบ้านไป

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status