เมื่อศจีกับรุจน์รับประทานอาหารเช้าที่สายเมฆจัดเตรียมให้อย่างเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงล้อมข้าวหอมและสายเมฆอยู่
“คุณคะ ทำไมคนมารุมข้าวหอมกับสายเมฆแบบนั้นล่ะ ลูกเราไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย” ศจีถามรุจน์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวล รุจน์เพ่งมองไปยังกลุ่มคนก่อนจะหันมาตอบศจี “ไม่น่าใช่นะแม่ ดูเหมือนทุกคนกำลังคุยกับยัยหนูและสายเมฆดี ๆ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะอะไรกันเลย แต่ก็แปลกที่ทำไมชาวบ้านถึงมาคุยกับยัยหนูกันเยอะแยะขนาดนั้น” ไม่รอให้รุจน์คิดหาสาเหตุ ศจีก็คว้าแขนรุจน์ลงบันไดไปตรงรี่เข้าไปหาข้าวหอมและสายเมฆทันที ป้าแจ่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่เห็นสองสามีภรรยาเดินมาก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม “แกสองคนนี่เลี้ยงยัยข้าวหอมไม่เสียทีจริง ๆ นะ วันนี้เริ่มช่วยหาเงินหาทองได้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะเลี้ยงให้เป็นเด็กไม่เอาไหนเสียอีก ที่ไหนได้ นางก็มีความรู้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกันนะเนี่ย” ป้าแจ่มกล่าวชื่นชมปนแปลกใจ ศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความงุนงง ‘อะไรคือข้าวหอมหาเงิน? หรือลูกเราแอบเอาอะไรในบ้านมาขายอีกแล้วเนี่ย’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของทั้งคู่ ข้าวหอมเห็นพ่อกับแม่เดินมาก็รีบเดินไปหา พร้อมกับชูสมุดจดออเดอร์ที่อยู่ในมือให้ทั้งสองดูด้วยความภาคภูมิใจ “พ่อขา แม่ขา ดูสิคะ! มีคนสั่งซื้อที่ตากเนื้อแห้งเยอะเลยค่ะ!” ศจีและรุจน์เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดและเห็นสมุดจดออเดอร์ในมือลูกสาว ก็ยิ้มออกด้วยความปลาบปลื้มใจในตัวลูกสาวอย่างที่สุด แต่ก็ยังเหลือความกังวลว่าลูกสาวไปรับออเดอร์มาแบบนี้ ถ้าทำไม่ได้ลูกสาวจะโดนว่าหรือเปล่า หลังจากชาวบ้านสั่งที่ตากเนื้อแห้งเสร็จเรียบร้อย ก็ทยอยกันไปทำนาตามปกติ รุจน์กับศจีตกลงกันว่าวันนี้จะไปที่นาช้าสักหน่อย เพราะอยากคุยกับลูกเรื่องการขายของที่เพิ่งเกิดขึ้น “ข้าวหอม ไหนลูกเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยซิ” รุจน์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสงสัย “คือว่าเมื่อคืนพี่สายเมฆเขาชวนข้าวหอมให้ลองเอาที่ตากเนื้อแห้งมาให้ชาวบ้านดูค่ะ เผื่อชาวบ้านจะสนใจจะได้ทำขาย ทีแรกข้าวหอมไม่เชื่อเลยนะคะว่าจะขายได้จริง ๆ” ข้าวหอมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่เพิ่งทำสำเร็จ “แล้วลูกจะทำให้ชาวบ้านได้จริง ๆ เหรอ” ศจีถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง พูดตามตรงเธอไม่คิดว่าลูกสาวจะทำอะไรได้นาน “ถ้าหนูทำไม่ได้แล้วไปบอกยกเลิกก็ยังทันนะ แม่ไม่อยากให้ใครมาว่าข้าวหอมทีหลัง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ข้าวหอมจะทำแบบขอไปทีไม่ได้นะลูก” ศจีกลัวว่าถ้าข้าวหอมเบื่อแล้วเลิกกลางคันเหมือนที่เคยทำมา ชาวบ้านคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่ ๆ สายเมฆเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของศจี เขาจึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับข้าวหอมจะช่วยกันทำให้ออกมาดีที่สุดครับ” ศจีมองหน้าสายเมฆ เมื่อเขาเป็นคนรับปากเอง เธอก็คลายความกังวลใจลงไปได้เปลาะหนึ่ง รุจน์เห็นว่าเริ่มสายแล้ว จึงชวนศจีออกไปที่นาก่อน “ไปเถอะแม่ เดี๋ยวสายมากแล้ว” หลังจากเดินออกจากบ้าน ศจีก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอหันไปเอ่ยกับรุจน์อีกครั้ง “คุณไม่ห่วงยัยหนูเลยเหรอคะ” รุจน์ส่ายหัวช้า ๆ “ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงหรอกนะ แต่ผมว่าถึงเวลาที่เราควรฝึกให้ลูกโตได้แล้ว ไม่เห็นเหรอขนาดป้าแจ่มยังชมยัยหนูเลยนะ ครั้งนี้เราลองเชื่อใจลูกดีกว่า ต่อให้มีข้อผิดพลาดก็ยังมีเราช่วยเหลือได้ อีกอย่างสายเมฆเขาก็รับปากแล้วนี่นาว่าจะช่วยดู ผมว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นคนใช้ได้เลยนะ เขาไม่น่าจะปล่อยให้ยัยหนูเราผิดพลาดหรอก” พูดจบรุจน์ก็ดึงศจีเข้ามาโอบเบาๆ พลางลูบไหล่ปลอบโยน มอบความอบอุ่นและมั่นใจให้กับภรรยา เมื่อพ่อกับแม่เดินทางไปที่นาข้าวแล้ว ข้าวหอมกับสายเมฆก็เริ่มต้นลงมือวางแผนการจัดทำที่ตากเนื้อแห้งตามออเดอร์ที่ได้รับมาอย่างกระตือรือร้น “ทั้งหมด 23 อันเชียวนะคะพี่สายเมฆ” ข้าวหอมกวาดสายตาตรวจดูผ้าตาข่ายและอุปกรณ์ที่เหลืออยู่ “ดูแล้วผ้าตาข่ายเราไม่น่าจะพอค่ะพี่ เดี๋ยวเราลองไปดูที่ร้านชำในหมู่บ้านกันนะคะ” “ได้สิ อุปกรณ์ครบจะได้ลงมือทำทีเดียวเลย” สายเมฆตอบรับทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “แต่พี่ว่าพี่ไปคนเดียวดีกว่านะ ที่บ้านไม่มีรถ เดินไปข้าวหอมจะเหนื่อยเปล่า ๆ ข้าวหอมแค่บอกทางพี่มาก็พอ” สายเมฆอาสาที่จะไปเอง เพราะรู้ดีว่าข้าวหอมไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล “ได้ยังไงล่ะคะพี่สายเมฆ!” ข้าวหอมโต้แย้งทันควัน ดวงตาโตมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมกันต้านสิคะ ข้าวหอมไม่อยากเอาเปรียบพี่!” เมื่อสายเมฆเห็นว่าโต้เถียงไปก็คงไม่ได้ผล แถมจะทำให้เสียเวลาลงมือทำไปอีก เขาจึงยอมตกลง เดินไปร้านชำพร้อมกับข้าวหอมในที่สุด ทั้งคู่เดินเท้าออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำที่ใกล้ที่สุด ซึ่งระยะทางก็ราวๆ หนึ่งกิโลเมตรกว่า ๆ ข้าวหอมที่แทบไม่เคยเดินไกลขนาดนี้ เริ่มออกอาการเหนื่อยหอบ ‘ฉันไม่น่าจะมาร่วมทุกข์ด้วยเลยจริงๆ! รอนั่งร่วมสุขที่บ้านสบายๆ ก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ’ เธอคิดในใจอย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายเมฆที่เดินนำหน้าไปอย่างไม่ย่อท้อ เธอก็รู้สึกกระตุ้นตัวเองให้ก้าวต่อไป เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดพราวบนหน้าผากเนียนของข้าวหอม สายเมฆที่เดินอยู่ข้าง ๆ เห็นเข้าก็รู้สึกสงสารอย่างจับใจ เขาเอื้อมมือขึ้นปาดเหงื่อที่ขมับของเธออย่างแผ่วเบาด้วยความไม่รู้ตัว “อี๋! พี่ทำอะไรเนี่ย!” ข้าวหอมรีบเอ็ดกลับทันทีตามนิสัยเดิมที่เคยเป็นมา ก่อนจะชักสีหน้าด้วยความรังเกียจเล็กน้อย “มือสกปรกรึเปล่าก็ไม่รู้!” เธอรีบใช้หลังมือปาดเหงื่อออกเองอย่างรวดเร็ว พลางรู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่เขาไป ทั้ง ๆ ที่เขากำลังทำดีด้วย สายเมฆชะงักมือค้างอยู่กลางอากาศเล็กน้อย ดวงตาคมกริบเบิกกว้างด้วยความตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเองและท่าทีของข้าวหอม ‘นี่เราทำอะไรลงไปวะเนี่ย? ปกติเราเคยห่วงใยคนอื่นถึงขั้นลงมือเช็ดเหงื่อให้แบบนี้ด้วยเหรอ?’ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจเขาอย่างเงียบ ๆ หรือนี่เป็นความรู้สึกผูกพันกันของพวกมนุษย์กันนะ? ทั้งสองคนเดินกันมาได้สักพักใหญ่ ๆ ท่ามกลางแดดยามเช้าที่เริ่มจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อซึมตามแผ่นหลังของข้าวหอม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน ร้านที่ดูเก่าแก่แต่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับชาวบ้าน วางเรียงรายอยู่บนชั้นไม้ฝุ่นจับบาง ๆ “อ้าว ข้าวหอม! ทำไมเดินมาได้ล่ะลูก!?” เสียงทุ้มแหบพร่าของ ลุงเพิ่ม เจ้าของร้านชำดังขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเดินมาถึงร้านด้วยตัวเอง “ละนั่นใครกันล่ะ?” ลุงเพิ่มเลิกคิ้วมองสายเมฆที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ข้าวหอมด้วยความสงสัย “คนนี้ชื่อพี่สายเมฆค่ะลุงเพิ่ม” ข้าวหอมตอบอย่างกระตือรือร้น “เป็นหลานของแม่ เขาเพิ่งมาอยู่ด้วยค่ะ” เธอกวาดตามองหาสิ่งที่ต้องการบนชั้นวางของ “ว่าแต่ลุงเพิ่มคะ ลุงพอจะมีผ้าตาข่ายรึเปล่าคะ?” ลุงเพิ่มที่ยังคงงุนงงเล็กน้อยกับคำตอบ แต่ก็รีบเดินไปหยิบผ้าตาข่ายม้วนใหญ่ที่เก็บไว้หลังร้านออกมาให้ “มีสิหนู จะเอาเท่าไหร่ล่ะ?” ข้าวหอมหันไปมองสายเมฆเพื่อขอความเห็น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างที่สายเมฆเองก็รู้สึกประหลาดใจ “เอาทั้งหมดเลยครับลุงเพิ่ม” สายเมฆตอบกลับลุงเพิ่มด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ดูจริงจัง ลุงเพิ่มถึงกับทำหน้าตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง “ข้าวหอม! เอาไปทำไมเยอะแยะลูก! แล้วนี่พ่อแม่รู้รึเปล่าว่าข้าวหอมมาซื้อของที่ร้านลุงตั้งเยอะขนาดนี้?” ลุงเพิ่มเริ่มชักจะไม่แน่ใจว่าข้าวหอมจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา เด็กคนนี้ก็สร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว “ข้าวหอมจะเอาไปทำที่ตากเนื้อแห้งค่ะลุง!” ข้าวหอมรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน แฝงด้วยความภูมิใจ “พ่อกับแม่ข้าวหอมรู้เรื่องแล้วค่ะ ไม่เชื่อลุงก็ถามพี่สายเมฆสิคะ!” สายเมฆยิ้มบาง ๆ ให้ลุงเพิ่มอย่างใจเย็น รอยยิ้มที่ดูจริงใจและน่าเชื่อถือนั้นทำให้ลุงเพิ่มรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ใช่แล้วครับลุงเพิ่ม พวกผมจะเอาไปทำที่ตากเนื้อแห้ง ลุงรุจน์กับป้าศจีรู้เรื่องแล้วครับ” แม้ลุงเพิ่มจะไม่ค่อยอยากขายให้มากนัก เพราะความไม่เชื่อใจในตัวข้าวหอมที่เคยทำเรื่องแปลก ๆ มาหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่น่าเชื่อถือของสายเมฆ ซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ ลุงเพิ่มก็ตัดสินใจยินยอมขายผ้าตาข่ายทั้งหมดให้ในที่สุด สายเมฆเหลือบมองข้าวหอมที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ แววตาของเขาอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เขาเริ่มรู้สึกว่าการอยู่เคียงข้างและคอยสนับสนุนข้าวหอมแบบนี้... ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักเมื่อศจีกับรุจน์รับประทานอาหารเช้าที่สายเมฆจัดเตรียมให้อย่างเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงล้อมข้าวหอมและสายเมฆอยู่“คุณคะ ทำไมคนมารุมข้าวหอมกับสายเมฆแบบนั้นล่ะ ลูกเราไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย” ศจีถามรุจน์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลรุจน์เพ่งมองไปยังกลุ่มคนก่อนจะหันมาตอบศจี “ไม่น่าใช่นะแม่ ดูเหมือนทุกคนกำลังคุยกับยัยหนูและสายเมฆดี ๆ ไม่มีทีท่าจะทะเลาะอะไรกันเลย แต่ก็แปลกที่ทำไมชาวบ้านถึงมาคุยกับยัยหนูกันเยอะแยะขนาดนั้น”ไม่รอให้รุจน์คิดหาสาเหตุ ศจีก็คว้าแขนรุจน์ลงบันไดไปตรงรี่เข้าไปหาข้าวหอมและสายเมฆทันทีป้าแจ่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่เห็นสองสามีภรรยาเดินมาก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม“แกสองคนนี่เลี้ยงยัยข้าวหอมไม่เสียทีจริง ๆ นะ วันนี้เริ่มช่วยหาเงินหาทองได้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะเลี้ยงให้เป็นเด็กไม่เอาไหนเสียอีก ที่ไหนได้ นางก็มีความรู้ความสามารถทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกันนะเนี่ย” ป้าแจ่มกล่าวชื่นชมปนแปลกใจศจีและรุจน์มองหน้ากันด้วยความงุนงง ‘อะไรคือข้าวหอมหาเงิน? หรือลูกเราแอบเอาอะไรในบ้านมาขายอีกแล้วเนี่ย’ ค
เช้าวันถัดมา ข้าวหอมซึ่งนัดแนะกับสายเมฆว่าวันนี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยกันทำกับข้าวให้พ่อแม่กินก่อนออกไปทำนา หลังจากนั้นทั้งสองจะทำการตากเนื้อแห้ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมของก่อนออกไปทำงาน“นี่พี่สายเมฆ... พี่ว่าวิธีของพี่มันจะได้ผลจริง ๆ เหรอคะ” ข้าวหอมถามย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความลังเลในแผนการของสายเมฆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ลงมือทำกิจการของตัวเองจริงๆ มันเลยรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเป็นพิเศษสายเมฆรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยที่ข้าวหอมเรียกเขาว่าพี่แล้ว“ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปลองกันเลย” สายเมฆที่ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี ยื่นมือมาจับข้อมือของข้าวหอมเบา ๆ แล้วดึงให้ลงไปข้างล่างตรงโต๊ะกลางบ้าน มีที่ตากเนื้อแห้งหลายขนาดวางเรียงรายอยู่ ข้าวหอมและสายเมฆช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งไว้ตรงแถวรั้วบ้าน เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งคู่ช่วยกันนำเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำมาวางบนชั้นของที่ตากเนื้อแห้ง จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบทีละชั้นช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านในหมู่บ้านกำลังจะเดินทางออกไปทำนาพอดี ป้าแจ่ม เจ้าข
ตกเย็น หลังจากศจีและรุจน์กลับมาจากนาของป้าแจ่ม ข้าวหอมก็รีบวิ่งไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใส เธอแทบจะตรงเข้าไปกอดทั้งสองไว้ด้วยความคิดถึงระคนดีใจที่ได้เห็นพ่อกับแม่ในภพนี้ยังคงอยู่เคียงข้างเธอ“พ่อขา แม่ขา ข้าวหอมมีอะไรจะอวดค่ะ!” ข้าวหอมพูดพลางยกที่ตากเนื้อแห้งขึ้นมาอย่างภูมิใจให้พ่อกับแม่ดู“มันคืออะไรกันข้าวหอม?” รุจน์รับที่ตากเนื้อแห้งมาพิจารณาในมือ มันเป็นโครงที่ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ไผ่เหลาอย่างปราณีต มีที่วางเป็นชั้นสองชั้น และถูกคลุมด้วยผ้าตามุ้งอย่างมิดชิด ด้านบนมีตะขอและเชือกสำหรับใช้ห้อยแขวน“นี่คือที่ตากเนื้อของแม่ไงคะ! ทีนี้แม่จะตากเนื้อเยอะแค่ไหนก็ได้แล้ว แถมยังแขวนไว้ในที่สูง ๆ เจ้าหมาก็แอบขโมยกินไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!” ข้าวหอมพรีเซนต์อุปกรณ์ชิ้นใหม่ให้รุจน์ฟังอย่างกระตือรือร้น“แถมมุ้งที่คลุมนี้ก็ช่วยป้องกันแมลงวันได้ด้วยนะคะ! ตอนนี้หน้าร้อน เราต้องรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไม่งั้นท้องร่วงแล้วจะลำบากแย่เลยค่ะ!”“อ่อ... ที่สายเมฆเขาทำตอนเช้าน่ะเหรอลูก” ศจีเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้าขอบคุณสายเมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกล“หนูก็ทำด้วยนะคะ! หนูเสนอความคิดว่าควรทำเป็นสองชั้นด้วยซ้
“งั้นผมขออนุญาตทำให้คุณป้าลองใช้ดูนะครับ” เสียงทุ้มของสายเมฆดังเข้ามาถึงในห้องนอน ทำให้ข้าวหอมที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต้องงัวเงียเล็กน้อย เธอพลิกตัวบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงนอนไม้เก่า ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก‘เจ้ามิจฉาชีพนั่นมาหลอกอะไรคุณแม่อีกแล้วเนี่ย ดีนะที่ฉันตื่นมาพอดี ไม่งั้นมีหวังแม่ต้องโดนหลอกจนหมดตัวแน่ ๆ !’ ข้าวหอมคิดอย่างขุ่นเคือง เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอก็รีบเปิดประตูห้องพรวดพราดออกไปแทบจะทันทีในห้องครัว แม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเช้า ส่งกลิ่นหอมของข้าวต้มและกับข้าวอ่อนๆ คลุ้งไปทั่ว ส่วนสายเมฆก็กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ เตาไฟ“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะแม่?” ข้าวหอมถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มอีกคนได้ยิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องเขม็งไปยังสายเมฆอย่างไม่วางตา แววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจฉายชัดเจนจนใครก็ดูออก‘ยัยเด็กบ้านี่… มองฉันแบบนี้อีกแล้วนะ! ฉันกำลังช่วยแม่เธออยู่นะเนี่ย!’ สายเมฆไม่ได้ตอบโต้คำถามของข้าวหอม เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำที่ตากเนื้อแห้งต่อ เพียงแต่ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างอดกลั้นศจี จึงหันมาตอบลูกสาว
หลังจากที่ ศจี แนะนำให้ข้าวหอมรู้จักกับชายหนุ่มผู้มาใหม่แล้ว เธอก็เล่าเรื่องราวต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่า วันนี้ตอนที่เธอกับสามีกำลังจะเดินทางกลับจากทุ่งนา ก็พบกับชายหนุ่มคนนี้ นอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่ที่คันนา ตอนแรกก็ตกใจคิดว่ามีคนฆ่าแล้วนำศพมาทิ้งไว้เสียอีก เพราะการแต่งตัวของเขาดูแปลกตา ไม่เหมือนคนแถวนี้เลยแม้แต่น้อย พอพลิกตัวมาดูก็ถึงได้รู้ว่ายังไม่ตาย จึงรีบช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงได้ความว่าเขาเป็นลมไปเพราะไม่ได้กินข้าว รุจน์ผู้เป็นพ่อจึงชวนให้เขามารับประทานอาหารที่บ้านด้วยความเห็นอกเห็นใจ ‘เดี๋ยวนะ! นี่พ่อแม่ฉันในชาตินี้ไว้ใจคนง่ายไปรึเปล่าเนี่ย?!’ ข้าวหอมฟังที่แม่เล่าแล้วถึงกับคิดในใจอย่างหัวเสีย ‘มิจฉาชีพบางทีก็เอาหน้าตาดี ๆ แบบนี้แหละเข้ามาหลอกลวงนะ!’ เธอพลันรู้สึกว่าตัวเองจะต้องรีบ ปฏิวัติความคิดของคนในครอบครัวเสียใหม่ โดยด่วนที่สุด ในขณะที่ข้าวหอมกำลังครุ่นคิดถึงแผนการปฏิวัติครอบครัวอยู่นั้น สายตาของเธอก็พลันเหลือบไปมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำภายใต้เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเล็กน้อยจากการดับไฟ เผยให้เห
ข้าวหอมพยายามทำความเข้าใจและยอมรับสภาพชีวิตใหม่ที่รายล้อมตัวเธอ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกขัดแย้งและไม่คุ้นเคยกับความไม่สะดวก แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้ให้ได้ ‘อย่างน้อยเราก็ยังมีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลไปนะข้าวหอม!’ เธอพยายามปลอบใจตัวเองด้วยความคิดบวก แม้ความกังวลจะยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน ความเงียบที่โรยตัวลงมาทำให้ข้าวหอมรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ปกติแล้วท่านทั้งสองไม่เคยกลับดึกเช่นนี้ เพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งให้ข้าวหอมอยู่บ้านคนเดียว เธอเดินวนไปมาในบ้านด้วยใจที่ร้อนรุ่ม พลางคิดไปต่างๆ นานา ‘มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือเปล่า’ ความรู้สึกว้าวุ่นใจถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่จะกังวลไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าวหอมตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เธอเดินตรงไปยังห้องครัวที่มืดสลัว สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ห้องเพื่อมองหาสิ่งที่พอจะนำมาทำอาหารรอพ่อกับแม่ได้ ในมุมหนึ่งของห้อง เธอเห็นข้าวสารเหลืออยู่ประมาณครึ่งถัง ถัดไปไม่ไกล มีไข่ไก่เหลืออยู่หกฟอง