เช้าวันถัดมา ข้าวหอมซึ่งนัดแนะกับสายเมฆว่าวันนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยกันทำกับข้าวให้พ่อแม่กินก่อนออกไปทำนา หลังจากนั้นทั้งสองจะทำการตากเนื้อแห้ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมของก่อนออกไปทำงาน
“นี่พี่สายเมฆ... พี่ว่าวิธีของพี่มันจะได้ผลจริง ๆ เหรอคะ” ข้าวหอมถามย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความลังเลในแผนการของสายเมฆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลงมือทำกิจการของตัวเองจริงๆ มันเลยรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเป็นพิเศษ สายเมฆรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยที่ข้าวหอมเรียกเขาว่าพี่แล้ว “ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปลองกันเลย” สายเมฆที่ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี ยื่นมือมาจับข้อมือของข้าวหอมเบา ๆ แล้วดึงให้ลงไปข้างล่าง ตรงโต๊ะกลางบ้าน มีที่ตากเนื้อแห้งหลายขนาดวางเรียงรายอยู่ ข้าวหอมและสายเมฆช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งไว้ตรงแถวรั้วบ้าน เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งคู่ช่วยกันนำเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำมาวางบนชั้นของที่ตากเนื้อแห้ง จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบทีละชั้น ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านในหมู่บ้านกำลังจะเดินทางออกไปทำนาพอดี ป้าแจ่ม เจ้าของนาที่พ่อกับแม่ไปช่วยเมื่อวานเป็นคนแรกที่แวะเข้ามาดูด้วยความสงสัย “ข้าวหอม เล่นซนอะไรจ๊ะหนู? ละนี่ใครที่ไหนกันเนี่ย?” ป้าแจ่มทักข้าวหอมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เพราะกลัวว่าข้าวหอมจะหยิบของของศจีและรุจน์มาเล่นซนจนเสียหาย ป้าแจ่มเป็นเพื่อนบ้านที่มีเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับครอบครัวข้าวหอมมาก แม้ป้าแจ่มจะขัดใจที่รุจน์และศจีเลี้ยงดูข้าวหอมอย่างประคบประหงมจนเกินไป ทำให้ข้าวหอมแม้จะโตแล้วแต่ก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าที่บ้านมีปัญหา ป้าแจ่มก็เป็นคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเสมอ “คนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องหนูเองค่ะป้าแจ่ม ชื่อพี่สายเมฆ น้าหนูเขาฝากให้มาอยู่ด้วยค่ะ” ข้าวหอมตอบด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ป้าแจ่มมองหน้าสายเมฆแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะความหล่อเหลาและดูดีของเขาดูไม่น่าจะเป็นญาติทางไหนกับครอบครัวที่ยากจนของข้าวหอมได้เลย “ละนี่อะไรล่ะข้าวหอม? เอาของกินมาเล่นอะไรอีก” ป้าแจ่มชี้ไปยังที่ตากเนื้อแห้งด้วยสายตาไม่เข้าใจ ข้าวหอมละเหี่ยใจยิ่งนัก ‘เฮ้อ! ดีนะที่มีสายเมฆอยู่ตรงนี้ ถ้าให้ฉันอธิบายว่ามันคือที่ตากเนื้อแห้งเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ ความน่าเชื่อถือของเจ้าของร่างนี้ช่างต่ำเตี้ยยิ่งนัก!!!’ สายเมฆเห็นท่าทางของป้าแจ่มและแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของข้าวหอมแล้ว จึงเข้ามาอธิบายแทน “มันคือที่ตากเนื้อแห้งครับป้า” สายเมฆเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น “มีที่แขวนด้านบน เอาไว้แขวนให้สูง ๆ กันหมามาคาบเนื้อไปได้ ส่วนมุ้งนี่ก็เอาไว้กันแมลงวันครับป้า ช่วงนี้หน้าร้อน แมลงวันเป็นตัวนำเชื้อโรค ยังไงกันไว้ก่อนก็ดีนะครับ อ้อ! แล้วนี่ไม่ได้ใช้ไว้ตากเนื้อแห้งอย่างเดียวนะครับป้า จะเอาไปตากอย่างอื่นก็ได้ ทั้งพริกแห้ง ปลาแห้ง หรือผลไม้แห้งก็ได้หมดเลยครับ ขนย้ายหรือทำความสะอาดก็สะดวกสบายด้วยครับ” สายเมฆอธิบายอย่างคล่องแคล่วชัดเจนราวกับเซลล์แมนมืออาชีพจนข้าวหอมคิดว่าก่อนหน้าที่เขาจะย้อนอดีตมา เขาคงมีอาชีพเป็นเซลล์แมนขายของเก่งกาจเป็นแน่ ป้าแจ่มพยักหน้าหงึกหงัก พลางยื่นมือเข้ามาลองจับที่ตากเนื้อแห้ง “ดูสะดวกดีแท้ ๆ ทำยากรึเปล่าล่ะพ่อหนุ่ม?” “ถ้ายังไม่เคยทำ อาจจะยากนิดหน่อยครับ แต่ผมสอนให้ได้นะครับ หรือถ้าป้าอยากได้ก็สั่งได้เลย ผมทำขายในราคาไม่แพงครับ” สายเมฆตอบป้าแจ่มด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ข้าวหอมเห็นสายเมฆกำลังจะคิดเงินป้าแจ่ม ก็รีบหยิกเข้าที่แขนเขาเบา ๆ “ป้าแจ่มคะ อย่าไปฟังพี่สายเมฆเลยค่ะ! หนูทำขายก็จริง แต่สำหรับป้าแจ่มแล้ว ป้าช่วยครอบครัวหนูมาตลอด หนูให้ป้าฟรี ๆ เลยนะคะ!” ข้าวหอมยิ้มให้ป้าแจ่มอย่างจริงใจ ป้าแจ่มถึงกับตกใจเล็กน้อย ‘ทำไมยัยหนูนี่มันแปลก ๆ ไปนะ? รู้จักสำนึกบุญคุณคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’ ป้าแจ่มรู้ดีว่าครอบครัวของข้าวหอมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงไม่อยากเอาเปรียบ เลยยื่นข้อเสนอที่ทำให้สบายใจทั้งสองฝ่าย “ไม่เป็นไรหรอกข้าวหอม ถ้าป้าเอาฟรี ๆ ป้าก็ไม่สบายใจน่ะสิ เอางี้ดีกว่านะ หลานลดราคาให้ป้าก็พอ จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย” ขณะที่ข้าวหอมกับป้าแจ่มกำลังตกลงราคาและพูดคุยกันอย่างออกรส ชาวบ้านจากครัวเรือนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำนา พอเห็นป้าแจ่มกับข้าวหอมยืนอยู่ตรงโต๊ะที่มีที่ตากเนื้อแห้งวางเรียงรายอยู่ ก็พากันเดินเข้ามาสอบถามด้วยความสนใจ “โอ้โห! มันใหญ่ไปหน่อยนะ ครอบครัวฉันคงไม่มีปัญญาหาเนื้อมาตากได้เยอะขนาดนั้นหรอก ถ้ามีอันเล็ก ๆ และราคาถูกกว่านี้น่าจะดีนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย “มีอันเล็กก็มีจ้ะ!” ข้าวหอมรีบตอบอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับหยิบที่ตากเนื้อแห้งขนาดเล็กและขนาดต่าง ๆ ออกมาวางโชว์เพิ่ม ชาวบ้านที่เห็นดังนั้นก็ต่างพากันกรูเข้ามาเลือกดูขนาดที่เหมาะสมกับบ้านตัวเองอย่างคึกคัก บางคนก็ถามถึงวิธีใช้ บางคนก็ขอให้สอนทำ ข้าวหอมและสายเมฆช่วยกันจดชื่อและขนาดที่ชาวบ้านสั่งกันอย่างมีความสุข ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม การหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง! ข้าวหอมคิดในใจ เธอรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การใช้เงินซื้อของแพง ๆ แต่มันอยู่ที่การสร้างสรรค์บางสิ่งด้วยตัวเอง และการได้เห็นคุณค่าของหยาดเหงื่อแรงงานที่เปลี่ยนเป็นรายได้ ความคิดที่อยากจะทำให้พ่อแม่สบายก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในใจ สายเมฆมองข้าวหอมที่กำลังช่วยชาวบ้านเลือกขนาดที่ตากเนื้อแห้งด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แววตาที่เคยฉายแววเบื่อหน่ายโลกมนุษย์เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเทวดา บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ชัดเจน ‘ยัยเด็กนี่... เปลี่ยนไปมากจริง ๆ’ เขาคิดในใจ มองดูข้าวหอมที่เคยเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงการจับสิ่งของที่สกปรก วันนี้เธอกลับยืนตากแดด จดบันทึกออเดอร์อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อแต่กลับมีรอยยิ้มที่สดใสเปล่งประกายกว่าตอนที่เธอใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อเสียอีก ความมุ่งมั่นในแววตาของเธอเมื่อครู่ที่บอกว่าจะทำให้พ่อกับแม่สบาย ทำให้หัวใจของสายเมฆรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ราวกับมีบางสิ่งกำลังงอกเงยขึ้นมาในอกของเขาที่เคยว่างเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยากเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำ เพื่อแลกกับอิสรภาพของตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของข้าวหอม ได้เห็นประกายแห่งความสุขที่แท้จริงจากการลงมือทำสิ่งดี ๆ ด้วยตัวเอง สายเมฆก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า 'แท้จริงแล้ว... ใครกันแน่ที่กำลังได้รับการช่วยเหลือ?' รอยยิ้มที่เคยปรากฏเพียงเพื่อรักษามาดเทวดา หรือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ใช้หลอกล่อศจีกับรุจน์ บัดนี้กลับกลายเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงเมื่อเขาได้มองดูข้าวหอมทำงาน เขาเริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในโลกมนุษย์นี้... ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด และการได้อยู่ใกล้ ๆ ยัยหนูจอมป่วนคนนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างน่าประหลาดหลังจากเปิดร้านในกรุงเทพฯ ได้เพียงสามปี ร้านเสื้อผ้าของข้าวหอ ก็โด่งดังในหมู่ชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง รวมถึงมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกด้วยส่วนโรงงานที่รุจน์และศจี พ่อแม่ของเธอดูแลก็ขยายใหญ่โต จนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ส่วนโรงงานเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่ผลิตเสื้อผ้าสำหรับร้านของ แก้ว ซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานกับธงแล้วข้าวหอมกลายเป็นสาวเนื้อหอมประจำเมืองหลวง ทั้งจากรูปร่างหน้าตา กิริยาวาจาที่งดงาม และรสนิยมการแต่งกายอันโดดเด่น ภาพของเธอปรากฏตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่าวซุบซิบเรื่องหนุ่มไฮโซ ดารา ที่พากันมาขายขนมจีบเธอไม่ขาดสายสายเมฆมองดูความสำเร็จของครอบครัวข้าวหอมและทุกคนที่เขาเคยอยู่ด้วย เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง ‘นี่คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะ’ เขาพึมพำถามตัวเองในใจ“ใช่แล้ว! เจ้าบื้อ!” เสียงดังมาจากด้านหลังสายเมฆ ทำให้เขาต้องหันไปมอง ก็พบว่าพายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขายืนอยู่ตรงนั้น“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลย” สายเมฆบ่น “แล้วท่านมาทำไมตอนนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”“ก็มาหานายนั่นแหละ” พายุตอบพร้อมรอ
ที่ร้านตัดเสื้อของข้าวหอม หลังจากลูกค้าช่วงเช้าที่คึกคักทยอยกลับไปหมด ข้าวหอมกำลังเตรียมตัวจะตักอาหารเที่ยงใส่จาน จู่ ๆ องุ่นก็ก้าวเข้ามาในร้าน“ข้าวหอมหนูกินข้าวก่อนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวชั้นนั่งรอ” องุ่นเอ่ยอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเตรียมจะวางช้อน“ไม่เป็นไรค่ะคุณองุ่น” ข้าวหอมยิ้มและเดินผละออกจากโต๊ะอาหารตรงไปหา “คุณองุ่นมาดูแบบเสื้อใหม่เหรอคะ”“ใช่จ้ะข้าวหอม” องุ่นพยักหน้า “ครั้งก่อนชั้นตามสามีเข้าไปกรุงเทพฯ ใส่ชุดของหนูไปงานเลี้ยง มีแต่คนชมชุดหนูนะ รอบนี้สามีมีงานที่กรุงเทพฯ อีก เลยจะมาดูแบบใหม่ ๆ ไว้เตรียมตัว” องุ่นพูดพลางเปิดดูแคตตาล็อกชุดที่วางบนโต๊ะ “จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะจ๊ะ ถ้าร้านหนูอยู่ในกรุงเทพฯ คงมีคนเข้าออกไม่ขาดสายเลยทีเดียว”“ไม่แน่นะคะ หนูอาจย้ายไปในกรุงเทพฯ ก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยด้วยความมั่นใจ ความคิดนี้เคยแวบเข้ามาในหัวเธอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่รอเวลาที่กิจการในอำเภอจะเข้าที่เข้าทางเสียก่อน“จริงเหรอ!” องุ่นอุทานด้วยความแปลกใจระคนยินดี ดวงตาเป็นประกาย“จริงค่ะ แต่อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย” ข้าวหอมอธิบายแผนคร่าว ๆ “เพราะต้องหาที่เปิดร้าน หาพนักงานเพิ่ม และรอจัดระเบียบร้า
“ข้าวหอม อยู่มั้ยจ๊ะ!” เสียงเรียกดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ ข้าวหอม ต้องรีบออกมาดู เจ๊จวง ซึ่งตอนนี้เป็นพันธมิตรคู่ค้าสำคัญของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของข้าวหอมยืนอยู่หน้าบ้าน สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล“อยู่ค่ะเจ๊จวง มีอะไรรึเปล่าคะ อย่าบอกนะว่าชุดล็อตล่าสุดหมดแล้ว” ข้าวหอมทักอย่างอารมณ์ดี เพราะหลังจากโรงงานเสร็จ กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ไปได้ดีมาก ร้านค้าจากในตัวจังหวัดและต่างอำเภอต่างมาสั่งของเพื่อนำไปขาย ส่วนในอำเภอที่ข้าวหอมอยู่ เธอเลือกส่งให้ร้านเจ๊จวงเพียงที่เดียว เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเหลือกันมา“มีปัญหาแล้วล่ะข้าวหอม ดูนี่สิ!” เจ๊จวงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหยิบถุงกระดาษที่ถือมาออกมา แล้วดึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อยู่ในถุงให้ข้าวหอมดูข้าวหอมรับเสื้อมาพินิจ เสื้อที่อยู่ในมือมีตะเข็บที่แตกออก ด้ายที่เย็บบางตัวก็ไม่เรียบร้อย รังดุมบางตัวด้ายก็หลุดรุ่ย เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เจอเสื้อไม่ได้มาตรฐานจากโรงงานของตัวเอง แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เธอก็พบว่ากระดุมที่ใช้ รวมถึงซิปและตะขอ แม้จะมีรูปแบบคล้ายกับของโรงงานเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว“เจ๊ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ข้าวหอมถามเจ๊จวงด้วยความแ
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”เสียงจุดประทัดดังกึกก้องทั่วซอย บ่งบอกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล วันนี้เป็นวันเปิดร้านเสื้อผ้าของข้าวหอม หลังจากที่เธอได้ออกแบบร้านด้วยตัวเองแล้ว ลุงเพิ่มก็จัดหาช่างฝีมือดีมาลงมือก่อสร้างตามแบบที่ได้รับ ร้านของข้าวหอมออกแบบตามรสนิยมและความชอบของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ร้านมีดีไซน์ที่ดูแปลกตา ล้ำสมัย และน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งสบาย มีการจัดวางชุดเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาชม“ข้าวหอม ยินดีด้วยนะจ๊ะ” คุณองุ่น เดินถือแจกันดอกไม้สวยงามเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาภรรยาข้าราชการระดับต่าง ๆ และผู้มีฐานะอีกหลายท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่งเพียงไม่นาน ร้านของข้าวหอมก็ขึ้นชื่อในหมู่คนมีฐานะว่าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ประณีตและออกแบบได้ไม่ซ้ำใคร ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก ช่างตัดเสื้อที่เดิมมีเพียง สาลี่ และแก้ว ซึ่งทำงานกันเองในบ้าน ก็เริ่มจะทำงานไม่ทันตามยอดสั่งซื้อที่เข้ามา ข้าวหอมจึงตัดสินใจขอร้องให้ลุงเพิ่มช่
วันนี้หลังจากเรียน กศน. เสร็จ ทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่บ้าน และเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงงานกลุ่มและการบ้านที่ได้รับมอบหมาย“มันยากจังเลยครับลุง! ยากกว่าตอนเรียนประถมอีก” ธง ที่นั่งก้มหน้าทำการบ้านไปได้สักพักก็บ่นออกมา พร้อมกับทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก แก้วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุดของธง แล้วเริ่มอธิบายตรงจุดที่ธงติดขัดอย่างใจเย็น“อดทนหน่อยนะเจ้าธง” รุจน์ เห็นท่าทางของธงแล้วก็อดปลอบไม่ได้ “อย่างน้อยขอให้ได้วุฒิ ม.3 ไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะเรียนต่อ ปวส. ปวช. หรือจะเรียนสายสามัญต่อ แต่ยังไงก็ต้องเรียนนะ มีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”“ครับลุง ผมจะพยายามครับ” ธงตอบรับรุจน์อย่างคนหมดแรง“ธงอยากทำอะไรในอนาคตเหรอ” ข้าวหอม เอ่ยถามธงขึ้นมาเบา ๆธงนั่งคิดอยู่นานก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันตัวเอง “ไม่รู้สิข้าวหอม ผมไม่เคยมีความคิดความฝันอยากเป็นอะไรเลย ก่อนมาเจอข้าวหอม ผมก็แค่อยากหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปใช้จ่าย ไม่ต้องรบกวนทางบ้านน่ะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าวหอม “แล้วข้าวหอมล่ะ มีความฝันอยากเป็นอะไร?”“ข้าวหอมรักเงิน” ข้าวหอมตอบความฝันตัวเองไปด้วยสายตาเป็นประกายแห่งความสุข “ข้
วันถัดมาหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนายตำรวจจบลง บรรยากาศภายในซอยบ้านของข้าวหอมก็เริ่มคึกคักผิดหูผิดตา มีรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน ข้าวหอมยังคงดำเนินแผนการโชว์สินค้าในรูปแบบเดิม เธอจัดวางเสื้อผ้าบนราวอย่างเป็นระเบียบ แล้วนำมาให้ลูกค้าผู้หญิงที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งทยอยกันเข้ามาชมทีละราว เธออธิบายรายละเอียดของชุดแต่ละชุดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อลูกค้าเลือกชุดที่ถูกใจก็จะเขียนหมายเลขชุดที่ต้องการ ก่อนจะไปวัดตัวกับสาลี่ เพื่อปรับขนาดให้พอดีและจ่ายเงินมัดจำเป็นการยืนยันการสั่งซื้อด้วยความที่การช้อปปิ้งและแฟชั่นคือความชอบส่วนตัวของเธอ ข้าวหอมจึงทำหน้าที่นำเสนอสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไหลลื่น เธออธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส พลางแนะนำจุดเด่นของชุดแต่ละชุดอย่างละเอียดลออ สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชุดสวยแล้ว ยังได้รับคำแนะนำที่เป็นกันเองจากเจ้าของร้านอีกด้วยศจีและรุจน์ มองดูลูกสาวคนเก่งอยู่ห่าง ๆ จากมุมหนึ่งของห้องโถง ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ส่วนสายเมฆนั้น เขายืนพิงกรอบประตู มองดูข้าวหอมที่กำลั