ดวงตาสวยล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนหนามองผ่านแว่นกันแดดไปตรงหน้า สิ่งที่เห็นนอกตัวรถของเธอก็คือ อาคารกึ่งเหล็กกึ่งไม้สูง 3 ชั้น ก่อสร้างซ่อนตัวอยู่หลังต้นไทรใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาราวกับเป็นเกราะกำบังเหตุภัย
‘JINN Design Studio Co., Ltd.’
ป้ายไม้แกะตัวอักษรแสดงชื่อสถานที่แขวนอยู่บริเวณทางขึ้นอาคารบ่งบอกว่าเธอมาถึงแล้ว จุดหมายที่ใจใฝ่หา การรอคอย 7 ปีที่ผ่านมาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ทุกความพยายามของเธอจะสัมฤทธิ์ผล
ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเป็นกระจับน้อยๆ คลี่ออกอย่างสมใจพลางก้มมองรูปหนุ่มหล่อคมเข้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ นิ้วมือเคลื่อนไปที่ปุ่มกดเตรียมจะโทร. ออก ก่อนจะชะงักนิ้วไว้เพียงเท่านั้นเพราะคิดบางอย่างได้ และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มยิ่งระบายกว้างจนใบหน้าสวยที่มีแว่นกรอบโตปิดอยู่เกือบครึ่งดูกระจ่างใสด้วยความสุข แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเช็กความมั่นใจอีกครั้ง
กระเป๋าเป้สะพายใบเก๋ถูกคว้ามาวางบนหน้าตัก แว่นกันแดดถูกเคลื่อนไปเหน็บอยู่บนศีรษะเพื่อให้กระจกเงาสะท้อนใบหน้าสวยเด่นชัด สำรวจความเนี้ยบของเครื่องหน้าทุกสัดส่วน ไม่มีจุดไหนให้ต้องตำหนิ เพราะเพอร์เฟค! แต่... ปากซีดไป
ลิปสติกสีแดงก่ำถูกแต่งแต้มบนเรียวปากเสริมความอวบอิ่มของกระจับน้อยๆ มือควานหากระปุกปิโตรเลียมเจลขนาดจิ๋ว เปิดและแต้มเจลใสที่ปลายนิ้วเพียงนิด ยิ้มกว้างใส่กระจกก่อนจะถูปลายนิ้วนั้นที่ซี่ฟันด้านหน้าจนทั่ว จากนั้นก็อมปลายนิ้วเอาไว้แล้วค่อยๆ รูดนิ้วออกอย่างแผ่วเบา
‘มนตกานต์ ฤทธาอภินันท์’ ยิ้มให้กับเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง เพื่อสำรวจว่าไม่มีเศษของเนื้อลิปสติกติดอยู่ที่ฟันซี่ไหนให้เธอต้องขายหน้าเวลาแจกรอยยิ้มสะท้านใจชาย และแน่นอนว่าสีแน่นติดทนขนาดนี้ ต่อให้จูบกันสัก 10 ครั้ง สีก็ยังสดชัดเจน
ร่างงามระหงก้าวลงจากรถญี่ปุ่นสีเขียวแปร๋นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เธอซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองเนื่องจากเรียนจบปริญญาตรีคณะสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เพื่อความคล่องตัวยามมาใช้ชีวิตตามลำพังที่กรุงเทพฯ แม้แม่จะไม่เห็นด้วย ทว่าทุกสิ่งที่ทำตั้งแต่เริ่มสาวจนถึงตอนนี้ เธอตั้งใจ แม้จะขัดใจแม่นิดหน่อยแต่แค่พ่อสมยอมก็พอแล้ว และเธอก็ให้คำมั่นกับพ่อว่าเธอจะทำให้ได้
‘สิ่งที่ปรารถนา’ จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ จะคว้ามาแนบใจ ไม่ว่าจะต้องให้เล่ห์กลใด หรือต้องใช้กลเม็ดเด็ดพรายแค่ไหน หากสิ่งนั้นจะทำให้เธอ ‘ได้’ เธอก็พร้อม เพราะสายเลือดแม่ค้าของแม่ที่แล่นพล่านอยู่ในตัวเธอร้องบอก
เมื่อ ‘ลงทุน’ ก็ต้องมีกำไร และการลงทุน 7 ปีเต็มของเธอ กำไรต้องคุ้มค่า
.
.
ภายในห้องประชุมที่สร้างเป็นชั้นลอยกรุกระจกโดยรอบ ‘จิณณ์ จิตติกรณรงค์’ มัณฑนากรหนุ่มหล่อวัย 38 ปี กำลังประชุมโปรเจกต์งานใหม่ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ กับทีมงาน นั่นคือ งานออกแบบและตกแต่งร้านค้าในห้างสรรพสินค้า จำนวน 50 ร้านค้า
“เวลาสี่สิบห้าวัน ต่อห้าสิบร้านค้า ผมว่ามันเฉียดฉิวมากนะครับพี่ ผมยังไม่เห็นสถานที่จริง ไม่กล้ารับปาก เวลาทำงานจริงๆ ถ้าตัดช่วงออกแบบออกไป กว่าจะรอแบบผ่าน ผมว่าเหลือไม่เกินสามสิบวัน ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้พี่จิ๋วช่วยเสนอทางโครงการให้เผื่อเวลาให้เราหน่อย เผื่อไว้เหลือ ดีกว่าไม่ทันนะครับ”
‘ณัฐ’ ดีไซน์เนอร์หนุ่มเซอร์พูดกับจิณณ์ซึ่งเป็นเจ้านายและเป็นเจ้าของบริษัท เจ้านายที่อายุมากกว่าเขาเกือบ 10 ปี แต่จิณณ์กลับหล่อจัดชนิดไม่ว่าจะไปไหนด้วยกัน คนที่เป็นจุดเด่นสุดนั้นก็ไม่พ้นจะเป็นจิณณ์ไปทุกสถานที่
นอกจากคุณสมบัติหล่อมากรวยมากแล้วนั้น จิณณ์ยังเก่งจนทำให้ ‘JINN Design’ ได้รับความไว้วางใจให้ออกแบบและตกแต่งโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ บางครั้งงานเยอะและมีระยะเวลาจำกัด จิณณ์ก็ต้องขออนุญาตไม่รับงาน แต่จะแนะนำบริษัทของเพื่อนๆ ให้
นั่นยิ่งทำให้ณัฐรู้สึกชื่นชมจิณณ์มากขึ้น เพราะจิณณ์ไม่เหมือนบริษัทเก่าของเขาที่เลี้ยงงานไว้กับตัวเพื่อกินหัวคิว ประเภทรับงานมาก่อนและจ่ายต่อให้บริษัทอื่นทำ เพื่อกินค่าคอมมิชชั่น ทั้งที่จิณณ์ก็ทำแบบนั้นได้ โดยที่ลูกค้าไม่รู้ด้วยซ้ำ อาศัยความน่าเชื่อถือที่จิณณ์มี งานก็จะวิ่งชนไม่ขาด แต่จิณณ์ก็ไม่เคยทำ
แต่งานโปรเจกต์นี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะจิณณ์ได้โซนร้านค้าฝั่ง A ส่วนบริษัทคู่อาฆาตของจิณณ์ได้โซนร้านค้าฝั่ง B ทั้งสองฝั่งมีจำนวนร้านค้า 50 ร้านเท่ากัน สินค้าก็คล้ายกัน เพราะโซนร้านค้าจะอยู่บริเวณประตูทางออกจากห้างสรรพสินค้าทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา นั่นทำให้ณัฐต้องคิดหนัก
เพราะถ้าทำได้ทันเวลาและงานออกมาดีเยี่ยม นั่นคือคำชื่นชมจะพรั่งพรู แต่หากงานออกมาด้อยและเสร็จช้ากว่าอีกฝ่าย นั่นจะกลายเป็นตัวชี้วัดว่า ‘JINN Design’ เป็นบริษัทอันดับรองจาก ‘เลิฟลี่ ดีไซน์’
ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย เพราะที่นั่นเป็นบริษัทเก่าที่เขาจากมาและเป็นทั้งกิจการของครอบครัว แต่เขาเลือกที่จะออกมาเรียนรู้งานของบริษัทอื่น เพราะไม่อยากตกอยู่ใต้อาณัติของพี่ชาย เมื่อกินอุดมการณ์คนละอย่าง เขาก็ขอมาเติบโตนอกบ้านจะดีกว่า
คนหล่อที่ยืนอยู่หัวโต๊ะ มือขวากอดอก นิ้วมือซ้ายเกลี่ยริมฝีปากตัวเอง ใบหน้าเรียบครุ่นคิด ขณะดวงตาคมเข้มจ้องมองพนักงานแต่ละคนของเขาอย่างประเมินเหตุผล เพราะเขาต้องตัดสินใจวันนี้
ลิ้นร้อนตวัดลงตามรอยแยกที่มองเห็นเป็นสีชมพูสด หอมหวานและเย้ายวนใจจนจิณณ์อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแยกกลีบดอกออกจากกัน และเขาก็ได้เห็นอีกหนึ่งความงดงามที่รอคอย หยาดเยิ้ม และท่วมท้น มนตกานต์พร้อมแล้ว สิ่งสัมผัสที่หยุดลงพร้อมกับกายแกร่งลุกขึ้นนั่งแทรกกลางระหว่างขา ทำให้มนตกานต์เบิกดวงตากว้างมองดูเขา ก่อนจะหลุบมองความยิ่งใหญ่ที่เธอกลัวเหลือเกิน เมื่อสิ่งนั้นคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต ดวงตาสวยหวานจึงต้องเสมองไปอีกทาง ไม่กล้ามองดูสิ่งนั้นได้อีก เพราะเจ้าของความยิ่งใหญ่กำลังทอดสายตามองเธออย่างร้องขอ “อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” ทว่าคำพูดจากเขากลับทำให้มนตกานต์ต้องหันมอง นั่นคือการร้องขอ มนตกานต์พยักหน้าน้อยๆ ทั้งกลัวทั้งอายจนทนมองหน้าเขาไม่ไหว แต่ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เมื่อจิณณ์ขยับท่อนขาเข้ามาใต้สะโพก มนตกานต์ก็หลับตาพริ้ม ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับความยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา ทว่า... “อาจิ๋ว!” “อืม... อาจะค่อยๆ อารักลูกเจี๊ยบนะคะ” อีกครั้งที่เสียงหวานบอกรักนั้นทำให้มนตกานต์ล่องลอย แม้ความอึดอัดคับแน่นจนอาจเรียกว่าเจ็บนั้นกำลั
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจะไม่ทำแบบนั้น แต่อาจะทำแบบเมื่อคืนกับเมื่อเช้า นะ...” จิณณ์ไม่รอคำตอบเพราะทันทีที่มนตกานต์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากเร่าร้อนก็ประทับจูบที่ปากสีระเรื่อทันที ความหวานปะปนความเร่าร้อนดูดดื่มชอนชิมไม่หยุด ตวัดต้อน ชอนลึก จนมนตกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เรียวลิ้นร้อนของจิณณ์จะหยอกยั่วให้มนตกานต์คล้อยตาม ลิ้นสากอุ่นชื้นสอนให้ลิ้นน้อยอ่อนไหวแตะไต่ตอบสนอง ตวัดต้อนชอนชิมความดุดันของเขาบ้าง 2 ครั้งแรกนั้นมนตกานต์กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีบ้าง และสำลักบ้าง แต่ครั้งนี้เธอทำได้ดี ลิ้นน้อยหยอกเย้าดูดดุนความสากชื้น จนมนตกานต์ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าสวยจึงมีรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ลิ้นน้อยทำหน้าที่ต่อสู้ฟาดฟันกับจิณณ์ไม่ลดละ ปากประกบ ลิ้นต่อสู้ และฝ่ามือของเจ้าบ่าวก็ทำหน้าที่ จิณณ์เอื้อมฝ่ามือไปใต้แผ่นหลัง ค่อยๆ รูดซิปชุดเดรสตัวสวยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรั้งให้พ้นร่างงามอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเจ้าสาวที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ามือจึงเหลือเพียงบราเซียร์และแพนตี้เข้าชุด จากนั้นนิ้วเร่าร้อนก็ทำหน้าที่ปลดรังดุมได้ตัวเอง ก่อนที่จิณณ์จะครางด้วยความซ่านเสียว เพร
ส่วนภานุก็รับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเลร่วมกับวีนาที่คอยดูความเรียบร้อยโดยรวม แม้จะมีป้าแม่บ้านกับน้องฝึกงานที่ออฟฟิศมาช่วยแล้วก็ตาม บรรยากาศชื่นมื่นมีความสุข ทว่าเจ้าบ่าวก็หงุดหงิดไม่เลิก “เป็นอะไรนักหนาวะจิ๋ว แกทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวใครเขาก็เอาไปพูดว่าพี่ให้ลูกสาวมาจับแกนะโว้ย แล้วนี่หงุดหงิดเรื่องอะไร” “กี่โมงแล้วพี่” จิณณ์ตอบไม่ตรงคำถามแต่กลับถามไก่อูกลับ “แกก็มีนาฬิกา ทำไมไม่ดูเองล่ะ” “ก็ผมอยากให้พี่ดู” ไก่อูงงแต่ก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลา “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไม” “พี่อ่ะ ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วน่ะสิ พี่ลืมอะไรไปหรือเปล่า” “ลืมอะไรวะ ไม่มี!” ไก่อูเสียงสูง ยิ่งทำให้จิณณ์หน้าบึ้ง ก่อนว่าที่พ่อตาจะหลุดขำ เพราะ 4 ทุ่ม 59 นาทีเป็นเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ นั่นจึงทำให้จิณณ์กระวนกระวาย “เฮ้ยจิ๋ว แกนี่เสียชื่อตัวพ่อสายดาร์กหมดเลยนะโว้ย แกตื่นเต้นเหรอที่จะได้เข้าหอ ไม่ต้องตื่นเต้นนะน้อง มันเรื่องธรรมดา นี่ม้าแกกับพี่นกก็ไปปูที่นอนรอแล้วไง” “จริงเหรอพี่” จิณณ์เกาะแขนไก่อูถามเพื่อความแน่ใจ
มนตกานต์หลบเลี่ยงเมื่อจิณณ์ทำท่าจะโถมเข้ามา ก่อนจะชี้ชวนให้ดูหนุ่มสาวที่กำลังก้าวออกจากออฟฟิศตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพราะณัฐอาสาจะพาขิมไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล “พี่ขิมชอบพี่ณัฐค่ะ” “ไม่ได้ชอบ แต่ขิมรักณัฐ รักมาสามปีแล้ว ณัฐมันไม่รู้หรอก มันคิดว่าไอ้ขิมเป็นทอม” “ไม่จริงมั้งคะ ลูกเจี๊ยบว่าพี่ณัฐเขารู้แล้วนะ อาจิ๋วดูสิ” ภาพที่เห็นคือณัฐกำลังใส่หมวกกันน็อคให้ขิมอย่างระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้โดนแผล และขิมก็อายกับสัมผัสใกล้ชิดจนต้องหลุบสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของณัฐแฉลบแผลของเธอไป ณัฐตกใจที่ทำขิมเจ็บ ดึงขิมเข้ามากอด ก่อนที่สาวทอมประจำออฟฟิศจะสั่นสะอื้นฮึกฮักอยู่กับอกของณัฐ “สงสัยจะเจ็บแผล” “ผิดค่ะ มีความสุขต่างหาก” “หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านเถอะ” “อื้อ... ยังไม่เลิกงานเลยค่ะ” “วันนี้วันทำงานที่ไหนเล่า” “อาจิ๋วจะแกล้งอะไรลูกเจี๊ยบอีกเนี่ย เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ” “ทีนึงอะไร ยังไม่ได้สักที” “อาจิ๋ว!” จิณณ์ยิ้มเข้ามาสวมกอดมนตกานต์ที่หน้าแดงจากคำพูดของเขา พลางชี้ชวนใ
มนตกานต์อมยิ้มน้อยๆ เพราะสาเหตุที่จิณณ์บอกว่าจะเข้างานสาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอเข้าใจ แต่เป็นสิ่งนี้ เธอเปิดซองกระดาษหยิบเอกสารด้านในออกมาดู เพราะตอนที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ ความตื่นเต้นและเขินอายมีมากจนไม่กล้าจะชื่นชม ดวงตาสวยหวานไล่ไปตามตัวอักษรที่กำกับอยู่บนกระดาษสีนวลมีลวดลายดอกกุหลาบอยู่รอบด้าน ‘ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายจิณณ์ จิตติกรณรงค์ กับ นางสาวมนตกานต์ ฤทธาอภินันท์ ได้จดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียน... จังหวัด... เลขทะเบียนที่... เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคม พ.ศ.2560 นายทะเบียน’ “เราแต่งงานกันแล้วนะ” รอยยิ้มแสนหวานส่งให้คนที่กระชับฝ่ามือ “ขอบคุณนะคะอาจิ๋ว ขอบคุณที่รักลูกเจี๊ยบ ขอบคุณทุกอย่างค่ะ” “อาสิต้องขอบคุณลูกเจี๊ยบ ที่สอนให้อารู้จักความรัก อาไม่สัญญานะว่าจะรักลูกเจี๊ยบมากที่สุดในโลก แต่อาสัญญาว่าจะรักลูกเจี๊ยบทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร หัวค่ำ ก่อนนอน และล้างหน้าไก่” “อาจิ๋วอ่ะบ้า!” “บ้าแต่ไม่ห้ามใช่มั้ย” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์ฮึดฮัดด้วยความอายก่อนจะเร่งให้จิณณ์รีบออกรถ เพราะที่จิณณ์ว่าสิบโมง แต่น
ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้เขา อยู่ในชุดเดรสสีเทาอ่อนแขนสั้นตัวยาวกรอมเท้าดูสุภาพอยู่นะ ถ้าด้านหลังจะไม่กว้านลึกจนถึงบั้นเอว ใครจะอยากให้คนอื่นเห็นกันล่ะ “อุ้ย!” มนตกานต์สะดุ้งเมื่อท่อนแขนแกร่งแทรกเข้ามากระชับบั้นเอว พร้อมริมฝีปากแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม แค่นั้นความร้อนก็วูบขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะกระจายวาบไปทั่วร่าง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง “หอมจัง... วันนี้มีอะไรกิน” คนพูดว่าหอมจัง หอมอีกหลายครั้งที่สองแก้ม สลับไปมาซ้ายขวา ดั่งความหอมนั้นไม่ได้มาจากอาหารแต่เป็นสองแก้มนี้ “ข้าวต้มไก่น่ะค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ข้าวเย็นเลยเหลือเยอะ ลูกเจี๊ยบเลยเอามาทำข้าวต้มมื้อเช้า” “อืม... ข้าวต้มมื้อเช้า อยากกินจังเลย เมื่อคืนกินไม่อิ่ม” “อาจิ๋ว!” มนตกานต์หน้าร้อนซ่าน คำพูดสองแง่สองง่ามนั้น เขาช่างพูดได้ไม่อายปาก “เสียงดังทำไม ก็เมื่อคืนอากินข้าวไม่อิ่มจริงๆ นี่นา ได้กินข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า เพิ่มพลังงานดีออก อยากกินแล้วล่ะ จะกินให้เกลี้ยงชามเลย” จิณณ์หัวเราะในลำคอเ