เมื่อศจีกับรุจน์รับประทานอาหารเช้าที่สายเมฆจัดเตรียมให้อย่างเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงล้อมข้าวหอมและสายเมฆอยู่
“คุณคะ ทำไมคนมารุมข้าวหอมกับสายเมฆแบบนั้นล่ะ ลูกเราไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย” ศจีถามรุจน์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวล รุจน์เพ่งมองไปยังกลุ่มคนก่อนจะหันมาตอบศจี “ไม่น่าใช่นะแม่ ดูเหมือนทุกคนกำลังคุยกับยัยหนูและสายเมฆดี ๆ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะอะไรกันเลย แต่ก็แปลกที่ทำไมชาวบ้านถึงมาคุยกับยัยหนูกันเยอะแยะขนาดนั้น” ไม่รอให้รุจน์คิดหาสาเหตุ ศจีก็คว้าแขนรุจน์ลงบันไดไปตรงรี่เข้าไปหาข้าวหอมและสายเมฆทันที ป้าแจ่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่เห็นสองสามีภรรยาเดินมาก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม “แกสองคนนี่เลี้ยงยัยข้าวหอมไม่เสียทีจริง ๆ นะ วันนี้เริ่มช่วยหาเงินหาทองได้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะเลี้ยงให้เป็นเด็กไม่เอาไหนเสียอีก ที่ไหนได้ นางก็มีความรู้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกันนะเนี่ย” ป้าแจ่มกล่าวชื่นชมปนแปลกใจ ศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความงุนงง ‘อะไรคือข้าวหอมหาเงิน? หรือลูกเราแอบเอาอะไรในบ้านมาขายอีกแล้วเนี่ย’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของทั้งคู่ ข้าวหอมเห็นพ่อกับแม่เดินมาก็รีบเดินไปหา พร้อมกับชูสมุดจดออเดอร์ที่อยู่ในมือให้ทั้งสองดูด้วยความภาคภูมิใจ “พ่อขา แม่ขา ดูสิคะ! มีคนสั่งซื้อที่ตากเนื้อแห้งเยอะเลยค่ะ!” ศจีและรุจน์เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดและเห็นสมุดจดออเดอร์ในมือลูกสาว ก็ยิ้มออกด้วยความปลาบปลื้มใจในตัวลูกสาวอย่างที่สุด แต่ก็ยังเหลือความกังวลว่าลูกสาวไปรับออเดอร์มาแบบนี้ ถ้าทำไม่ได้ลูกสาวจะโดนว่าหรือเปล่า หลังจากชาวบ้านสั่งที่ตากเนื้อแห้งเสร็จเรียบร้อย ก็ทยอยกันไปทำนาตามปกติ รุจน์กับศจีตกลงกันว่าวันนี้จะไปที่นาช้าสักหน่อย เพราะอยากคุยกับลูกเรื่องการขายของที่เพิ่งเกิดขึ้น “ข้าวหอม ไหนลูกเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยซิ” รุจน์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสงสัย “คือว่าเมื่อคืนพี่สายเมฆเขาชวนข้าวหอมให้ลองเอาที่ตากเนื้อแห้งมาให้ชาวบ้านดูค่ะ เผื่อชาวบ้านจะสนใจจะได้ทำขาย ทีแรกข้าวหอมไม่เชื่อเลยนะคะว่าจะขายได้จริง ๆ” ข้าวหอมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่เพิ่งทำสำเร็จ “แล้วลูกจะทำให้ชาวบ้านได้จริง ๆ เหรอ” ศจีถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง พูดตามตรงเธอไม่คิดว่าลูกสาวจะทำอะไรได้นาน “ถ้าหนูทำไม่ได้แล้วไปบอกยกเลิกก็ยังทันนะ แม่ไม่อยากให้ใครมาว่าข้าวหอมทีหลัง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ข้าวหอมจะทำแบบขอไปทีไม่ได้นะลูก” ศจีกลัวว่าถ้าข้าวหอมเบื่อแล้วเลิกกลางคันเหมือนที่เคยทำมา ชาวบ้านคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่ ๆ สายเมฆเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของศจี เขาจึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับข้าวหอมจะช่วยกันทำให้ออกมาดีที่สุดครับ” ศจีมองหน้าสายเมฆ เมื่อเขาเป็นคนรับปากเอง เธอก็คลายความกังวลใจลงไปได้เปลาะหนึ่ง รุจน์เห็นว่าเริ่มสายแล้ว จึงชวนศจีออกไปที่นาก่อน “ไปเถอะแม่ เดี๋ยวสายมากแล้ว” หลังจากเดินออกจากบ้าน ศจีก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอหันไปเอ่ยกับรุจน์อีกครั้ง “คุณไม่ห่วงยัยหนูเลยเหรอคะ” รุจน์ส่ายหัวช้า ๆ “ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงหรอกนะ แต่ผมว่าถึงเวลาที่เราควรฝึกให้ลูกโตได้แล้ว ไม่เห็นเหรอขนาดป้าแจ่มยังชมยัยหนูเลยนะ ครั้งนี้เราลองเชื่อใจลูกดีกว่า ต่อให้มีข้อผิดพลาดก็ยังมีเราช่วยเหลือได้ อีกอย่างสายเมฆเขาก็รับปากแล้วนี่นาว่าจะช่วยดู ผมว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นคนใช้ได้เลยนะ เขาไม่น่าจะปล่อยให้ยัยหนูเราผิดพลาดหรอก” พูดจบรุจน์ก็ดึงศจีเข้ามาโอบเบาๆ พลางลูบไหล่ปลอบโยน มอบความอบอุ่นและมั่นใจให้กับภรรยา เมื่อพ่อกับแม่เดินทางไปที่นาข้าวแล้ว ข้าวหอมกับสายเมฆก็เริ่มต้นลงมือวางแผนการจัดทำที่ตากเนื้อแห้งตามออเดอร์ที่ได้รับมาอย่างกระตือรือร้น “ทั้งหมด 23 อันเชียวนะคะพี่สายเมฆ” ข้าวหอมกวาดสายตาตรวจดูผ้าตาข่ายและอุปกรณ์ที่เหลืออยู่ “ดูแล้วผ้าตาข่ายเราไม่น่าจะพอค่ะพี่ เดี๋ยวเราลองไปดูที่ร้านชำในหมู่บ้านกันนะคะ” “ได้สิ อุปกรณ์ครบจะได้ลงมือทำทีเดียวเลย” สายเมฆตอบรับทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “แต่พี่ว่าพี่ไปคนเดียวดีกว่านะ ที่บ้านไม่มีรถ เดินไปข้าวหอมจะเหนื่อยเปล่า ๆ ข้าวหอมแค่บอกทางพี่มาก็พอ” สายเมฆอาสาที่จะไปเอง เพราะรู้ดีว่าข้าวหอมไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล “ได้ยังไงล่ะคะพี่สายเมฆ!” ข้าวหอมโต้แย้งทันควัน ดวงตาโตมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมกันต้านสิคะ ข้าวหอมไม่อยากเอาเปรียบพี่!” เมื่อสายเมฆเห็นว่าโต้เถียงไปก็คงไม่ได้ผล แถมจะทำให้เสียเวลาลงมือทำไปอีก เขาจึงยอมตกลง เดินไปร้านชำพร้อมกับข้าวหอมในที่สุด ทั้งคู่เดินเท้าออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำที่ใกล้ที่สุด ซึ่งระยะทางก็ราวๆ หนึ่งกิโลเมตรกว่า ๆ ข้าวหอมที่แทบไม่เคยเดินไกลขนาดนี้ เริ่มออกอาการเหนื่อยหอบ ‘ฉันไม่น่าจะมาร่วมทุกข์ด้วยเลยจริงๆ! รอนั่งร่วมสุขที่บ้านสบายๆ ก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ’ เธอคิดในใจอย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายเมฆที่เดินนำหน้าไปอย่างไม่ย่อท้อ เธอก็รู้สึกกระตุ้นตัวเองให้ก้าวต่อไป เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราวบนหน้าผากเนียนของข้าวหอม สายเมฆที่เดินอยู่ข้าง ๆ เห็นเข้าก็รู้สึกสงสารอย่างจับใจ เขาเอื้อมมือขึ้นปาดเหงื่อที่ขมับของเธออย่างแผ่วเบาด้วยความไม่รู้ตัว “อี๋! พี่ทำอะไรเนี่ย!” ข้าวหอมรีบเอ็ดกลับทันทีตามนิสัยเดิมที่เคยเป็นมา ก่อนจะชักสีหน้าด้วยความรังเกียจเล็กน้อย “มือสกปรกรึเปล่าก็ไม่รู้!” เธอรีบใช้หลังมือปาดเหงื่อออกเองอย่างรวดเร็ว พลางรู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่เขาไป ทั้ง ๆ ที่เขากำลังทำดีด้วย สายเมฆชะงักมือค้างอยู่กลางอากาศเล็กน้อย ดวงตาคมกริบเบิกกว้างด้วยความตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเองและท่าทีของข้าวหอม ‘นี่เราทำอะไรลงไปวะเนี่ย? ปกติเราเคยห่วงใยคนอื่นถึงขั้นลงมือเช็ดเหงื่อให้แบบนี้ด้วยเหรอ?’ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจเขาอย่างเงียบ ๆ หรือนี่เป็นความรู้สึกผูกพันกันของพวกมนุษย์กันนะ? ทั้งสองคนเดินกันมาได้สักพักใหญ่ ๆ ท่ามกลางแดดยามเช้าที่เริ่มจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อซึมตามแผ่นหลังของข้าวหอม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน ร้านที่ดูเก่าแก่แต่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับชาวบ้าน วางเรียงรายอยู่บนชั้นไม้ฝุ่นจับบาง ๆ “อ้าว ข้าวหอม! ทำไมเดินมาได้ล่ะลูก!?” เสียงทุ้มแหบพร่าของ ลุงเพิ่ม เจ้าของร้านชำดังขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเดินมาถึงร้านด้วยตัวเอง “ละนั่นใครกันล่ะ?” ลุงเพิ่มเลิกคิ้วมองสายเมฆที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ข้าวหอมด้วยความสงสัย “คนนี้ชื่อพี่สายเมฆค่ะลุงเพิ่ม” ข้าวหอมตอบอย่างกระตือรือร้น “เป็นหลานของแม่ เขาเพิ่งมาอยู่ด้วยค่ะ” เธอกวาดตามองหาสิ่งที่ต้องการบนชั้นวางของ “ว่าแต่ลุงเพิ่มคะ ลุงพอจะมีผ้าตาข่ายรึเปล่าคะ?” ลุงเพิ่มที่ยังคงงุนงงเล็กน้อยกับคำตอบ แต่ก็รีบเดินไปหยิบผ้าตาข่ายม้วนใหญ่ที่เก็บไว้หลังร้านออกมาให้ “มีสิหนู จะเอาเท่าไหร่ล่ะ?” ข้าวหอมหันไปมองสายเมฆเพื่อขอความเห็น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างที่สายเมฆเองก็รู้สึกประหลาดใจ “เอาทั้งหมดเลยครับลุงเพิ่ม” สายเมฆตอบกลับลุงเพิ่มด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ดูจริงจัง ลุงเพิ่มถึงกับทำหน้าตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง “ข้าวหอม! เอาไปทำไมเยอะแยะลูก! แล้วนี่พ่อแม่รู้รึเปล่าว่าข้าวหอมมาซื้อของที่ร้านลุงตั้งเยอะขนาดนี้?” ลุงเพิ่มเริ่มชักจะไม่แน่ใจว่าข้าวหอมจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา เด็กคนนี้ก็สร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว “ข้าวหอมจะเอาไปทำที่ตากเนื้อแห้งค่ะลุง!” ข้าวหอมรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน แฝงด้วยความภูมิใจ “พ่อกับแม่ข้าวหอมรู้เรื่องแล้วค่ะ ไม่เชื่อลุงก็ถามพี่สายเมฆสิคะ!” สายเมฆยิ้มบาง ๆ ให้ลุงเพิ่มอย่างใจเย็น รอยยิ้มที่ดูจริงใจและน่าเชื่อถือนั้นทำให้ลุงเพิ่มรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ใช่แล้วครับลุงเพิ่ม พวกผมจะเอาไปทำที่ตากเนื้อแห้ง ลุงรุจน์กับป้าศจีรู้เรื่องแล้วครับ” แม้ลุงเพิ่มจะไม่ค่อยอยากขายให้มากนัก เพราะความไม่เชื่อใจในตัวข้าวหอมที่เคยทำเรื่องแปลก ๆ มาหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่น่าเชื่อถือของสายเมฆ ซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ ลุงเพิ่มก็ตัดสินใจยินยอมขายผ้าตาข่ายทั้งหมดให้ในที่สุด สายเมฆเหลือบมองข้าวหอมที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ แววตาของเขาอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เขาเริ่มรู้สึกว่าการอยู่เคียงข้างและคอยสนับสนุนข้าวหอมแบบนี้... ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักหลังจากเปิดร้านในกรุงเทพฯ ได้เพียงสามปี ร้านเสื้อผ้าของข้าวหอ ก็โด่งดังในหมู่ชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง รวมถึงมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกด้วยส่วนโรงงานที่รุจน์และศจี พ่อแม่ของเธอดูแลก็ขยายใหญ่โต จนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ส่วนโรงงานเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่ผลิตเสื้อผ้าสำหรับร้านของ แก้ว ซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานกับธงแล้วข้าวหอมกลายเป็นสาวเนื้อหอมประจำเมืองหลวง ทั้งจากรูปร่างหน้าตา กิริยาวาจาที่งดงาม และรสนิยมการแต่งกายอันโดดเด่น ภาพของเธอปรากฏตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่าวซุบซิบเรื่องหนุ่มไฮโซ ดารา ที่พากันมาขายขนมจีบเธอไม่ขาดสายสายเมฆมองดูความสำเร็จของครอบครัวข้าวหอมและทุกคนที่เขาเคยอยู่ด้วย เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง ‘นี่คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะ’ เขาพึมพำถามตัวเองในใจ“ใช่แล้ว! เจ้าบื้อ!” เสียงดังมาจากด้านหลังสายเมฆ ทำให้เขาต้องหันไปมอง ก็พบว่าพายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขายืนอยู่ตรงนั้น“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลย” สายเมฆบ่น “แล้วท่านมาทำไมตอนนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”“ก็มาหานายนั่นแหละ” พายุตอบพร้อมรอ
ที่ร้านตัดเสื้อของข้าวหอม หลังจากลูกค้าช่วงเช้าที่คึกคักทยอยกลับไปหมด ข้าวหอมกำลังเตรียมตัวจะตักอาหารเที่ยงใส่จาน จู่ ๆ องุ่นก็ก้าวเข้ามาในร้าน“ข้าวหอมหนูกินข้าวก่อนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวชั้นนั่งรอ” องุ่นเอ่ยอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเตรียมจะวางช้อน“ไม่เป็นไรค่ะคุณองุ่น” ข้าวหอมยิ้มและเดินผละออกจากโต๊ะอาหารตรงไปหา “คุณองุ่นมาดูแบบเสื้อใหม่เหรอคะ”“ใช่จ้ะข้าวหอม” องุ่นพยักหน้า “ครั้งก่อนชั้นตามสามีเข้าไปกรุงเทพฯ ใส่ชุดของหนูไปงานเลี้ยง มีแต่คนชมชุดหนูนะ รอบนี้สามีมีงานที่กรุงเทพฯ อีก เลยจะมาดูแบบใหม่ ๆ ไว้เตรียมตัว” องุ่นพูดพลางเปิดดูแคตตาล็อกชุดที่วางบนโต๊ะ “จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะจ๊ะ ถ้าร้านหนูอยู่ในกรุงเทพฯ คงมีคนเข้าออกไม่ขาดสายเลยทีเดียว”“ไม่แน่นะคะ หนูอาจย้ายไปในกรุงเทพฯ ก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยด้วยความมั่นใจ ความคิดนี้เคยแวบเข้ามาในหัวเธอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่รอเวลาที่กิจการในอำเภอจะเข้าที่เข้าทางเสียก่อน“จริงเหรอ!” องุ่นอุทานด้วยความแปลกใจระคนยินดี ดวงตาเป็นประกาย“จริงค่ะ แต่อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย” ข้าวหอมอธิบายแผนคร่าว ๆ “เพราะต้องหาที่เปิดร้าน หาพนักงานเพิ่ม และรอจัดระเบียบร้า
“ข้าวหอม อยู่มั้ยจ๊ะ!” เสียงเรียกดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ ข้าวหอม ต้องรีบออกมาดู เจ๊จวง ซึ่งตอนนี้เป็นพันธมิตรคู่ค้าสำคัญของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของข้าวหอมยืนอยู่หน้าบ้าน สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล“อยู่ค่ะเจ๊จวง มีอะไรรึเปล่าคะ อย่าบอกนะว่าชุดล็อตล่าสุดหมดแล้ว” ข้าวหอมทักอย่างอารมณ์ดี เพราะหลังจากโรงงานเสร็จ กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ไปได้ดีมาก ร้านค้าจากในตัวจังหวัดและต่างอำเภอต่างมาสั่งของเพื่อนำไปขาย ส่วนในอำเภอที่ข้าวหอมอยู่ เธอเลือกส่งให้ร้านเจ๊จวงเพียงที่เดียว เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเหลือกันมา“มีปัญหาแล้วล่ะข้าวหอม ดูนี่สิ!” เจ๊จวงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหยิบถุงกระดาษที่ถือมาออกมา แล้วดึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อยู่ในถุงให้ข้าวหอมดูข้าวหอมรับเสื้อมาพินิจ เสื้อที่อยู่ในมือมีตะเข็บที่แตกออก ด้ายที่เย็บบางตัวก็ไม่เรียบร้อย รังดุมบางตัวด้ายก็หลุดรุ่ย เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เจอเสื้อไม่ได้มาตรฐานจากโรงงานของตัวเอง แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เธอก็พบว่ากระดุมที่ใช้ รวมถึงซิปและตะขอ แม้จะมีรูปแบบคล้ายกับของโรงงานเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว“เจ๊ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ข้าวหอมถามเจ๊จวงด้วยความแ
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”เสียงจุดประทัดดังกึกก้องทั่วซอย บ่งบอกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล วันนี้เป็นวันเปิดร้านเสื้อผ้าของข้าวหอม หลังจากที่เธอได้ออกแบบร้านด้วยตัวเองแล้ว ลุงเพิ่มก็จัดหาช่างฝีมือดีมาลงมือก่อสร้างตามแบบที่ได้รับ ร้านของข้าวหอมออกแบบตามรสนิยมและความชอบของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ร้านมีดีไซน์ที่ดูแปลกตา ล้ำสมัย และน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งสบาย มีการจัดวางชุดเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาชม“ข้าวหอม ยินดีด้วยนะจ๊ะ” คุณองุ่น เดินถือแจกันดอกไม้สวยงามเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาภรรยาข้าราชการระดับต่าง ๆ และผู้มีฐานะอีกหลายท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่งเพียงไม่นาน ร้านของข้าวหอมก็ขึ้นชื่อในหมู่คนมีฐานะว่าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ประณีตและออกแบบได้ไม่ซ้ำใคร ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก ช่างตัดเสื้อที่เดิมมีเพียง สาลี่ และแก้ว ซึ่งทำงานกันเองในบ้าน ก็เริ่มจะทำงานไม่ทันตามยอดสั่งซื้อที่เข้ามา ข้าวหอมจึงตัดสินใจขอร้องให้ลุงเพิ่มช่
วันนี้หลังจากเรียน กศน. เสร็จ ทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่บ้าน และเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงงานกลุ่มและการบ้านที่ได้รับมอบหมาย“มันยากจังเลยครับลุง! ยากกว่าตอนเรียนประถมอีก” ธง ที่นั่งก้มหน้าทำการบ้านไปได้สักพักก็บ่นออกมา พร้อมกับทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก แก้วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุดของธง แล้วเริ่มอธิบายตรงจุดที่ธงติดขัดอย่างใจเย็น“อดทนหน่อยนะเจ้าธง” รุจน์ เห็นท่าทางของธงแล้วก็อดปลอบไม่ได้ “อย่างน้อยขอให้ได้วุฒิ ม.3 ไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะเรียนต่อ ปวส. ปวช. หรือจะเรียนสายสามัญต่อ แต่ยังไงก็ต้องเรียนนะ มีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”“ครับลุง ผมจะพยายามครับ” ธงตอบรับรุจน์อย่างคนหมดแรง“ธงอยากทำอะไรในอนาคตเหรอ” ข้าวหอม เอ่ยถามธงขึ้นมาเบา ๆธงนั่งคิดอยู่นานก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันตัวเอง “ไม่รู้สิข้าวหอม ผมไม่เคยมีความคิดความฝันอยากเป็นอะไรเลย ก่อนมาเจอข้าวหอม ผมก็แค่อยากหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปใช้จ่าย ไม่ต้องรบกวนทางบ้านน่ะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าวหอม “แล้วข้าวหอมล่ะ มีความฝันอยากเป็นอะไร?”“ข้าวหอมรักเงิน” ข้าวหอมตอบความฝันตัวเองไปด้วยสายตาเป็นประกายแห่งความสุข “ข้
วันถัดมาหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนายตำรวจจบลง บรรยากาศภายในซอยบ้านของข้าวหอมก็เริ่มคึกคักผิดหูผิดตา มีรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน ข้าวหอมยังคงดำเนินแผนการโชว์สินค้าในรูปแบบเดิม เธอจัดวางเสื้อผ้าบนราวอย่างเป็นระเบียบ แล้วนำมาให้ลูกค้าผู้หญิงที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งทยอยกันเข้ามาชมทีละราว เธออธิบายรายละเอียดของชุดแต่ละชุดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อลูกค้าเลือกชุดที่ถูกใจก็จะเขียนหมายเลขชุดที่ต้องการ ก่อนจะไปวัดตัวกับสาลี่ เพื่อปรับขนาดให้พอดีและจ่ายเงินมัดจำเป็นการยืนยันการสั่งซื้อด้วยความที่การช้อปปิ้งและแฟชั่นคือความชอบส่วนตัวของเธอ ข้าวหอมจึงทำหน้าที่นำเสนอสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไหลลื่น เธออธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส พลางแนะนำจุดเด่นของชุดแต่ละชุดอย่างละเอียดลออ สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชุดสวยแล้ว ยังได้รับคำแนะนำที่เป็นกันเองจากเจ้าของร้านอีกด้วยศจีและรุจน์ มองดูลูกสาวคนเก่งอยู่ห่าง ๆ จากมุมหนึ่งของห้องโถง ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ส่วนสายเมฆนั้น เขายืนพิงกรอบประตู มองดูข้าวหอมที่กำลั