INICIAR SESIÓNหลี่ฉงจื่อนอกจากคารวะมารดาผู้ล่วงลับยามตื่น แล้วไปคารวะท่านยายตอนเช้า จากนั้นนางก็เริ่มฝึกวิชาต่อสู้กับท่านน้าสามตลอดครึ่งวัน ตอนบ่ายฝึกวิชาปักผ้าโดยใช้ผ้าคาดตา
ใช้เพียงประสาทสัมผัส โดยมีเหยาเอ๋อคอยจัดด้ายสีสันต่าง ๆ ให้นางแน่นอนว่าไม่เพียงแต่ฝึกเอาไว้ใช้แก้แค้น นางยังฝึกเพื่อให้ประสาทสัมผัสตื่นตัว กระทั่งฝึกให้ปิดตาต่อสู้กับท่านน้าสาม
นางก็ทำ ท่านยายบอกว่านี่คือเคล็ดลับของตระกูลฟ่าน ไม่ว่ามืดหรือสว่างต่อสู้กับคู่ต่อสู้ได้แม่นยำกว่าใคร จนสุดท้ายนางสำเร็จวิชาของตระกูลฟ่านทุกแขนงจนเวลาล่วงเลยมาถึงฤดูใบไม้ผลิในปีที่อายุครบสิบห้าหนาว นางที่ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจัดงานปักปิ่นด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อบิดาสารเลวของนางที่อยู่เมืองหลวงสักนิด
“หลี่ฉงจื่อเติบโตแล้ว ขอให้หลานสาวยายประสบความสำเร็จทุกเรื่อง สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว” ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้หวีผมและปักปิ่นด้วยตนเอง ไม่ให้มามาช่วยเหลือ ยามปักปิ่นไปน้ำตาสีใสก็เอ่อคลอในดวงตา เห็นเป็นใบหน้าของลูกสาวทับซ้อน
ในใบหน้าของยายหนูฉงจื่อ“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย ฉงจื่อจะจดจำคำสอนท่านยายอย่างดี” หลี่ฉงจื่อใช้ชีวิตผิดพลาดมาหนึ่งชาติ ชาตินี้ขอกตัญญูแค่ตระกูลฟ่านเท่านั้น หลังจากนี้อีกไม่นานจดหมายของบิดาก็จะถูก
ส่งมา เมื่อนั้นนางจึงจะจัดการอย่างรอบคอบและใจเย็นเสนาบดีคลังผู้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่จิตใจต่ำช้ายิ่งกว่าสุนัขขี้เรื้อน นางจะกระชากหน้ากากของคนผู้นี้ออกมาเอง...
วันนี้เป็นวันหลังปีใหม่หนึ่งวัน หลี่ฉงจื่อกับเหยาเอ๋อออกมาดูร้านค้าต่าง ๆ เพื่อซื้อของกลับไปบ้าน และจะได้ตระเตรียมการเดินทางกลับสู่เมืองหลวง แน่นอนว่าจดหมายของบิดากับนางย่อมต้องคลาดกัน ในคราวนี้ไม่ใช่นางเหมือนชาติก่อนที่จะไปกลับเพียง
ผู้เดียว แต่เป็นทั้งตระกูลฟ่านจะกลับไปทวงคืนเกียรติยศของตระกูลคืน หลังสูญเสียไปมากแล้วขณะเดินเล่นอยู่ในตลาดริมทะเลสาบต้าถัง ในบรรยากาศที่รู้สึกเย็นเล็กน้อย เสื้อคลุมสีน้ำเงินถูกวางทับบนไหล่เล็กของคุณหนูหลี่ฉงจื่อ ทำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์แสนตระการตารู้สึกตัวอีกครั้ง
“เหยาเอ๋อร์เป็นเจ้าหรอกรึ” หลี่ฉงจื่อที่กำลังคิดถึงแววตา
คู่หนึ่งในชาติก่อน บุรุษผู้นั้นมองนางด้วยสายตาเรียบเฉยตั้งแต่วันที่นางแต่งงานเข้าสกุลหวัง แต่ทว่านางไม่เคยทักทายพูดคุยและรู้เรื่องของเขาน้อยมาก รู้เพียงว่าเขาคือฉินกั๋วกง แต่ใบหน้าของเขานางเริ่มลืมเลือนไปแล้ว จำได้เพียงดวงตาแข็งกร้าวดุดันน่าเกรงขามคู่นั้น...เพราะในความทรงจำไม่ว่ายามหลับหรือตื่นก็จะมีดวงตา
คู่นี้อยู่เสมอ“คิดอันใดอยู่หรือเจ้าคะคุณหนู”
“คิดถึงคนผู้หนึ่งที่เลือนลางในความทรงจำ”
เหยาเอ๋อร์ยามปกติไม่เคยเห็นคุณหนูเหม่อนัก หากไม่ใช่เพราะคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่วันนี้กลับนึกถึงดวงตาบุรุษทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
เดิมคุณหนูหลี่ฉงจื่อไม่สมาคมกับคนด้านนอก หลายปีที่หวายหว๋าปกปิดตัวตน มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าคุณหนูคือหลี่ฉงจื่อ
รู้เพียงเป็นสตรีในห้องหอ แต่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากเปิดตัวหลานสาว ให้นางอยู่เหมือนไร้ตัวตนไปสักหน่อย เพื่อแผนการ ในอนาคตแต่วันนี้กลับได้ยินคุณหนูกล่าวว่า ‘คิดถึงคนผู้หนึ่ง’
“ในฝันหรือเจ้าคะ” เหยาเอ๋อถามต่อ ทั้งชื่นชอบคุณหนูเล่าเรื่องความฝันให้นางฟัง ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นไหม แต่ว่าทุกครั้งมันจะเป็นจริง ดังนั้นนางย่อมเชื่อทุกอย่างที่คุณหนูกล่าว
“เขาคือฉินกั๋วกง กั๋วกงอายุน้อยที่สุด เติบโตเคียงข้าฝ่าบาท ถูกเลี้ยงโดยอดีตฮองเฮา เป็นญาติห่าง ๆ และความสามารถมากล้น” ทั้งยังเป็นญาติของสามีนางในอดีตอีกด้วย
แววตาของเขาเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งพันปี ยามมองมายังนางในครานั้น ที่ร่วมรับประทานอาหารในเครือญาติของสามี ทำให้นางขนลุกชัน มือที่ถือตะเกียบสั่นเทา และไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่อสารสิ่งใดกับนางผ่านสายตากันแน่
เมื่อรู้เรื่องสามี นางเคยคิดถึงเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจหนีเข้าป่าแทน เพราะไม่ไว้ใจและไม่สนิทสนมกัน และนั่นเป็นผลให้นางตายอย่างอนาถ
ใบหน้าสวยหวานไม่แพ้มารดาของหลี่ฉงจื่อเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่ง กังวลใจเล็ก ๆ ว่าจะทำให้เหยาเอ๋อร์สงสัยซักถามไปเรื่อยจนนางตอบไม่ได้ แต่เหมือนนางจะเจอตอเข้าแล้ว เมื่อคนที่อยู่
ตรงข้ามมองมาที่นางด้วยเช่นกัน และดวงตาคู่คมนั้นนางจำได้แม่นยำ‘ฉินกั๋วกง!’
หลี่ฉงจื่อถึงขั้นขยี้ตาอีกครั้ง เมื่อนางคิดถึงเขาเพียงครู่หนึ่ง กลับได้เห็นเขาปรากฏกายเบื้องหน้าของนางเลยอย่างนั้นหรือ ความคิดถึงของนางไม่น่าจะดึงดูดเขาได้ขนาดนี้ คงเพราะบังเอิญ
มาทำงานให้ฝ่าบาทกระมังเมื่อจ้องมองเขาไม่วางตา แต่อีกฝ่ายกลับจ้องกลับราวกับรู้จักกันมาหนึ่งชาติภพ แต่ว่านางไม่เคยสนทนากับเขาเลย ไม่รู้ว่าครั้งนี้เหตุใดเขาถึงมองนาง ยิ่งนางสู้สายตาเขากลับกระตุกยิ้ม ทำให้นางชาวาบไปทั้งแผ่นหลังแล้ว เท่านั้นไม่พอเขาลุกขึ้นคลับคล้ายกับจะเดินมาทางนี้
“เหยาเอ๋อร์...กลับกันเถิด สั่งของให้ส่งที่จวนก็พอ” ตลอดทางที่นางเดินมาก็สั่งของต่าง ๆ เอาไว้ แล้วขากลับเพียงเดินบอกเหล่าพ่อค้าให้ส่งที่ตระกูลฟ่านก็ใช้ได้แล้ว แต่ว่า...
“คารวะแม่นางน้อย” เสียงนุ่มนวลแฝงเร้นด้วยความหมายอื่น ทำให้โย่วเฉิงคนสนิทฉินกั๋วกงขนลุก
เดิมฉินกั๋วกงรักษากิริยามั่นไม่เคยทักทายสตรีใดก่อน
ครั้งนี้มาสืบคดีทุจริตเงินปลอม แต่มีส่วนกับการค้าเกลือผิดกฎหมายในอดีต เหตุใดถึงได้เดินมาดักหน้าสตรี ราวกับแม่นางน้อยท่านนี้เป็นผู้ต้องหาคดีเงินปลอมที่ระบาดทางตะวันตก สร้างความเสียหายให้กับราชสำนักมากมายนัก“คุณชาย...คุณหนูบ้านเรายังไม่ออกเรือน ท่านทำเช่นนี้เหมาะสมรึเจ้าคะ” เหยาเอ๋อร์เห็นคุณชายใบหน้าหล่อเหลาก็จริง แต่กิริยาหยาบคายนัก คิดมาดักหน้าดักหลังเช่นนี้ คนทั่วไปเห็นเข้าจะนินทาเอาได้ นางได้รับหน้าที่ให้ดูแลคุณหนูย่อมต้องปกป้องสุดกำลัง
“ขออภัย ข้าเห็นแม่นางคล้ายคนคุ้นเคยในอดีตของข้าเท่านั้น”
‘คุ้นเคย!’
ไม่ใช่กระมัง นางเคยเป็นคนคุ้นเคยของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สาบานให้ฟ้าผ่าไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันนางยังไม่เคยสนทนากับเขาสักครึ่งคำ อ้อไม่สิชาตินี้นางเพิ่งพบเขาครั้งแรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอดีต เอาสิ่งใดมายืนยันว่าคุ้นเคย เขาคงจำคนผิดแล้วกระมัง
“ขออภัยคุณชายคงจำคนผิดแล้ว” หลี่ฉงจื่อยิ้มบางก่อนหลีกไปอีกฝั่ง แต่เสื้อผ้าของนางสัมผัสชุดสีครามของเขา ทำให้นางราวกับถูกดูดเข้าหา ขานางก้าวไม่เป็นจังหวะสะดุดกันเองเสียแล้ว ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำเรื่องขายหน้า แต่แล้ว...
มือขวาของเขาเอื้อมเข้ามาช้อนเอวนางไว้ไม่ให้หกล้ม
“พบบุรุษรูปงามขาก้าวไม่ออกกระมัง”ดวงตาหลี่ฉงจื่อเบิกกว้าง แก้มใสค่อย ๆ พองลมด้วย
ความโกรธ ใบหน้าสวยเนียนเด้งบัดนี้แดงเรื่อราวกับชาดทางปาก นางมองหน้าเขาราวกับเป็นศัตรูทันทีนางผลักเขาออก จากนั้นยืนเท้าเอวชี้หน้าด่าเขาสักคำ “ท่านบุรุษเลวทราม ต่อว่าสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร”
เขาคิดว่านางเป็นพวกล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ[1] เรียกบุรุษให้สนใจราวกับสตรีนางโลมในหอคณิกา นางไม่ใช่คนไร้ยางอายถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ตระกูลฟ่านมีเกียรติแค่ไหนเขาคงไม่รู้กระมัง
“ขออภัย...ข้ามันพวกปากตรงกับใจ” ฉินกั๋วกงกล่าวแล้วคลี่พัดสะบัดหันหน้าเชิดเดินออกไป ทิ้งให้โยว่เฉิงและเหอเฟิง
คนสนิททั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก เท่านั้นไม่พอยังทิ้งท้ายคำพูดไว้อีก“ข้ารอคอยแทบไม่ไหว จึงมาวันนี้...”
‘นั่นเขาพูดกับนางรึ!’ เขาจดจำคนผิดกระมัง จะรอคอยนางเพื่ออะไร นางไม่ได้รู้จักเขาเสียหน่อย แต่ช่างเถอะเขาไม่ได้อยู่ในแผนการแก้แค้นของนาง ต่อให้เขาจะหล่อเหลาบาดใจนางเพียงใด นางก็หาได้สนใจไม่
‘ชาตินี้ยอมตาย หากไม่ได้ลากคนเหล่านั้นไปลงนรก’
เมื่อกลับถึงบ้านพบว่าท่านยายได้ให้คนเตรียมจัดของลงหีบ เพราะอีกห้าวันจะเดินทางแล้ว เตรียมการแต่เนิ่น ๆ ย่อมไม่ทำให้เหน็ดเหนื่อยเกินไป การกลับไปครั้งนี้ย่อมกลับอย่างยิ่งใหญ่ และ
ทำให้สกุลหลี่ไม่ทันได้ตั้งตัว“ท่านยายเจ้าคะ” หลี่ฉงจื่อเดินเข้าไปหาท่านยายด้วยท่าทางเบิกบานใจ วันนี้ไปชมทิวทัศน์จนเต็มอิ่ม หวายหว๋าหาก
ไม่นับว่าเป็นบ้านนอก ก็นับว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศร่มรื่นดีทีเดียว นางอยู่ที่นี่หากไม่มีความแค้นที่เมืองหลวงก็สุขสงบดี เอาไว้จัดการเรื่องที่เมืองหลวงแล้ว นางจะกลับมาอีกครั้ง“ยายหนูฉงจื่อ เตรียมตัวแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ เรียบร้อยแล้ว”
“ไปพักเถอะ อีกไม่กี่วันก็เดินทางแล้ว เมื่อใกล้ถึงเมืองหลวงค่อยส่งคนไปแจ้งข่าว” แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านกลับเมืองหลวงในรอบสิบห้าปี ผู้คนเท่าไหร่กันที่รอคอยการกลับมาครั้งนี้
เมื่อถึงวันเดินทางตระกูลฟ่านเหลือคนดูแลตระกูลเพียง
ห้าคนและทหารอยู่ร้อยนาย เพราะกองทัพตระกูลฟ่านหลังจาก ไม่ต้องออกรบ ส่วนหนึ่งก็ลาออกมาติดตามฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน แต่ก็ยังคงฝึกปรือฝีมืออยู่เป็นประจำ ทหารราวหมื่นนายที่ร่วมขบวนย่อมทำให้เมืองหลวงตกอกตกใจ แน่นอนว่าธงตระกูลฟ่านถูกนำขึ้นมาโบกสะบัดอีกครั้ง ตลอดทางชาวบ้านที่รู้ต่างคารวะฮูหยิน ผู้เฒ่ากันไปตลอด ทั้งหยิบของเท่าที่ตัวเองพอตอบแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวเผือก ผักกาด และหัวมันมามอบให้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รับอย่างนอบน้อม ทำให้ประชาชนทั่วไปยิ่งศรัทธา ตระกูลนักรบกล้าหาญทำเพื่อปวงประชาสงบสุข เรียกได้ว่าไม่ว่านานเพียงใด เกียรติยศตระกูลฟ่านก็ยังคงอยู่“ท่านยายกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ชาวบ้านเลื่อมใสมากเลย
เจ้าค่ะ” คิดไม่ถึงว่านางจะได้เห็นคนที่อ่อนน้อมกับท่านยายถึง เพียงนี้ หาได้ยากจริง ๆ และเมื่อเห็นท่านยายอ่อนน้อมต่อพวกเขา ยิ่งน่านับถือ“เมื่อเราทำเพื่อพวกเขา เหตุใดพวกเขาจะไม่เคารพเรา”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านกำไม้เท้าหัวหงส์ที่มีเพียงฮูหยินตระกูลฟ่านเท่านั้นที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ ฝ่าบาทสั่งให้ช่างหลวงทำขึ้นเป็นการเฉพาะ หัวของไม้เท้าหงส์ทำจากทองคำ ด้ามทำจากแก่นไม้พยุงชั้นดีหายากกลางป่าเขาหลิงซาน ตอนที่พระราชทานประชาชนร่วมสรรเสริญแห่ขบวนตั้งแต่หน้าประตูเมืองถึงตระกูลฟ่าน
“ข้าอยากเป็นนักรบเหมือนท่านแม่ ท่านยายเจ้าค่ะ”
หลี่ฉงจื่อพูดด้วยแววตามุ่งมั่น จนฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านต้องลูบหัวรอนแรมมาผ่านเมืองเหลาตี้ เมืองอี้หยาง สุดท้ายจึงถึงเมืองหลวงฉางซาเสียที แต่เมื่อถึงเมืองหลวงกลับผ่านประตูไปไม่ได้
“ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ ทหารหน้าประตูเมืองไม่ให้ผ่านขอรับ”
ทหารคนที่ไปส่งหนังสือผ่านทาง พร้อมป้ายที่ฝ่าบาทประทานให้
ขึ้นเหนือล่องใต้เดินทางราบรื่น สัญลักษณ์นี้ไม่มีใครกล้าขวาง แต่ทหารเมืองหลวงขัดขวางได้เช่นไร“สามหาว!”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งชักม้าเข้ามาเทียบ แต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของน้าสาม กลับเป็นบุรุษที่นางไม่คาดคิด
[1] ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ: สำนวนจีนหมายถึงดึงดูดให้คนสนใจ
ศึกษาจากสำนักศึกษาตระกูลฟ่านมาได้สามเดือน ก่อนจะมีการทดสอบก่อนจะปิดภาคก่อนศึกษา ฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายไท่หยางได้รับเลือกให้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน และเมื่อมีการจับคู่การสอบในครั้งนี้จึงมีสามคนจับคู่ด้วยกัน โดยให้เลือกคนที่เชี่ยวชาญที่สุดในกลุ่มออกมาแต่ละวิชาที่สอบ ฟ่านฮุ่ยเสียนที่โดนกวดขันให้วิ่งทุกวัน แม้พุงจะยังนำหน้า แต่ทว่าเรื่องวิ่งนั้นเร็วกว่าผู้ใด อีกอย่างที่ความสามารถไร้ผู้ใดเทียบคือยิงธนู จึงได้รับเลือกให้ยิงธนูในแข่งขัน เพราะหมู่บ้านตระกูลฟ่านแต่ละคนเป็นลูกหลานทหาร เรื่องยิงธนูนั้นหากไม่เก่งกาจจริงมีหวังได้แพ้ไม่เป็นท่า และเขามีอาจารย์ดี ก่อนหน้านั้น... “ท่านพ่อข้าได้รับเลือกให้แข่งยิงธนูในการทดสอบก่อนปิดภาคการศึกษา” พูดไปพร้อมกับมีขนมเซาปิ่งไส้ถั่วเหลืองอยู่ในปาก โดยที่มีมารดากำลังจัดเสื้อผ้าของเขาที่เพิ่งอาบน้ำหลังกลับจากสำนักศึกษาให้เรียบร้อย “เห้อ...ใครช่างตาถั่วเลือกเจ้า” ฟ่านเทียนเทียนปวดหัวกับบุตรชายทุกวัน แม้ตอนนี้ในท้องจะมีลูกอีกคน แต่เขาคือบุตรชายคนโต ต้ององอาจเก่งกาจเหมือนท่านปู่และท่านลุง แต่นับวันยิ่งเหมือนเห็
สามปีผ่านไปในแคว้นหนานอันมีจัดให้ตั้งสำนักศึกษาทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่ผู้ที่มีกำลังส่งบุตรหลานได้ศึกษามีเพียงชนชั้นสูงและครอบครัวของเศรษฐีกับขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อปีที่แล้วหลี่ฉงจื่อขอร้องให้ฝ่าบาทจัดให้มีเรียนสำนักศึกษาชั้นต้น เพื่อให้เด็กทุกคนในเมืองหลวงอ่านออกเขียนได้ จะได้ทำการค้าในอนาคต และเมื่อเมืองหลวงมั่นคงแล้ว จึงให้ขยายออกตามหัวเมืองต่าง ๆ ปีนี้ฉิงอวิ๋นถึงอายุที่สามารถเข้าศึกษาได้ แต่ทว่ามารดาอย่างฉงจื่อกลับอยากให้บุตรสาวได้สัมผัสกับชีวิตชาวบ้านทั่วไป ไม่อยากให้เอาแต่สมาคมกับชนชั้นสูงอย่างเดียว จึงได้เกิดสำนึกศึกษาของหมู่บ้านตระกูลฟ่าน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านออกเงินสร้างด้วยตนเอง ให้คนตระกูลฟ่านทั้งหมดรวมถึงบุตรหลานได้เรียนหนังสือ หลายครั้งทหารชั้นเลวเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากครอบครัวที่กู้เงินมาใช้จ่าย จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการชำระหนี้สิน เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เข้ามาเป็นทหารตระกูลฟ่าน เพื่อหาเงินให้ครอบครัว สวี่หรงเจินรับรู้ปัญหานี้มานานแล้ว เมื่อหลานสาวเสนอแนวคิดนี้ขึ้น นางจึงไม่รอช้าที่จะใช้เงินส่วนตัวจัดการทันทีไม่รอให
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นเทศกาลฉงหยาง[1]เป็นวันที่ไท่ซ่าง-หวงจัดงานเลี้ยงที่บ้านพักตากอากาศนอกเมืองหลวง ต้องเดินทางขึ้นไปบนเขา แต่ทว่าเส้นทางถูกบุกเบิกจนสามารถให้รถม้าเดินทางขึ้นไปโดยสะดวก ทำให้ไม่ลำบากนัก แขกในงานแน่นอนว่าต้องเป็นฝ่าบาท ฮองฮา ตระกูลฟ่าน และตระกูลหวัง สองตระกูลซึ่งอยู่ค้ำคู่บัลลังก์มาช้านาน และตอนนี้มีลูกหลานรุ่นต่อไปกันหมดแล้ว ทั้งสกุลฟ่าน และสกุลหวัง องค์ชายใหญ่ไท่หยางอายุเท่ากับฟ่านฮุ่ยเสียน และยังเป็นสหายที่ได้ร่วมเรียนกันอีกด้วย ทั้งหมดนั่งอยู่ในรถม้าสำหรับเด็ก ๆ โดยจำนวนคนที่อยู่ในรถม้านี้มีฟ่านฮุ่ยเสียน หวังฉิงอวิ๋น และองค์ชายใหญ่ โดยมีซือมามาซึ่งเป็นมามาในไท่ซ่างหวงดูแลเด็ก ๆ อยู่ในรถม้าด้วยตนเอง “ฮุ่ยเสียน เจ้าฝึกเพลงทวนตระกูลฟ่านถึงไหนแล้ว” องค์ชายน้อยถามสหาย เพราะบิดาจะให้ทดสอบในอีกหนึ่งเดือนก่อนเข้าฤดูหนาว “โธ่...องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พวกเราแค่สี่หนาวจะเก่งกาจได้อย่างไร ยกทวนยังไม่ไหว” ฮุ่ยเสียนในมือถือตระกร้ามันฝรั่งฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ทอดในน้ำมันโรยด้วยเกลือจากท่านแม่ ที่ทำให้เขากินเป็นขนมเอาไว้กินแก้เบื่อระหว่างทางขึ้นเขา โดยไม่ได้
หลังจากได้รับรู้ความยากลำบากของหวงหลิ่วอิน ฟ่านเทียน-เทียนไม่รอช้าที่จะปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของนาง แต่ทว่ากลับโดนนางไล่ทุบ เพราะกว่าจะฟื้นคืนกำลังมาได้นางต้องตุ๋นไก่ดำไปหลายตัว แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับยืนให้นางทุบจนเหนื่อย สุดท้ายนางก็เลิกไปเอง แต่กลับได้รับการกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ ทำให้หวงหลิ่วอินใจอ่อนยอมยกโทษให้ แต่ฟ่านเทียนเทียนกลับไม่ยอมให้ผ่านคืนวันนั้นไปเฉย ๆ “ข้า...ข้าคิดถึงเจ้าคืนนี้ขอนอนกอดได้หรือไม่” ถ้อยคำแสนซื่อของฟ่านเทียนเทียนทำให้คนอย่างหลิ่วอินที่ไม่เคยใจอ่อนให้บุรุษคนใดยิ้มขัน แต่ทว่านางรู้สึกชอบเขานัก หากไม่ติดว่าเขาอายุมากกว่านางไปนิด แต่ก็ไม่ได้ห่างกันเกินสิบห้าปีก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งไม่ได้ อีกอย่างนางก็อายุเลยวัยยี่สิบปีมานานแล้ว สมควรแต่งงานสักทีแต่นางมีข้อแม้อยู่หนึ่งคำ “ข้าไม่ชอบการบ้านการเรือน ข้าชอบศึกษาสมุนไพร” “ข้าจะสร้างห้องยาให้เจ้าที่สกุลฟ่านใหญ่โตกว่านี้ ทั้งยังเปิดร้านยาให้เจ้าที่หมู่บ้านสกุลฟ่าน” หลิ่วอินใฝ่ฝันมานานแล้ว นางอยากรักษาคนแบบไม่ต้องแอบซ่อน หากเขาเติมเต็มความต้องการนางได้นางก็จะพิจารณาเขา แต่ทว่
“นะ...น้า...น้าสาม!!!” หลี่ฉงจื่อยื่นหน้าอยู่ด้านหลังน้าสามทั้งยังนวดไหล่ให้อย่างเอาใจ ไม่บอกก็รู้ว่านางเองคงถูกจับได้แล้วกระมัง พลันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษไม่เอาไหน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ “ข้ากำลังรออยู่เชียว” ฟ่านเทียนเทียนทำเสียงเคร่งขรึม แต่ทว่าเมื่อฉินกั๋วกงผู้เป็นใหญ่รองจากฝ่าบาทเข้ามา ใบหน้าของเจ้าหลานเขยที่เหลือสองชุ่น[1] ทำให้รู้สึกตัวเององอาจขึ้นอีกสองส่วน “ระ...รอ...หรือว่ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ฟ่านเทียนเทียนเดิมอับอายเกินจะปรึกษาผู้ใด แต่รู้ว่าเจ้าหลานเขยแอบลักลอบเข้ามาพบหลานสาวทุกคืน สุดท้ายเกินจะกล้ำกลืนเก็บเอาไว้ในใจ จึงมาดักรอเพื่อจะถามถึงหลิ่วอินสักคำ “เจ้ากับหลิ่วอินเป็นสหายกันใช่หรือไม่” “ขะ...ขอรับ” ฉินกั๋วกงตอบเสียงตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวบางอย่างเกิดขึ้น “นางเป็นอย่างไรบ้าง...นางไม่สบายหนักหรือไม่” ฟ่านเทียน-เทียนตระหนกกลัวนางจะไม่พบหน้าเขาอีก ครั้งนั้นเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เผลอรุนแรงกับนางไป โธ่เอ้ยท่านน้าแค่คิดถึงนางหรอกหรือ นึกว่าจะไม่อยากแต่งกับนางแล้วเสียอีก ฉินกั๋วกงพลันน
“คุกเข่า!” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านสั่งหลานสาวแต่หลานเขยกลับคุกเข่าแทน “ฮูหยินผู้เฒ่าฟ่านโปรดระงับโทสะก่อน ข้าเป็นคนคิดทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับฉงจื่อเลย” หวังชิงเยว่ไม่คิดว่าแผนการตื้นเขินของตนเองจะล่วงรู้ถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าฟ่าน “ฉินกั๋วกงอย่านึกว่าข้าจะไม่กล้าลงโทษท่าน” “ไม่นึก...ไม่นึกเด็ดขาด ท่านเปรียบเหมือนท่านยายของข้าลงโทษได้เต็มที่ แต่อย่าลงโทษหลี่ฉงจื่อเลยขอรับ นางเพิ่งหายป่วย” สวี่หรงเจินเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของหลานสาวแล้วให้คนไปสืบดู จนได้รู้ว่าเจ้าเด็กไม่รู้จักโตแอบทำเรื่องผิดคุณธรรมกับท่านน้าของตนเอง แม้จะพึงพอใจที่จะหาเรื่องจับบุตรชายแต่งงานเสียที แต่ก็ไม่ได้อยากบังคับสตรีสกุลหวง แต่เรื่องมันเลยเถิดไปไกลเกินนางจะห้ามได้ ‘ทั้งคู่เกินเลยกันแล้ว’ “หึ...ออกไปคุกเข่าข้างหน้าประตู” หลี่ฉงจื่อรู้ว่าท่านยายไม่กล้าลงโทษนางหนัก นางจึงออกไปคุกเข่าหน้าประตูตามที่ท่านยายสั่ง แต่เมื่อออกไปแล้วสวี่หรงเจินกลับก้มลงมากระซิบ “สตรีผู้นั้นเป็นคนเช่นไร” สวี่หรงเจินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน ชื่อเสียงของสตรีในเมืองหลวงย่อมไม่แน่ชั







