“ขอบคุณที่มาให้กำลังใจอริสานะคะ... โอลิมปิกเกมส์ปีนี้ไม่ได้เหรียญทอง ขอโทษทุกคนจริง ๆ ยังไงจะฝึกซ้อมให้หนักกว่านี้ค่ะ”
“พยายามเข้านะครับ... คุณอริสา” เสียงจากกองเชียร์ปะปนกันไป ประมาณสิบกว่าคนได้ เธอต้อนรับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จับมือในแบบชาวตะวันตกอย่างเท่าเทียม พยายามที่จะจดจำใบหน้าของพวกเขาไว้ในความทรงจำ ทั้งชายหญิงวัยรุ่น ชายร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ กับคุณพ่อคุณแม่ เธอยกมือลูบศีรษะเบา ๆ
“เป็นเด็กดีนะเรา... มาดูกีฬากับพ่อแม่สนุกไหมคะ?”
“สนุกค่ะ หนูชอบดูพี่ ๆ แข่งกีฬา” เด็กสาวยิ้มตอบ ขณะจับจูงมือสองหนุ่มสาว หนึ่งในแฟนคลับของเธอที่ถ้าหากว่าไม่เป็นแฟนพันธุ์แท้จริง ๆ คงไม่พาเด็กสี่ขวบมาดูกีฬายิงปืนแน่
เมื่อเสียงประกาศดังว่าแมตช์ต่อไปกำลังจะเริ่ม หลายคนก็กลับไปยังที่นั่งอัฒจันทร์ของตน หนุ่มวัยห้าสิบ โค้ชส่วนตัวเข้ามาตบบ่าเบา ๆ
“เอ้า... ไม่เป็นไรนะ อริส” หนุ่มใหญ่เปรยยิ้มแล้วจากไป ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากนั้น แปลว่าเขาอาจจะต้องคัดสรรนักกีฬาใหม่ในปีหน้า
หญิงสาวเดินดุ่ม ๆ ไปหยิบกระเป๋าในล็อกเกอร์ของห้องนักกีฬา เสื้อกันหนาวอย่างหน้าสวมทับไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วก้มหน้าก้มตาเดินไม่สนใจใคร ซ่อนความผิดหวังทั้งหมดไว้บนสีหน้าเรียบเฉย ราวตุ๊กตาไร้ชีวิต...
หากเธอแพ้... จะต้องหมั้นกับผู้ชายที่แม่ชอบ ทั้งที่แม่ไม่ได้อยู่กับเธออีกแล้ว
‘เตกับอริส ลูกชายลูกสาวของแม่... แต่งตัวเป็นคู่บ่าวสาวตัวน้อย เหมือนพระเอกนางเอกตอนเด็ก ๆ น่ารักจริง ๆ แม่ชอบมากเลยจ๊ะ’
คำพูดนั้นยังดังก้องในหัวสมอง มันติดตามไปจนเกิดความเจ็บปวดมากเสียจนต้องรีบออกไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้
เธอไม่อยากเจอหน้าพ่อ...
พ่อที่น่ารักของเธอเหมือนตายไปพร้อมแม่ แม้ว่าพ่อจะยังตามใจเธอเพราะกลัวว่าเธอจะไม่กลับบ้าน ซึ่งเธอคงทำมันแน่ ในเมื่อพ่อชอบพูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา คือเรื่องในวันวานของเด็กสาวตัวน้อยที่คงไม่ได้คิดอะไรกับการขอแต่งงานเด็กชายเตชิน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่งงานมันคืออะไร กระทั่งว่าตอนนี้ก็อยากจะใช้ชีวิตแบบหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี
ทว่าในฐานะนักกีฬา และนักเรียนทุนก็ยากหน่อย
แชมป์โลกรุ่นเยาวชนสองปีซ้อนตอนอายุสิบเจ็ดปี พอเปลี่ยนมาแข่งกับรุ่นใหญ่เธอไม่เคยได้เหรียญทองอีกเลย...
หิมะโปรยปรายลงมาท่ามกลางอากาศหนาวจัดองศาติดลบสิบองศาในฤดูหนาว ใกล้เคียงกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองซูริคซึ่งเธอกำลังจะจบการศึกษาปริญญาโทด้านสัตวศาสตร์
ด้วยเงินทุนของรัฐบาล เธอคงจะต้องกลับไปใช้หนี้ด้วยการทำงานในองค์การปศุสัตว์หรือที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อไม่นานมานี้พ่อได้นำเงินไปโปะหนี้ทั้งหมด ยื่นคำขาดให้เธอกลับไปทำงานที่ฟาร์ม...
และก็คงจะหลบหน้าป้าขวัญกับนายเตชินไม่พ้น...
แต่เล็ก ๆ มาเธอและพี่ชายเพื่อนบ้านคนนี้สนิทสนมกันมาก ถึงขั้นว่าทางผู้ใหญ่อยากให้หมั้นหมายกันไว้ เป็นแม่ของเธอที่บอกว่าขอให้เด็ก ๆ ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเลือกใครเป็นคู่ครอง ในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่
ในวันนั้นเธอจึงร้องไห้เป็นใหญ่โต เพราะอยากแต่งงานกับพี่เต แต่แล้วในที่สุดเธอกลับต้องขอบคุณแม่ เมื่อต่างคนได้ลืมเลือนเรื่องนี้ไปตามกาลเวลา ประกอบกับว่าบ้านของตระกูล ‘สิงหวัฒน์’ ย้ายถิ่นฐานกลับไปอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนกลับมาอยู่เขาใหญ่อีกครั้ง
พอได้กลับมาคบหาสมาคมตามประสาเพื่อนบ้าน... พ่อก็คงจะคิดถึงแม่ก็แค่นั้น
ทำไมจะต้องเอาความรู้สึกของตัวเองมาลงที่เธอล่ะ? ทำไมเธอจะต้องหมั้นกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ แม่ตายไปแล้ว... แม่ไม่ได้อยู่กับเธออีกแล้ว...
ความเศร้าหมองกัดกินจิตใจราวหิมะอันเหน็บหนาวที่กำลังกัดเซาะมือทั้งสองจนต้องซุกมันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีดำ ผ่านท้องถนนที่มีผู้คนเดินประปราย อริสาไม่ได้ตรงกลับที่พักแต่หยุดปลายเท้าลงหน้าร้านสะดวกซื้อ มีตู้ขายของด้วยระบบหยอดเหรียญ มีอัดลมและผลไม้ ขนมห่อเล็ก รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์... แทบจะมีทุกยี่ห้อ
ดวงตาคู่สวยสั่นไหวระริกมองกระป๋องหลากสีสัน ความขุ่นเคืองใจที่สั่งสมมานานทำให้เธอไม่ต้องคิดอะไรมาก มือหยอดเหรียญลงช่อง เสียงก๊องแก๊งดัง สองกระป๋องหล่นลงมาแล้วก็ไม่รอช้า แต่เป็นเพราะความหนาวสั่นของมือที่เพิ่งควักออกมาจากกระเป๋า กระป๋องเบียร์สีทองตัวอักษรแปลกตาหล่นตุ้บ!
มันกลิ้งหมุนไปกับพื้นสีขาวละลานตา เกือบจะชนเข้ากับรองเท้าเป็นเงามันของชายแปลกหน้า ขณะที่เขาเพียงโน้มตัวลงหยิบมันกลับขึ้นมาส่งให้เธอ
“อ้าว... คุณ?”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นมองเจ้าของร่างสูงในเสื้อโค้ทตัวใหญ่ เมื่อสักครู่เธอเห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มแฟนคลับ
“กินเบียร์แก้หนาวเป็นความคิดที่ดี แต่ใส่ถุงมือดีกว่าครับ ที่นี่หนาว...” ไอเย็นลอยวนอยู่ยามพูดพ่นลมหายใจ บนวงหน้าคร้ามคมมีผ้าพันคอปกปิดอยู่ถึงช่วงแก้มสาก ถึงเห็นหน้าของเขาเพียงครึ่ง
นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลพร่างพราวราวมีเพชรฝังอยู่ข้างใน... พาดวงตาคู่สวยประกายแวววาวปะติดอยู่บนนั้น
ให้ตายสิ! ผู้ชายคนนี้ตาสวยมาก
และเป็นเพราะว่าเธอยังยืนนิ่งอึ้งมองเขาโดยไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มรั้งกระป๋องเบียร์กลับไปดึงฝา ฟองเบียร์พุ่งออกมาตามแรงอัดของมันที่กระแทกพื้นเมื่อสักครู่ จนเธอต้องรีบรับมาดื่มอย่างรวดเร็ว ชายแปลกหน้ายังใจดีถอดถุงมือส่งให้
“อย่าทานเยอะนะครับ เบียร์ที่นี่แรง เดี๋ยวจะเมา”
เสียงทุ้มนุ่มละมุนหูของเขาดึงสติของเธอกลับมา อริสาไม่ปฏิเสธน้ำใจเขาสักอย่างรับถุงมือมาแบบหน้าด้าน ๆ ด้วยอีกต่างหาก
“เอ่อ... ขอบคุณนะคะ แล้วคุณไม่หนาวเหรอ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีถุงมืออีกคู่ในรถ ปีหน้าลงแข่งอีกนะ ผมจะมาเชียร์คุณอริสา”
“ค่ะ ฉันจะไปแข่งแน่ ๆ” ในน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ขณะที่ชายหนุ่มแย้มยิ้มอยู่บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย
“ขอบคุณค่ะ คุณ..?” แล้วเลิกคิ้วขึ้นถามเจ้าของวงหน้าคร้ามคม มือของเธอสั่นเทาเพราะความหนาวแต่กลับรู้สึกดี กับทั้งถุงมือและเบียร์เกาหลียี่ห้อหนึ่ง ในสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความชื่นชม
“แฟนคลับครับ... อริสาแฟนคลับ”
“ลูก...?” เป็นคำถามแรกของอริสา ที่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดในวินาทีที่เธอไม่ควรพรวดพราดออกไปหาอันตรายอย่างนั้น ไอศูรย์พยักหน้าเบา ๆ พาความปลื้มปิติขึ้นในหัวใจ เรี่ยวแรงของเธอตอนนี้ทำได้แค่ยกมือข้างที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือขึ้นสะกิดบ่าแกร่ง แม้ว่าอยากกอดเขาแน่น ๆ สักแค่ไหน “ฉันขอโทษ... พี่... เป็นห่วงฉันมากเลยใช่ไหม?” “ไม่เป็นไร... เราไม่เป็นไรพี่ก็ดีใจแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเกรอะคราบน้ำตาผละออกมองดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ เบียดตัวนั่งลงข้างเตียง กุมมือน้อยไว้แผ่วเบา ไม่ให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้สักนิดกับรอยเข็มบนนั้น “ไม่เป็นไรทำไมตาแดงคะ? กินข้าวหรือยัง ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?” เสียงพร่าของคนป่วยตัดพ้อ อริสาสัมผัสได้ถึงมืออันอบอุ่นของชายทั้งสอง ไม่ลืมหันไปทางอีกคนที่คงหวาดกลัวไม่ต่าง จากดวงตาแดงก่ำที่พายุความโศกเศร้าได้สงบลงไปสักพัก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูกพ่อ” ใบหน้างามพริ้มระบายยิ้มจาง ๆ “หนูไม่เป็นไร... พ่ออย่าร้องไห้ เวลาพ่อร้องไห้ พ่อจะมองอะไรไม่เห็น...” แล้วเลื่อนสายตาไปทางชายที่ยังคงจ้องหน้าเธออยู่ไม่ห่าง ไม่ได้มองคน
กว่าสิบชั่วโมงที่ผ่านมาเขาไม่ต่างจากคนเสียสติ ในวินาทีที่อุ้มร่างโชกเลือดไปหาอาจารย์ในโรงพยาบาลสัตว์ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มใบหน้าอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยจะร้องไห้ให้ใครได้เท่านี้ แม้แต่ในวันที่แม่จากไป เขาเสียใจแต่ยังคงความเป็นบุรุษที่เข้มแข็งเช่นพ่อ รถพยาบาลที่มาได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ละนาทีช่างยาวนาน ผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาแค่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นไม่รับรู้สิ่งใดแม้เสียงเรียกของเพื่อนที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด เขายังจินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าสวย ๆ ของผู้หญิงคนนี้อีกตลอดไป ชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร กับลูกที่ได้เห็นหน้าเพียงครั้งผ่านจอสีเทาดำ สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักแต่แรกพบเหมือนอริสา... ความหวังอันเบาบาง เด็กที่เกิดจากความรักของเขาและเธอยังรอปาฏิหาริย์ “พี่จะรีบกลับมานะ... เราไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะดูแลตัวเอง...” ในน้ำเสียงและแววตาแสนอ่อนโยน มือหนาค่อยเลื่อนขึ้นปัดไรผมบนขมับอย่างที่เขาชอบทำ ก่อนจะหยัดกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่งมานานนับชั่วโมง มองเปลือกตาที่ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น ก่อนออกจากห้องไป ชายหนุ่มตั้งใจจะตรงกลับบ้าน
“ไหวไหมลุงชา?” ใบหน้าซีดขาวของชายวัยหกสิบขยับเบา ๆ มือกระชับอาวุธในมือไว้เหนือเข่า แม้เลือดโชกชุ่มกาย ตัวต้นเหตุของบาดแผลฉกรรจ์นั้นนอนอยู่ข้าง ๆ ถึงห้าตัว พวกมันสามารถมีน้ำหนักตัวสูงสุดได้ถึงหกสิบสองกิโลกรัม มีอุ้งเท้าอันใหญ่โต แรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันทรงพลังยังออกล่าเป็นฝูง หมาป่าสีเทาเกรวูฟที่กำลังหิวโหยดุร้ายถูกลักลอบมากับรถบรรทุกไม่มีป้ายทะเบียน ไม่ไกลจากฟาร์มของพิภพมากนัก คำขอความช่วยเหลือของพลตำรวจเอกปรีชา ประจวบเหมาะพอดีกับหญิงสาวจะออกไปตามล่าหาเสือโคร่ง ดันได้รางวัลเป็นหมาป่าขย้ำคอคนแก่อยู่กับลูกปืนจากพวกลักลอบค้าของเถื่อน ปัง! ปัง! กระสุนแสกผ่านเหล็กหนา เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำสนิทรุ่นกันกระสุนของท่านนายพลอยู่ในสภาพยับเยิน ผู้หมวดสาวในร่างชายหนุ่มยิงสวนกลับไปเพียงครั้ง ก่อนแนบหลังไว้กับที่กำบัง หันไปถามนายตำรวจใหญ่ “ท่านรองกำลังเสริมใกล้ถึงรึยัง? กระสุนจะหมด...” “อือ... ข้างหน้า...” แรงตอบเฮือกสุดท้ายของพลตำรวจเอกปรีชาที่เอนร่างลงนอนพักไหล่ของหญิงสาว สติพร่าเลือนเต็มที “ลุงชา ๆ !” เรียกเสียงดัง มือเรียวเขย่าบ
มือหนากำหมัดแน่นแม้จะมีแค่รีโมตในมือ แววตาวาวโรจน์สาดประกายไปยังรายการตลก ซึ่งเขาไม่มีอารมณ์จะดูมันเหมือนทุก ๆ วัน “ถ้าแกจะมาตอกย้ำฉันก็ไปเถอะ… ไปไหนก็ไป...” “โธ่… พ่อ… ไอ้เมธพนธ์มันโคตรร้ายเลยนะพ่อ หนูไม่ชอบมัน ทำไมพ่อต้องเป็นแบบนี้ด้วย หนูไม่เข้าใจ” พ่อที่พูดไม่รู้เรื่องยังดีกว่าคุณพ่อเซ็งโลก ทำหูทวนลม อริสาพยายามเซ้าซี้เรื่องเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าคงไม่มีคำตอบจากร่างสูงในสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำด้วยความที่คงนอนคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง จนเธอถึงกับถอนหายใจเสียงดัง ยกมือขึ้นลูบบ่าลูบหลังปลอบประโลม “พ่ออกหักยังไงพ่อยังมีหนู หนูไม่ทิ้งพ่ออยู่แล้ว... พ่อเหนื่อย พ่อหยุดงานไปนะ ดูตลกดูหนัง หนูไปทำป๊อปคอร์นให้” พิภพยิ้มเจื่อน ไม่ได้ดีใจกับคำปลอบของลูกสาวเลย ในที่สุดเขาก็ต้องถาม “อะไรนะ? แกบอกว่าฉันอกหัก?” “ใช่... พ่ออกหักแน่นอน ถ้าพ่อยังนั่งอยู่แบบนี้นะ เอาจริง ๆ ถ้าหนูเป็นพ่อ หนูปล้ำน้องพายไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เสือโหยคาบไป ป่านนี้กินอิ่มท้องไปแล้วมั้ง เอาเถอะ...ไว้หนูแนะนำเพื่อนสาว ๆ สวย ๆ เอ๊าะ ๆ ให้พ่อใหม่ส
“เซ็นแล้ว... ผมมีของขวัญให้พี่สาวคุณด้วยนะ แต่ว่า... มันอยู่ในมือถือ ไม่รู้ว่าอยากดูไหม?” “คุณ... หมายความว่าไง?” ขณิกาหน้าชาวาบ เพียงชายตรงหน้าสลัดคราบเทพบุตรเป็นซาตานร้ายใช่... ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาขณิการู้ว่าถ้าเขาร้าย เขาจะร้ายได้แค่ไหน! “พี่ยักษ์ก็หมายความอย่างที่พูด ของขวัญให้คนรักไอ้พิภพอย่างน้องพาย อืม... แต่พี่ว่านะ มันรักลูกสาวกับเมียเก่าที่สุด ไม่มีเศษซากความรักเหลือเผื่อแผ่ให้ส่วนเกินหรอก” “คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคุณเมฆ อย่าไปยุ่งกับพี่อริสเลย... ที่แล้วมาก็ให้แล้วกันไปเถอะนะ พายขอ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน มือเรียวเอื้อมไปแตะลงบนท่อนแขนแกร่งที่สะบัดออกอย่างไม่ไยดี “อย่ามาแตะต้องตัวผม...” ท่าทางเย็นชาของเขาสั่นคลอนหัวใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากคู่งามเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ยามสบมองวงหน้าหล่อเหลาของคนที่เคยอบอุ่น อ่อนโยนกับเธอมาเสมอ “พี่สาวคุณก็ทำร้ายคนของผมนะอย่าลืม ที่เล่นอะไรแบบเด็ก ๆ น่ะ คุณเมฆไม่ทำ ผมเป็นคนเล่นใหญ่” “คุณเมฆ... คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย... คุยกับพายดี ๆ ได้ไหม
นายหัวฟาร์มม้าดูจะทำตัวหม่นหมองลงทุกวันจนคนรอบกายพลอยเครียดตาม สิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชมขณิกาคือไม่หวั่นไหวไปกับผู้ชายมากคารมอย่างเมธพนธ์ที่ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ยังมีฐานะร่ำรวยกับธุรกิจสีเทาที่จับอยู่ ความเจ้าเล่ห์ของนายเมธพนธ์นับว่าเป็นตัวร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่อีกคนไม่ได้เข้าใจในความหมายของเธอเลย หันกลับไปทางภรรยาที่เสียชีวิตในวัยสามสิบเจ็ดปี “แกไม่รักแม่แกแล้วหรือ? อริส” หญิงสาวสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย และที่ว่าจะไม่พูดก็ไม่น่าไหว... “แม่ตายไปตั้งกี่ปีแล้วพ่อ นี่คือชีวิตของคนเป็น คนที่ต้องเอาใจใส่คือคนที่ยังอยู่ ไม่ใช่คนตาย” หัวใจหนุ่มใหญ่พลันกระตุกวาบกับคำพูดตรง ๆ ของลูกสาว เขาไม่เคยสนใจความสุขนั้นเลย ยังพยายามยัดเยียดความคิดให้ลูกแต่งงานกับเตชิน เพราะเป็นความต้องการของคนตาย... เพราะเขาเป็นฆาตกร... ยังไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของภรรยาได้ ดวงตาคู่คมเอ่อคลอหยดน้ำใสกับทุกความรู้สึกผิดในอดีต เสียงทุ้มสั่นเครือ “มาไหว้แม่ก่อน” หน้าเจดีย์ที่มีกระเบื้องหลากสีใต้ร่มไม้ พ