INICIAR SESIÓNหลี่ฉงจื่อกับท่านยายมองหน้ากัน แล้วเดินลงจากรถม้าไปเพื่ออยากรู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น แต่เมื่อไม้เท้าหงส์ของฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านแตะลงพื้น ผู้คนทั้งหมดรวมถึงบุรุษเมื่อครู่ต่างลงจากหลังม้าเดินเข้ามาค้อมกาย
บังเกิดความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมโชย และกลับหวนทวีขึ้นจนใบไม้ปลิว ดอกเหมยท้ายฤดูกาลร่วงหล่นเป็นสายรายล้อมนางและท่านยายเอาไว้ เป็นภาพที่ผู้คนต่าง ๆ ได้เห็นแล้วล้วนตราตรึงใจ และคงจะเกิดคลื่นลมบางอย่างกับราชสำนักโดยเร็ว
ความเงียบงันถูกทำลายเมื่อบุรุษผู้ออกหน้าแทนตระกูลฟ่านเป็นฉินกั๋วกงผู้ที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาท มีสิทธิ์สั่งการประตูเมืองแทนเจ้าเมืองได้เอ่ยขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน ข้าฉินกั๋วกงหวัง-ชิงเย่จะจัดการให้ท่านเอง อย่าได้เป็นกังวล”
ฉินกั๋วกงรีบแนะนำตัวเอง ทั้งโค้งกายอย่างนอบน้อม ทำให้เหล่าทหารผู้มีหน้าที่สกัดการเดินทางเข้าเมืองหลวงของตระกูลฟ่านชะงัก เขาเป็นเพียงลูกน้องปลายแถวเท่านั้น
“มิกล้าลำบากฉินกั๋วกง ข้าไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปี
อีกอย่างป้ายผ่านทางนี้คงใช้ไม่ได้แล้ว รบกวนท่านกั๋วกงคืนให้ให้ ไท่ซางหวงดีหรือไม่ เพราะไท่ซ่างหวงไท่เมิ่งเจ๋อประทานให้ข้าหลังสูญเสียสามีและบุตรชายคนโตไปในสนามรบ” ถ้อยคำนี้ไม่ได้ลบหลู่หรือดูหมิ่นฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งคำ หากแต่ความหมายนั้นคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน ฉินกั๋วกงที่ผ่านร้อนหนาวมาเพียงไม่ถึงสามสิบปียังหนาว ๆ ร้อน ๆนายหญิงผู้เฒ่าฟ่านเปล่งเสียงประกายความเมตตาไร้ความเกรี้ยวกราด ยิ่งทำให้ชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาตระกูลฟ่านไม่แปรเปลี่ยน ทั้งวิจารณ์การกระทำที่ไร้มโนธรรมนี้ของทหารหน้าประตูเข้าเมืองหลวง พลันบังเกิดผู้ประท้วงกลุ่มใหญ่ขึ้นทันที
“ไร้ยางอายนัก ตระกูลฟ่านสละชีวิตปกป้องแคว้นหนานอัน
ทุกรุ่น แค่กลับบ้านเกิดอย่างฉางซายังไม่ให้ผ่านทาง เห็นชีวิตตระกูลฟ่านเป็นสิ่งใดกัน อดีตฮ่องเต้ถึงขั้นประทานป้ายผ่านทางและไม้เท้าหงส์ เกียรติยศนี้พวกเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำกระมัง”เสียงชาวบ้านที่รู้สึกถึงความไร้มโนธรรมนี้ ที่ปฏิบัติต่อตระกูลฟ่านกล้าพูดขึ้นหนึ่งคำ แล้วก็พากันพูดไปคนละคำสองคำ
ฉินกั๋วกงเห็นไม่ได้การ มีคนต้องการยุแยงให้ตระกูลฟ่านกับฝ่าบาทเป็นปรปักษ์กัน ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านยืนหลับตาอย่างสงบ
แม้มีทหารตระกูลฟ่านที่เคยต่อสู้อยู่สนามรบเบื้องหลัง แต่กลับ ไม่ขยับแม้เพียงก้าวเดียว ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านช่างเป็นสตรีใจเย็นนัก หากเป็นเขายังยอมรับความอัปยศนี้ไม่ได้ทหารเมื่อรั้งคลื่นลมของชาวบ้านไว้ไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอชาวบ้านที่ได้ยินว่าตระกูลฟ่านกลับเมืองหลวง ต่างพากันมายืนรอรับที่หน้าประตูด้านหลังอีกหลายร้อยคน เมื่อได้รับรู้และยิ่งเห็นความไม่เป็นธรรมต่อตระกูลฟ่านก็พากันยืนด่าทอทั้งสองฝั่ง
จนฉินกั๋วกงต้องเข้ามาระงับเหตุ“หยุด!” เสียงเหี้ยมสั่งคำเดียวก้องกังวาน ทำให้เหล่าชาวบ้านที่กำลังเรียกร้องเงียบปากทันควัน ฉินกั๋วกงจึงก้าวเข้าไปด้านหน้าแล้วจัดการเรื่องหน้าประตูเสีย
“ทหาร นำทหารที่ขัดขวางการเข้าเมืองหลวงของฮูหยิน
ผู้เฒ่าฟ่านไปตัดหัว ข้อหาขัดขวางวีรชนสกุลฟ่านกลับมาตุภูมิ”“ทะ...ท่านกั๋วกง...ไว้ชีวิตด้วย...ข้าเพียงรับคำสั่ง”
“หึ...ผู้ใดสั่งการกัน!” ฉินกั๋วกงถามถึงคนกล้าตายผู้นั้น
แต่เมื่อถามกลับไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก เช่นนั้นฉินกั๋วกงจึงยิ้มร้ายให้หนึ่งสาย
“ไม่ตอบไม่เป็นไร อย่างไรเจ้าก็ตายอยู่ดี ไม่ข้าสั่ง คนที่สั่งการเจ้าก็จัดการ จะยืดเวลาหายใจไปทำไม”
ทหารสองคนทรุดลงกับพื้นร่ำไห้แทบขาดใจตาย เขายังมีภรรยาและลูกสาวที่น่ารักกำลังเติบโตอย่างดี หากเขาตาย
ขึ้นมาแล้วผู้ใดจะดูแลพวกนางฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านเดินใช้ไม้เท้าค้ำยันดัง ก๊อก ก๊อก ไปถึงด้านหน้าจากนั้นพูดด้วยความเมตตา “ท่านกั๋วกงละเว้นโทษพวกเขาสักครั้งเถิด ข้าเพียงกลับมาเมืองหลวงที่เป็นบ้านเกิดเท่านั้น
อย่าให้มีผู้ใดต้องบาดเจ็บล้มตาย”จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่า ชาวบ้านแทบจะก้มคำนับด้วยความเคารพถึงความใจดีมีเมตตาต่อชาวประชา แต่ในสนามรบเหี่ยมโหดเลือดเย็นยิ่ง
หลี่ฉงจื่อคิดว่าตัวเองสุขุมแล้ว แต่ยังไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของท่านยายเลยด้วยซ้ำ นางอยากจะเอ่ยปากสักคำกลับถูกท่านยาย
ตบที่หลังมือเบา ๆ สถาณการณ์กลับคลี่คลาย จากฝั่งที่โดนเหยียดหยามกลับเป็นคนที่ถูกสรรเสริญ พี่น้องทหารด้านหลังฟังคำสั่งท่านยายอย่างดี ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยหรือหยิบอาวุธมาทวงความเป็นธรรม เห็นได้ชัดว่าถูกอบรมมาอย่างดี นางเชื่อแล้วว่าตระกูลฟ่านคือนักรบเลือดเย็น และรอโอกาสที่เหมาะสมกำจัดศัตรูเพียงพริบตาและบางครั้งก็ไม่ต้องเปลืองเลือดเนื้อ
“ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยโง่เขลา แต่นั่นเป็นคำสั่งเจ้านายไม่ทำไม่ได้” เสียงทหารหลั่งน้ำตาลงมา ทำให้ผู้คนอยากรู้นักว่าตระกูลใดที่กล้าเป็นปรปักษ์กับตระกูลฟ่าน
“เอาเถอะ ข้าไม่ถือสาหาความ” ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านบอกด้วยกระแสเสียงแห่งความปรานี หากเป็นเมื่อก่อนชายผู้นี้อ้าปากเพียงคำเดียว ก็อาจจะไม่มีโอกาสหายใจอีกแล้ว
“ตระกูลหลิว...เป็นตระกูลหลิวขอรับ...ฮื้อ...ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยข้ากับภรรยาและลูกสาวด้วย หากว่า...”
สวี่หรงเจินมองสีหน้าทหารผู้นี้อย่างพิจารณา เดิมก็น่าสงสารไม่น้อย ทั้งยังมีภรรยากับลูกสาวอีกด้วย หากเขาตายไปคงไม่พ้นถูกขายเข้าหอคณิกา ชะตาชีวิตคงไม่มีวันลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้
“เอาเถอะเห็นแก่เจ้ารู้สำนึก ข้าจะให้พ่อบ้านรับตัวพวกเขามาที่ตระกูลฟ่าน” ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือสะบัด คนที่ยืนรออยู่หลังประตูวัยห้าสิบคนหนึ่งก็พยักหน้าไปจัดการทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านเดินผ่านประตูเข้าไปพร้อมกับหลานสาว ทำให้หลายคนเจ็บปวดใจ หลี่ฉงจื่อยิ้มในใจ แค่ท่านยายกลับมาบ้านที่เมืองหลวงก็ประสบเคราะห์ขนาดนี้ ทำให้ได้ใจคนประชาชนไปได้ ครั้งนี้เกราะปกป้องตระกูลฟ่านเบื้องหลังยังมีเหล่าชาวบ้าน
“ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเดินไปอีกเลยขอรับ เชิญขึ้นรถม้าเถิด ท่านตรากตรำทำศึกมายาวนานแล้ว...” ชาวบ้านผู้หนึ่งพูดทั้งน้ำตา ครั้งหนึ่งเขาเคยต้องอยู่ท่านกลางสนามรบ จำได้ดีว่าฮูหยินฟ่าน
ในตอนนั้นฉวยเขาขึ้นม้าพาออกไปยังที่ปลอดภัย และให้คนดูแลให้ดีสวี่หรงเจินยิ้มให้พร้อมกล่าว “ข้าย่อมจงรักภักดี ในเมื่อ
ฝ่าบาทมีคำสั่งผ่านตระกูลหลิว มิให้รถม้าของข้าเข้าไปด้านใน เดินสักหน่อยไม่เป็นไร”ชื่อเสียงตระกูลหลิวป่นปี้เพียงแค่ลมปากทันที หลายคนยืนปาดน้ำตา คนที่ภักดีเช่นนี้จะหาได้จากที่ไหน ฝ่าบาทช่างหูหนาว
ตาบอดเชื่อคนชั่วอย่างใต้เท้าหลิวได้อย่างไรฉินกั่วกงฟังคำก็ตระกูลหลิว สองคำก็ตระกูลหลิว เห็นได้ชัดว่าแท้จริงผู้ที่ชาวบ้านอยากประณามคือฝ่าบาท แต่ไม่กล้าเอ่ยนามด้วยกลัวความผิด แต่เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากสักคำ กลับมีขันทีข้างวรกายฝ่าบาทรีบร้อนวิ่งมาจนถึงด้านหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า ไม่รอขบวนขันทีน้อยด้านหลังเลยสักนิด
“ระ...ราช...ฮึบ...ราชโองการ!!! ตระกูลฟ่านรับราชโองการ” เสียงหอบของหลัวกงกงทำให้ฉินกั๋วกงถอนหายใจ แต่คิดว่าน่าจะทำให้ชื่อเสียงฝ่าบาทคลี่คลายแล้วกระมัง
เหล่าตระกูลฟ่านทั้งหมดรวมถึงทหารหมื่นนายที่ถือธงรบตระกูลฟ่านอยู่ ต่างคุกเข่าตามผู้นำตระกูลเงียบเสียงฟังอย่างสงบ
“ฝ่าบาทมีราชโองการ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านและขบวนเข้าสู่เมืองหลวง หากผู้ใดขัดขืนประหารทิ้งทันทีโดยไม่ต้องสอบสวน หลังจากพักผ่อนสามวันมีบัญชาจากไท่ซ่างหวงไท่เมิ่งเจ๋อจัดงานต้อนรับผู้นำตระกูล ที่สร้างคุณูปการให้กับหนานอันที่พระราชวังฤดูร้อน...จบราชโองการ!!!”
หลัวขันทีเสียงเล็กแหลมแต่กังวานดังไปทั่ว ทำให้คนทั้งหมดเริ่มเข้าใจฝ่าบาทมากขึ้น ฉินกั๋วกงไม่คิดว่ากับอดีตฮ่องเต้
ที่สละราชบัลลังก์ให้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน จะมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับตระกูลฟ่านเช่นนี้ กระทั่งกลับเมืองหลวงยังทราบรวดเร็ว ทั้งที่ฝ่าบาทของเขากลับโดนปิดหูปิดตาเมื่อเขาไม่อยู่‘เจ็บใจนัก!’ แม้ข้างกายฝ่าบาทเขาจะกำจัดคนไม่หวังดีต้องการสืบข่าวไปมาก แต่ยังมีไม่หยุดทั้งส่งเข้ามาเรื่อย ๆ เขาส่งข่าวไปถึงฝ่าบาทตั้งสามวันก่อนที่ตระกูลฟ่านจะถึงประตูเมือง กลับยังมีเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องการให้ราชสำนักปั่นป่วนชัด ๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยไท่ซ่างหวง” สวี่หรงเจิน
กล่าวก่อนจะถูกหลานสาวพยุงขึ้น จากนั้นรับราชโองการสีเหลืองทองส่งให้คนข้างกายรับไปแต่เมื่อนางหันไปยังท่านน้าสามกลับถูกคนของท่านยายเอาฝ้ายอุดหู เอาผ้ามัดปาก คาดว่าคงจะใจร้อนตามเคย จนท่านยาย
ได้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้วท่านน้าสามอะไรก็ดี เสียแต่ที่ใจร้อนวู่วามมากเกินไปหน่อย
ขบวนการเดินทางของสกุลฟ่านล้วนไม่มีใครกล้าขวางจนถึงจวนใหญ่ในเมืองหลวง สองข้างทางประชาชนต่างระลึกถึงท่านแม่ทัพใหญ่ฟ่านในอดีตที่ยอมพลีชีพ เพื่อให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับสบายใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลมาหลายปี จึงพากันเดินตามมาส่งอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อถึงประตูจวนบ่าวรับใช้ที่ดูแลจวนต่างออกมาต้อนรับ พื้นที่อาณาบริเวณตระกูลฟ่านใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่นับ
วังหลวง กินพื้นที่ฝั่งตะวันตกเกือบหมด เพราะที่ดินศักดินาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งยังสะสมผลงานเรื่อยมา รวมทั้งทหารที่บาดเจ็บล้มตายตระกูลฟ่านก็รับภรรยาและลูกเข้าตระกูลมาอยู่ในความคุ้มครองและปลูกเรือนให้ตามสมควร เรียกได้ว่าหมู่บ้านฝั่งตะวันตกทั้งหมดของเมืองหลวง หูฟังเพียงคำสั่งฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านแน่นอนว่าอำนาจแผ่ขยายขนาดนี้ย่อมเป็นที่หวาดระแวงของมังกร นางตัดสินใจคืนตราพยัคฆ์เคลื่อนทัพหลังบ้านเมืองสงบสุขแบบลับ ๆ ให้อดีตฮ่องเต้ไท่เมิ่งเจ๋อ โดยไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน
ขอไปใช้ชีวิตอยู่บ้านนอกอย่างหวายหว๋า เพื่อให้ครอบครัวของ ลูกสาวสงบสุขไร้กังวลจากคลื่นลมในราชสำนักใครจะคิดว่าลูกสาวกลับต้องประสบเคราะห์กรรม หลานสาวต้องตกระกำลำบาก นางจึงส่งจดหมายให้เพียงไท่ซ่างหวงผู้เดียว เพื่อดูท่าทีว่ามีผู้ใดบ้างที่กล้ากับตระกูลฟ่าน และตระกูลหลิวที่มีอำนาจแต่ไร้สมองผู้นั้นถูกชักจูง เพียงเท่านี้นางและหลานสาวก็วางแผนต่อไปได้ง่ายแล้ว
“ฉงจื่อถึงเรือนของยายแล้วไปพักผ่อนเถิด ยายจะสนทนากับน้าสามของเจ้าสักหน่อย” ท่านยายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่คนตระกูลฟ่านเท่านั้นที่รับรู้ว่าไม้ลงโทษตามกฎตระกูลจะนวดหลังท่านน้าสามแล้ว และนางยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้
“ท่านยายให้ฉงจื่อปรนนิบัติท่านยายเถิด”
สวี่หรงเจินขึงตาใส่หลานรักก่อนจะเชิดหน้าขึ้น น้าหลาน
คู่นี้เจ้าแผนการนัก“หึ...เจ้ารักผู้อื่นมากกว่ายาย”
“โถ...ท่านยายข้าย่อมรักท่านยายมากกว่าอยู่แล้ว
ท่านเปรียบดั่งมารดาผู้ให้กำเนิดข้า เลี้ยงดูข้ามากับมือ จะให้รักผู้อื่นได้อย่างไร ท่านน้าสามข้ารักเพียงข้อนิ้วเดียวของที่รักท่านยายเท่านั้น” หลี่ฉงจื่อพูดอย่างประจบ ทั้งหันไปขยิบตาให้กับท่านน้าจนหนังตาเกือบกระตุก“อะ...อ้อท่านแม่ ข้าจะไปส่งฉินกั๋วกงเองขอรับ อุตส่าห์นำทางมาถึงตระกูล หากไม่ได้ฉินกั๋วกงพวกเราเดินทางจะราบรื่นได้อย่างไร”
ฟ่านเทียนเทียนรีบวิ่งออกไป ทั้งรั้งฉินกั๋วกงให้เดินเร็ว ๆ กระทั่งร่ำลามารดาก็ไม่จำเป็น ทำให้มารดาอย่างสวี่หรงเจินต้องส่ายหน้า อย่างระอาใจกับน้าหลานคู่นี้
ฉินกั๋วกงเมื่อถูกบุตรชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลฟ่านลากมาส่ง ก็พลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาเห็นนางขยิบตาให้ท่านน้าของนาง จากนั้นเขาก็ถูกลากออกมาทันที เห็นได้ชัดว่านางเล่ห์เหลี่ยมมากนัก ยังจะให้เขาเป็นห่วงนางได้อีกหรือ
“คารวะฉินกั๋วกงวันนี้ลำบากท่านแล้ว โอกาสหน้าเอาไว้
ข้าจะไปเยี่ยมท่านถึงจวนกั๋วกง ข้าลาล่ะ” ฟ่านเทียนเทียนคารวะลาเขา แต่พอปิดบ้านแล้วก็วิ่งออกไปอีกฝั่ง ทำให้ฉินกั๋วกงยิ่งไม่เข้าใจ เพิ่งมาถึงเมื่อครู่เหตุใดไม่พักผ่อนให้ดีก่อนค่อยออกไปไหนแต่เมื่อจนใจจะกล่าว จึงคิดได้ว่าเอาไว้ค่อยพบกันวันหน้าเพราะยังมีเวลาอีกนานทีเดียว
ในขณะที่ฉินกั๋วกงกำลังจะเดินทางกลับ สวนทางกับ
ท่านเสนาบดีคลังหลี่เหมิ่ง ดวงตาเขาหรี่แคบลงมองไปยังรถม้าตระกูลหลี่ไม่วางตา จนเห็นว่าหลี่เหมิงจอดรถม้าของตนที่หน้าจวนสกุลฟ่าน พร้อมฮูหยินคนใหม่ของเขาที่ลงมาด้วยกัน และยังรวมถึงสตรีที่วัยไม่ห่างจากหลี่ฉงจื่อนักเขายกยิ้มมุกปากอย่างเยือกเย็น ไม่คิดว่าลูกเขยจะมีใจกตัญญูต่อแม่ยายตระกูลฟ่านเพียงนี้ มาถึงตระกูลยังไม่ทันหายใจ
ก็รีบมาเอาอกเอาใจทันที“ช่างน่าสนใจจริง ๆ” เมื่อตอนแรกคิดจะกลับไปแล้ว
เขาจึงวกกลับมาที่หน้าประตูจวนสกุลฟ่านอีกหน และทักทาย ขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท ที่เขาต้องจับตาดูเป็นพิเศษศึกษาจากสำนักศึกษาตระกูลฟ่านมาได้สามเดือน ก่อนจะมีการทดสอบก่อนจะปิดภาคก่อนศึกษา ฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายไท่หยางได้รับเลือกให้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน และเมื่อมีการจับคู่การสอบในครั้งนี้จึงมีสามคนจับคู่ด้วยกัน โดยให้เลือกคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในกลุ่มออกมาแต่ละวิชาที่สอบ ฟ่านฮุ่ยเสียนที่โดนกวดขันให้วิ่งทุกวัน แม้พุงจะยังนำหน้า แต่ทว่าเรื่องวิ่งนั้นเร็วกว่าผู้ใด อีกอย่างที่ความสามารถไร้ผู้ใดเทียบคือยิงธนู จึงได้รับเลือกให้ยิงธนูในแข่งขัน เพราะหมู่บ้านตระกูลฟ่านแต่ละคนเป็นลูกหลานทหาร เรื่องยิงธนูนั้นหากไม่เก่งกาจจริงมีหวังได้แพ้ไม่เป็นท่า และเขามีอาจารย์ดี ก่อนหน้านั้น... “ท่านพ่อข้าได้รับเลือกให้แข่งยิงธนูในการทดสอบก่อนปิดภาคการศึกษา” พูดไปพร้อมกับมีขนมเซาปิ่งไส้ถั่วเหลืองอยู่ในปาก โดยที่มีมารดากำลังจัดเสื้อผ้าของเขาที่เพิ่งอาบน้ำหลังกลับจากสำนักศึกษาให้เรียบร้อย “เห้อ...ใครช่างตาถั่วเลือกเจ้า” ฟ่านเทียนเทียนปวดหัวกับบุตรชายทุกวัน แม้ตอนนี้ในท้องจะมีลูกอีกคน แต่เขาคือบุตรชายคนโต ต้ององอาจเก่งกาจเหมือนท่านปู่และท่านลุง แต่นับวันยิ่งเหมือนเห็
สามปีผ่านไปในแคว้นหนานอันมีจัดให้ตั้งสำนักศึกษาทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่ผู้ที่มีกำลังส่งบุตรหลานได้ศึกษามีเพียงชนชั้นสูงและครอบครัวของเศรษฐีกับขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อปีที่แล้วหลี่ฉงจื่อขอร้องให้ฝ่าบาทจัดให้มีเรียนสำนักศึกษาชั้นต้น เพื่อให้เด็กทุกคนในเมืองหลวงอ่านออกเขียนได้ จะได้ทำการค้าในอนาคต และเมื่อเมืองหลวงมั่นคงแล้ว จึงให้ขยายออกตามหัวเมืองต่าง ๆ ปีนี้ฉิงอวิ๋นถึงอายุที่สามารถเข้าศึกษาได้ แต่ทว่ามารดาอย่างฉงจื่อกลับอยากให้บุตรสาวได้สัมผัสกับชีวิตชาวบ้านทั่วไป ไม่อยากให้เอาแต่สมาคมกับชนชั้นสูงอย่างเดียว จึงได้เกิดสำนึกศึกษาของหมู่บ้านตระกูลฟ่าน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านออกเงินสร้างด้วยตนเอง ให้คนตระกูลฟ่านทั้งหมดรวมถึงบุตรหลานได้เรียนหนังสือ หลายครั้งทหารชั้นเลวเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากครอบครัวที่กู้เงินมาใช้จ่าย จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการชำระหนี้สิน เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เข้ามาเป็นทหารตระกูลฟ่าน เพื่อหาเงินให้ครอบครัว สวี่หรงเจินรับรู้ปัญหานี้มานานแล้ว เมื่อหลานสาวเสนอแนวคิดนี้ขึ้น นางจึงไม่รอช้าที่จะใช้เงินส่วนตัวจัดการทันทีไม่รอให
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นเทศกาลฉงหยาง[1]เป็นวันที่ไท่ซ่าง-หวงจัดงานเลี้ยงที่บ้านพักตากอากาศนอกเมืองหลวง ต้องเดินทางขึ้นไปบนเขา แต่ทว่าเส้นทางถูกบุกเบิกจนสามารถให้รถม้าเดินทางขึ้นไปโดยสะดวก ทำให้ไม่ลำบากนัก แขกในงานแน่นอนว่าต้องเป็นฝ่าบาท ฮองฮา ตระกูลฟ่าน และตระกูลหวัง สองตระกูลซึ่งอยู่ค้ำคู่บัลลังก์มาช้านาน และตอนนี้มีลูกหลานรุ่นต่อไปกันหมดแล้ว ทั้งสกุลฟ่าน และสกุลหวัง องค์ชายใหญ่ไท่หยางอายุเท่ากับฟ่านฮุ่ยเสียน และยังเป็นสหายที่ได้ร่วมเรียนกันอีกด้วย ทั้งหมดนั่งอยู่ในรถม้าสำหรับเด็ก ๆ โดยจำนวนคนที่อยู่ในรถม้านี้มีฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายใหญ่ โดยมีซือมามาซึ่งเป็นมามาในไท่ซ่างหวงดูแลเด็ก ๆ อยู่ในรถม้าด้วยตนเอง “ฮุ่ยเสียน เจ้าฝึกเพลงทวนตระกูลฟ่านถึงไหนแล้ว” องค์ชายน้อยถามสหาย เพราะบิดาจะให้ทดสอบในอีกหนึ่งเดือนก่อนเข้าฤดูหนาว “โธ่...องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พวกเราแค่สี่หนาวจะเก่งกาจได้อย่างไร ยกทวนยังไม่ไหว” ฮุ่ยเสียนในมือถือตระกร้ามันฝรั่งฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ทอดในน้ำมันโรยด้วยเกลือจากท่านแม่ ที่ทำให้เขากินเป็นขนมเอาไว้กินแก้เบื่อระหว่างทางขึ้นเขา โดยไม่ได้
หลังจากได้รับรู้ความยากลำบากของหวงหลิ่วอิน ฟ่านเทียน-เทียนไม่รอช้าที่จะปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของนาง แต่ทว่ากลับโดนนางไล่ทุบ เพราะกว่าจะฟื้นคืนกำลังมาได้นางต้องตุ๋นไก่ดำไปหลายตัว แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับยืนให้นางทุบจนเหนื่อย สุดท้ายนางก็เลิกไปเอง แต่กลับได้รับการกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ ทำให้หวงหลิ่วอินใจอ่อนยอมยกโทษให้ แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับไม่ยอมให้ผ่านคืนวันนั้นไปเฉย ๆ “ข้า...ข้าคิดถึงเจ้าคืนนี้ขอนอนกอดได้หรือไม่” ถ้อยคำแสนซื่อของฟ่านเทียนเทียนทำให้คนอย่างหลิ่วอินที่ไม่เคยใจอ่อนให้บุรุษคนใดยิ้มขัน แต่ทว่านางรู้สึกชอบเขานัก หากไม่ติดว่าเขาอายุมากกว่านางไปนิด แต่ก็ไม่ได้ห่างกันเกินสิบห้าปีก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งไม่ได้ อีกอย่างนางก็อายุเลยวัยยี่สิบปีมานานแล้ว สมควรแต่งงานสักทีแต่นางมีข้อแม้อยู่หนึ่งคำ “ข้าไม่ชอบการบ้านการเรือน ข้าชอบศึกษาสมุนไพร” “ข้าจะสร้างห้องยาให้เจ้าที่สกุลฟ่านใหญ่โตกว่านี้ ทั้งยังเปิดร้านยาให้เจ้าที่หมู่บ้านสกุลฟ่าน” หลิ่วอินใฝ่ฝันมานานแล้ว นางอยากรักษาคนแบบไม่ต้องแอบซ่อน หากเขาเติมเต็มความต้องการนางได้นางก็จะพิจารณาเขา แต่ทว่
“นะ...น้า...น้าสาม!!!” หลี่ฉงจื่อยื่นหน้าอยู่ด้านหลังน้าสามทั้งยังนวดไหล่ให้อย่างเอาใจ ไม่บอกก็รู้ว่านางเองคงถูกจับได้แล้วกระมัง พลันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษไม่เอาไหน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ “ข้ากำลังรออยู่เชียว” ฟ่านเทียนเทียนทำเสียงเคร่งขรึม แต่ทว่าเมื่อฉินกั๋วกงผู้เป็นใหญ่รองจากฝ่าบาทเข้ามา ใบหน้าของเจ้าหลานเขยที่เหลือสองชุ่น[1] ทำให้รู้สึกตัวเององอาจขึ้นอีกสองส่วน “ระ...รอ...หรือว่ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ฟ่านเทียนเทียนเดิมอับอายเกินจะปรึกษาผู้ใด แต่รู้ว่าเจ้าหลานเขยแอบลักลอบเข้ามาพบหลานสาวทุกคืน สุดท้ายเกินจะกล้ำกลืนเก็บเอาไว้ในใจ จึงมาดักรอเพื่อจะถามถึงหลิ่วอินสักคำ “เจ้ากับหลิ่วอินเป็นสหายกันใช่หรือไม่” “ขะ...ขอรับ” ฉินกั๋วกงตอบเสียงตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวบางอย่างเกิดขึ้น “นางเป็นอย่างไรบ้าง...นางไม่สบายหนักหรือไม่” ฟ่านเทียน-เทียนตระหนกกลัวนางจะไม่พบหน้าเขาอีก ครั้งนั้นเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เผลอรุนแรงกับนางไป โธ่เอ้ยท่านน้าแค่คิดถึงนางหรอกหรือ นึกว่าจะไม่อยากแต่งกับนางแล้วเสียอีก ฉินกั๋วกงพลันน
“คุกเข่า!” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านสั่งหลานสาวแต่หลานเขยกลับคุกเข่าแทน “ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านโปรดระงับโทสะก่อน ข้าเป็นคนคิดทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับฉงจื่อเลย” หวังชิงเยว่ไม่คิดว่าแผนการตื้นเขินของตนเองจะล่วงรู้ถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน “ฉินกั๋วกงอย่านึกว่าข้าจะไม่กล้าลงโทษท่าน” “ไม่นึก...ไม่นึกเด็ดขาด ท่านเปรียบเหมือนท่านยายของข้าลงโทษได้เต็มที่ แต่อย่าลงโทษหลี่ฉงจื่อเลยขอรับ นางเพิ่งหายป่วย” สวี่หรงเจินเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของหลานสาวแล้วให้คนไปสืบดู จนได้รู้ว่าเจ้าเด็กไม่รู้จักโตแอบทำเรื่องผิดคุณธรรมกับท่านน้าของตนเอง แม้จะพึงพอใจที่จะหาเรื่องจับบุตรชายแต่งงานเสียที แต่ก็ไม่ได้อยากบังคับสตรีสกุลหวง แต่เรื่องมันเลยเถิดไปไกลเกินนางจะห้ามได้ ‘ทั้งคู่เกินเลยกันแล้ว’ “หึ...ออกไปคุกเข่าข้างหน้าประตู” หลี่ฉงจื่อรู้ว่าท่านยายไม่กล้าลงโทษนางหนัก นางจึงออกไปคุกเข่าหน้าประตูตามที่ท่านยายสั่ง แต่เมื่อออกไปแล้วสวี่หรงเจินกลับก้มลงมากระซิบ “สตรีผู้นั้นเป็นคนเช่นไร” สวี่หรงเจินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน ชื่อเสียงของสตรีในเมืองหลวงย่อมไม่แน่ชั







