LOGINความเจ็บช้ำในอดีตจากครอบครัวสารเลว ถักทอเป็นความอาฆาตจนนางต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อพลิกชะตาตัวเอง แต่บุรุษอีกผู้ที่ไม่ได้อยู่ในผังความแค้นกลับมาสนิทสนมกับนางบทนำ เพื่อให้ตระกูลบิดายอมรับ นางปิดบังเรื่องต่ำช้าที่แสนเจ็บปวดเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เชื่อคำหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าของบิดาและมารดาเลี้ยงแต่งเข้าสกุลหวัง เพื่อความหวังที่จะเป็นคนโปรดปรานดุจดั่งน้องสาวต่างมารดาของนาง ที่แม้นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง กลับกุมหัวใจบิดาของนางเอาไว้ทั้งดวง แต่นางไร้เดียงสาเกินไป กว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นสะพาน ก็ถูกรื้อแล้ว... เมื่อพวกเขาข้ามสะพานอย่างนางไปถึงจุดหมายได้ ก็รื้อสะพานอย่างนางทิ้งทันที ให้ตายอย่างผีไร้ญาติ นางหนีตายอย่างหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่ละเว้นนาง เพื่อเป้าหมายขึ้นเป็นใหญ่ การกำจัดนางเป็นหนทางเดียวของพวกเขา เมื่อรู้ก็คิดหนีเข้าป่าเพื่อเอาชีวิตรอดไปเปิดโปงคนเลวทรามพวกนี้...ขณะนั่งอย่างสั่นกลัวอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จึงทบทวนเรื่องราวทั้งหมด หลี่ฉงจื่อเลือกทางผิด จะเดินกลับก็ไม่เหลือหนทาง ให้ก้าวแล้ว...
View Moreฤดูชุนเทียน [1] เมฆาหมองบางตา เมฆาเคลื่อนคล้อย อากาศหนาวคลายตัว พืชพรรณต่าง ๆ เริ่มผลิดอกแตกกิ่งก้านใบเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นปีนักษัตรใหม่ ดอกเหมยที่เริ่มเบ่งบานตั้งแต่เดือนสิบสองจนถึงเดือนสองยังคงมีให้เห็นหนาตา ทำให้กิจกรรมที่เป็นที่นิยมในแคว้นหนานอัน คือการนั่งชมทิวทัศน์สุดตระการตาของทิวต้นดอกเหมย จิบชา ฟังพิน เดินหมาก ถือเป็นช่วงผ่อนคลายของผู้คนทั่วใต้หล้าแต่ไม่ใช่ ‘หลี่ฉงจื่อ’
เสียงทวนเหล็กที่ทำจากเหล็กนิลชั้นดีกระทบกับไม้พลองของท่านน้า ‘ฟ่านเทียนเทียน’ เกิดเป็นเสียงดังสั่นลั่นกลางเรือนสกุลฟ่านที่หวายหว๋า
“ยะ!” ทวนไม้ของท่านน้าสามกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ จากนั้นฟาดลงกลางหลังของหลี่ฉงจื่อดัง ‘อัก!’ จนทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูการฝึกฝนวิชาต่อสู้ตรงกลางลานบ้านกำมือจิกเข้าหากันแน่นด้วยความอึดอัด
“เอาใหม่!” แม้กายล้มลงกับพื้น แล้วฝืนใช้ทวนหยัดยืนขึ้นอย่างยากเย็น แต่เสียงกลับบอกว่าเอาใหม่ของยายหนูตัวน้อย
วัยเพียงสิบหนาวที่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แกร่งกล้า แววตาดุดัน จิตใจมุ่งมั่น จนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลฟ่านเจ็บปวดใจ“พอก่อน...พักดื่มน้ำค่อยฝึกต่อ” ฮูหยินผู้เฒ่ารัก
หลี่ฉงจื่อมาก เพราะเป็นบุตรีของลูกสาวคนกลางที่ล่วงลับไปอย่างอนาถ เดิมนางไม่รู้คิดว่าบุตรสาวเจ็บป่วยหลังคลอดบุตรและสิ้นชีพลงตอนยายหนูผู้นี้อายุได้เจ็ดหนาวเศษ หลังไว้ทุกข์หนึ่งปี ยายหนู หลี่ฉงจื่อของนางกลับต้องระหกระเหินกลับมาพึ่งพิงตระกูลฟ่าน ซึ่งเป็นตระกูลมารดาอย่างน่าเจ็บใจแรกเริ่มยายหนูเอาแต่นั่งน้ำตาซึมทุกวัน นางก็เจ็บปวด
ไร้มารดาไม่พอบิดากลับทอดทิ้ง จนเมื่อหลังจากยายหนูป่วยหนักและฟื้นขึ้นอีกครั้ง จึงเล่าทุกอย่างที่มารดานางประสบพบเจอ จากนั้นปรับตัวเปลี่ยนตน จากสตรีที่เอาแต่เก็บเงียบไม่ค่อยพูดจา ยายหนูตัวน้อยนักสู้ก็ลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อรอเวลากลับไปล้างแค้น‘ท่านยายท่านเชื่อฉงจื่อหรือไม่’ เสียงเด็กน้อยสะอึกสะอื้นปานขาดใจตาย พลันน้ำตาหญิงชราเช่นนางหลั่งริน ในอกรู้สึก
บีบคั้นจนแทบไม่อยากหายใจ“เหตุใดไม่เชื่อ...ยายย่อมต้องเชื่อเจ้า”
หลังจากรับรู้ว่าบิดาของนางบังคับให้ลูกสาวของตนผูกคอตาย รับผิดแทนคนชั่วช้าสามานย์ เพื่อให้คดีปิดอย่างเงียบเชียบ จากนั้นส่งข่าวมาหลังจากฝังศพไปแล้ว บอกว่าลูกสาวของตนป่วยตาย เดิมอยากขึ้นไปเยี่ยม แต่ในจดหมายมีข้อความระบุชัดเจนว่าไม่อยากให้ไป นางเป็นแม่ทนเจ็บปวดใจไม่ไหวจนล้มป่วย ยิ่งเมื่อ
รู้ว่าชายสารเลวที่เป็นลูกเขย จากที่เคยรับปากลูกสาวว่าจะดูแล หลี่ฉงจื่ออย่างดีกลับตระบัดสัตย์ ส่งนางมาอยู่บ้านนอกที่หวายหว๋า ตระกูลเดิมที่หลบหลีกความวุ่นวายในเมืองหลวง หลังบ้านเมืองสงบสุข ตระกูลขุนศึกที่ออกรบกันตั้งแต่อายุไม่ถึงเจ็ดหนาว ทุกคนหญิงชายล้วนต้องออกต่อสู้ ตระกูลฟ่านในเมืองหลวงเหลือเพียงพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ดูแล ห้าปีจะกลับมาตระกูลสักครั้ง แต่กลับได้รับความไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ ยากนักที่จะวางใจสงบยายหนูหลี่ฉงจื่อบอกว่านางฝันเห็นอนาคตทุกวัน และทุกครั้งที่ทดสอบเรื่องต่าง ๆ เป็นจริงดังคาดการณ์ เมื่อทดสอบดูแล้วเป็นจริงสิบในสิบครั้ง ‘สวี่หรงเจิน’ เสาหลักของตระกูลฟ่านอย่างนางกรีดเลือดสาบานต่อฟ้า หากเถียนเอ๋อร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ชาตินี้ไม่ขอตายตาหลับ!
“ต่อให้สวรรค์ให้ข้าตาย แต่ข้าจะอยู่เพื่อทวงแค้น!”
ครั้งนั้นนักรบสกุลฟ่านที่เหลืออยู่ทั้งหมดร่วมสาบาน
ไปกับฮูหยินผู้เฒ่า เพื่อจัดการตระกูลหลี่ทวงคืนความยุติธรรม ให้คุณหนูรอง ‘ฟ่านเถียนเถียน’“ท่านยายให้ข้าฝึกอีก ข้าคือลูกหลานนักรบตระกูลฟ่าน ข้าไม่ยอมแพ้” หลี่ฉงจื่อเมื่อรับรู้ความทรมานมาหนึ่งชาติ นางจึงเปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากไร้เดียงสาสู่ความเลือดเย็น เพื่อรอเวลากลับไปแก้แค้น ยามนี้นางสิบหนาว อีกเพียงห้าปีเท่านั้น หนี้แค้นของนางย่อมต้องล้างด้วยเลือด
“โบตั๋นรดน้ำหนเดียวไม่มีทางออกดอกได้ฉันใดคนก็เช่นกัน หมั่นขัดเกลาฝึกปรือไปเรื่อย ๆ สักวันจะพัฒนาขึ้นฉันนั้น”
หลี่ฉงจื่อที่ใจร้อนเกินไปจึงถอนหายใจหนึ่งหน นั่งลงอย่างว่าง่ายให้มามารินน้ำชาให้ดื่มหนึ่งถ้วย ชาหลงจิ่ง[2] ที่มีต้นกำเนิดจากบ้านเดิมของท่านยาย กลิ่นหอมหวานทำให้นางรู้สึกสดชื่นหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเคียดแค้นของท่านน้าสาม นางกลับยิ่งเจ็บปวดใจ ความเจ็บแค้นจากการถูกทรมาน
ให้ตายทั้งเป็น ในบ้านสามีที่มักมากในกามสุดแสนจะกล้ำกลืนแต่นั่นคือความจริงที่นางไม่อาจหลีกหนีในชาติก่อน
“ข้าอยากจะขี่ม้าไปจัดการเจ้าสุนัขหลี่เหมิงที่ฉางซาเร็ว ๆ เสียจริง” บ้านเดิมของตระกูลฟ่านแน่นอนว่าอยู่ฉางซาเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง ภายหลังบิดาสละชีวิตในสนามรบ พี่ใหญ่สละชีวิตให้เขาอยู่สืบทอดตระกูล ทำให้เขาและท่านแม่เสียใจอยู่นาน เกียรติยศของตระกูลฟ่านครานั้นทั่วใต้หล้าต่างสรรเสริญ แม้ตำหนักอ๋อง
ยังต้องยอมคารวะมารดาของเขา ฟ่านเถียนเถียนสู้ตายกลับมา แต่นางกลับหลงรักคนไม่รู้จักพออย่างหลี่เหมิง ที่เพิ่งรับราชการในกรมขุนนางเป็นเพียงขุนขั้นเจ็ด ที่มีหน้าที่เสมียนจดบันทึกเท่านั้นแต่เพราะวาสนาของหลี่เหมิงที่ได้รักกับตระกูลที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของคนในตระกูลฟ่าน เพื่อให้แคว้นหนานอันสงบสุข ฝ่าบาทเกรงใจอยู่หลายส่วนจึงเลือกพระราชทานสมรสให้
พี่หญิงของเขา ครานั้นเขาร้องไห้ปานขาดใจยามส่งพี่หญิงขึ้นเกี้ยว แต่ใครจะคิดว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน เพราะท่านแม่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบในที่ดินศักดินาที่หวายหว๋า เขาจึงเดินทางกลับมาด้วยหลังจากยายหนูป่วยเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วมาเล่าเรื่องทั้งหมด แถมยังสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ เขาแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว หากท่านแม่ไม่ห้ามเอาไว้ ป่านนี้เขาคงเป็นอดีตแม่ทัพ
ที่ฆ่าขุนนางคนโปรดของฝ่าบาทอย่างเลือดเย็น และโดนประหาร ไปแล้วตอนแต่งออกพี่หญิงถือได้ว่ามีสินเดิมมากกว่าใครในเมืองหลวง แต่กลับบ้านกระทั่งเศษอีแปะติดตัวให้หลานสาวกลับมายัง
ไม่มี ทุกวันต้องกินแป้งย่างกับคนบังคับม้า รอนแรมนานกว่ากึ่งเดือนจนถึงที่หวายหว๋าอย่างปลอดภัย เขาจึงตกรางวัลคนขับรถม้า ที่ยังคิดถึงเกียรติยศของตระกูลฟ่าน ไม่ทิ้งเด็กน้อยคนนี้กลางทาง หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลหลี่อย่าได้หวังว่าจะอยู่อย่างสงบสุขตลอดชีวิต เขาอยากให้หลี่เหมิงได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทุกขณะที่เขาจะใช้มีดค่อย ๆ แล่เนื้อของมัน แล้วโยนให้สุนัขป่ากินทีละชิ้นอย่างเลือดเย็น“ลืมแล้วรึ บิดาเจ้าสั่งสอนว่าอย่างไร เย็นให้พอรอให้เป็น เจ้าลืมสิ้นแล้วรึ!” สวี่หรงเจินสั่งสอนผู้เป็นลูกชาย ลูกชายคนสุดท้องของนางเดิมใจร้อนมุทะลุ หากไม่ได้พี่ใหญ่ของเขาสละชีวิต คาดว่าตอนนี้คงได้ไปอยู่ปรโลกแล้ว
ฟ่านเทียนเทียนลุกขึ้นค้อมกายคำนับก่อนกล่าว “ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้อง ลูกวู่วามเอง จะจดจำที่ท่านแม่สั่งสอนอย่างดี”
“เอาเถอะยายหนูจื่อไปพักก่อน ฝึกวิชาจะรีบร้อนไม่ได้
มีเวลาอีกห้าปีเพียงพอให้เจ้าเก่งกาจ วรยุทธตระกูลฟ่านย่อมเป็นเจ้าได้สืบทอดทั้งหมด”ปกติตระกูลฟ่านไม่สอนวรยุทธทุกอย่างให้ทุกคน ให้แต่
ละคนเลือกว่าชอบวิชาใดจึงถ่ายทอด เป็นคำสั่งสามีก่อนตาย นางจำใส่ใจเอาไว้เพราะไม่อยากให้ลูก ๆ ถือดีเป็นคนเก่งกาจ อยากให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนย่อมมีคนเหนือกว่าแต่ตอนนี้นางขอละเมิดคำสั่งสามี ถ่ายทอดวิชาให้เจ้าสามจนหมดสิ้นหลังรู้ความจริง เพื่อสั่งสอนหลานเพียงคนเดียวอย่าง
หลี่ฉงจื่อ หวังคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวหลี่ฉงจื่อมองผ้าปักรูปท่านแม่ที่นางได้รับการสั่งสอนจากท่านยาย นางจดจำใบหน้าท่านแม่ได้แม่นยำ แล้วค่อย ๆ ปักเกือบหนึ่งปี ทุกฝีเข็มทำอย่างประณีตหนักแน่นเป็นระเบียบสวยงาม
นางเลือกแขวนเอาไว้ในห้อง มีกระถางธูปจุดบูชาทุกวัน ดอกไม้วันนี้นางเก็บมาเป็นกิ่งเหมยงดงามอ่อนช้อย เหมาะกับความงามของท่านแม่ที่สุดท่านแม่แม้ไม่ได้ออกรบหลังจากแต่งงาน นางก็จำความได้ว่าไม่มีสตรีใดเทียบเคียงท่านแม่ของนางได้สักคนเดียว นางยิ้มให้ท่านแม่ก่อนเอ่ย “ท่านแม่ ลูกตั้งใจเก็บดอกเหมยมาให้ท่าน ฤดูนี้หากได้นั่งจิบชา ชมดอกไม้ มีท่านแม่ดีดพินไพเราะ ข้าจะมีความสุขเพียงใดกันนะ”
ท่านแม่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ยามรบกล้าหาญเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม ยามเป็นฮูหยินอ่อนหวานนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลง บุรุษใดได้ยลโฉมย่อมก้าวขาไม่ออก พวกนี้เป็นคำที่บิดานางเอ่ยชม นางฟังแล้วคิดได้ว่าไม่เกินจริง และคู่ควรกับมารดาของนางยิ่ง
ใครจะคิดหลังใช้มารดานางเป็นสะพานไต่เต้าถึงตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง บิดาที่เคยซื่อสัตย์ต่อท่านแม่ก็รื้อสะพานทิ้งทันที เมื่อฮ่องเต้สอบทุจริต และเขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าเกลือที่
ไม่ผ่านทางการ เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เขาใช้ชื่อเสียงมารดาของนางแลกพร้อมชีวิตและหลักฐานปลอม ส่วนพยานหลักฐานจริงก็ถูกกำจัดสิ้น ปล่อยข่าวฮูหยินป่วยตาย การค้าในมือของฮูหยินถูกเปลี่ยนมือทันที นั่นทำให้เขาพ้นผิดไปด้วยบิดาบัดซบ!
หลายปีต่อมาเมื่อเขาสร้างฐานอำนาจใหม่ ถึงกับให้นางแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหวัง แต่ใครจะคิดทั้งหมดเป็นแผนการของพวกเขาหญิงโฉด ชายชั่ว น้องสาวสารเลว ถีบนางสู่นรกอเวจีที่ยากจะปีนขึ้น และเหมือนเดิมยกเอาเกียรติยศตระกูลฟ่านขึ้นมาเพื่อการใหญ่ แต่นางล่วงรู้ก่อนจึงคิดกำจัด...
ลูกกตัญญู...เหอะ! ข้าขำได้หรือไม่!
บิดามันเถอะ...ข้าจะเป็นเพียงคุณหนูใหญ่หลี่ หาใช่ลูกสาวโง่เขลากตัญญู จนหน้ามืดตามัวตายไร้ดินกลบหน้าอีกต่อไปแล้ว...
อีกห้าปีเจอข้า ‘หลี่ฉงจื่อ’
[1] ชุนเทียน: ฤดูใบให้ผลิหนึ่งปีของจีนเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ โดยมีเทศกาลตรุษจีนหรือชุนเจี๋ย ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ในเดือนเดียวกันยังมีเทศกาลสำคัญอีกอย่างคือเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลโคมไฟในวันขึ้นขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย โดยแบ่งเป็น 6 ช่วง
[2] ชางหลงจิ่ง สุดยอดชาที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,200 ปี ถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่บ้านหลงจิ่ง เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนคุณสมบัติโดดเด่นของชาหลงจิ่ง คือ สีเขียวมรกต กลิ่นหอมหวานสดชื่น ลักษณะใบชาคล้ายลิ้นนกกระจอก ทั้งนี้ยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโน และวิตามิน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการสร้างของเหลวในร่างกาย ดับกระหาย ย่อยอาหาร ลดคอลเลสเตอรอล และล้างสารพิษ
ศึกษาจากสำนักศึกษาตระกูลฟ่านมาได้สามเดือน ก่อนจะมีการทดสอบก่อนจะปิดภาคก่อนศึกษา ฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายไท่หยางได้รับเลือกให้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน และเมื่อมีการจับคู่การสอบในครั้งนี้จึงมีสามคนจับคู่ด้วยกัน โดยให้เลือกคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในกลุ่มออกมาแต่ละวิชาที่สอบ ฟ่านฮุ่ยเสียนที่โดนกวดขันให้วิ่งทุกวัน แม้พุงจะยังนำหน้า แต่ทว่าเรื่องวิ่งนั้นเร็วกว่าผู้ใด อีกอย่างที่ความสามารถไร้ผู้ใดเทียบคือยิงธนู จึงได้รับเลือกให้ยิงธนูในแข่งขัน เพราะหมู่บ้านตระกูลฟ่านแต่ละคนเป็นลูกหลานทหาร เรื่องยิงธนูนั้นหากไม่เก่งกาจจริงมีหวังได้แพ้ไม่เป็นท่า และเขามีอาจารย์ดี ก่อนหน้านั้น... “ท่านพ่อข้าได้รับเลือกให้แข่งยิงธนูในการทดสอบก่อนปิดภาคการศึกษา” พูดไปพร้อมกับมีขนมเซาปิ่งไส้ถั่วเหลืองอยู่ในปาก โดยที่มีมารดากำลังจัดเสื้อผ้าของเขาที่เพิ่งอาบน้ำหลังกลับจากสำนักศึกษาให้เรียบร้อย “เห้อ...ใครช่างตาถั่วเลือกเจ้า” ฟ่านเทียนเทียนปวดหัวกับบุตรชายทุกวัน แม้ตอนนี้ในท้องจะมีลูกอีกคน แต่เขาคือบุตรชายคนโต ต้ององอาจเก่งกาจเหมือนท่านปู่และท่านลุง แต่นับวันยิ่งเหมือนเห็
สามปีผ่านไปในแคว้นหนานอันมีจัดให้ตั้งสำนักศึกษาทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่ผู้ที่มีกำลังส่งบุตรหลานได้ศึกษามีเพียงชนชั้นสูงและครอบครัวของเศรษฐีกับขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อปีที่แล้วหลี่ฉงจื่อขอร้องให้ฝ่าบาทจัดให้มีเรียนสำนักศึกษาชั้นต้น เพื่อให้เด็กทุกคนในเมืองหลวงอ่านออกเขียนได้ จะได้ทำการค้าในอนาคต และเมื่อเมืองหลวงมั่นคงแล้ว จึงให้ขยายออกตามหัวเมืองต่าง ๆ ปีนี้ฉิงอวิ๋นถึงอายุที่สามารถเข้าศึกษาได้ แต่ทว่ามารดาอย่างฉงจื่อกลับอยากให้บุตรสาวได้สัมผัสกับชีวิตชาวบ้านทั่วไป ไม่อยากให้เอาแต่สมาคมกับชนชั้นสูงอย่างเดียว จึงได้เกิดสำนึกศึกษาของหมู่บ้านตระกูลฟ่าน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านออกเงินสร้างด้วยตนเอง ให้คนตระกูลฟ่านทั้งหมดรวมถึงบุตรหลานได้เรียนหนังสือ หลายครั้งทหารชั้นเลวเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากครอบครัวที่กู้เงินมาใช้จ่าย จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการชำระหนี้สิน เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เข้ามาเป็นทหารตระกูลฟ่าน เพื่อหาเงินให้ครอบครัว สวี่หรงเจินรับรู้ปัญหานี้มานานแล้ว เมื่อหลานสาวเสนอแนวคิดนี้ขึ้น นางจึงไม่รอช้าที่จะใช้เงินส่วนตัวจัดการทันทีไม่รอให
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นเทศกาลฉงหยาง[1]เป็นวันที่ไท่ซ่าง-หวงจัดงานเลี้ยงที่บ้านพักตากอากาศนอกเมืองหลวง ต้องเดินทางขึ้นไปบนเขา แต่ทว่าเส้นทางถูกบุกเบิกจนสามารถให้รถม้าเดินทางขึ้นไปโดยสะดวก ทำให้ไม่ลำบากนัก แขกในงานแน่นอนว่าต้องเป็นฝ่าบาท ฮองฮา ตระกูลฟ่าน และตระกูลหวัง สองตระกูลซึ่งอยู่ค้ำคู่บัลลังก์มาช้านาน และตอนนี้มีลูกหลานรุ่นต่อไปกันหมดแล้ว ทั้งสกุลฟ่าน และสกุลหวัง องค์ชายใหญ่ไท่หยางอายุเท่ากับฟ่านฮุ่ยเสียน และยังเป็นสหายที่ได้ร่วมเรียนกันอีกด้วย ทั้งหมดนั่งอยู่ในรถม้าสำหรับเด็ก ๆ โดยจำนวนคนที่อยู่ในรถม้านี้มีฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายใหญ่ โดยมีซือมามาซึ่งเป็นมามาในไท่ซ่างหวงดูแลเด็ก ๆ อยู่ในรถม้าด้วยตนเอง “ฮุ่ยเสียน เจ้าฝึกเพลงทวนตระกูลฟ่านถึงไหนแล้ว” องค์ชายน้อยถามสหาย เพราะบิดาจะให้ทดสอบในอีกหนึ่งเดือนก่อนเข้าฤดูหนาว “โธ่...องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พวกเราแค่สี่หนาวจะเก่งกาจได้อย่างไร ยกทวนยังไม่ไหว” ฮุ่ยเสียนในมือถือตระกร้ามันฝรั่งฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ทอดในน้ำมันโรยด้วยเกลือจากท่านแม่ ที่ทำให้เขากินเป็นขนมเอาไว้กินแก้เบื่อระหว่างทางขึ้นเขา โดยไม่ได้
หลังจากได้รับรู้ความยากลำบากของหวงหลิ่วอิน ฟ่านเทียน-เทียนไม่รอช้าที่จะปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของนาง แต่ทว่ากลับโดนนางไล่ทุบ เพราะกว่าจะฟื้นคืนกำลังมาได้นางต้องตุ๋นไก่ดำไปหลายตัว แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับยืนให้นางทุบจนเหนื่อย สุดท้ายนางก็เลิกไปเอง แต่กลับได้รับการกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ ทำให้หวงหลิ่วอินใจอ่อนยอมยกโทษให้ แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับไม่ยอมให้ผ่านคืนวันนั้นไปเฉย ๆ “ข้า...ข้าคิดถึงเจ้าคืนนี้ขอนอนกอดได้หรือไม่” ถ้อยคำแสนซื่อของฟ่านเทียนเทียนทำให้คนอย่างหลิ่วอินที่ไม่เคยใจอ่อนให้บุรุษคนใดยิ้มขัน แต่ทว่านางรู้สึกชอบเขานัก หากไม่ติดว่าเขาอายุมากกว่านางไปนิด แต่ก็ไม่ได้ห่างกันเกินสิบห้าปีก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งไม่ได้ อีกอย่างนางก็อายุเลยวัยยี่สิบปีมานานแล้ว สมควรแต่งงานสักทีแต่นางมีข้อแม้อยู่หนึ่งคำ “ข้าไม่ชอบการบ้านการเรือน ข้าชอบศึกษาสมุนไพร” “ข้าจะสร้างห้องยาให้เจ้าที่สกุลฟ่านใหญ่โตกว่านี้ ทั้งยังเปิดร้านยาให้เจ้าที่หมู่บ้านสกุลฟ่าน” หลิ่วอินใฝ่ฝันมานานแล้ว นางอยากรักษาคนแบบไม่ต้องแอบซ่อน หากเขาเติมเต็มความต้องการนางได้นางก็จะพิจารณาเขา แต่ทว่