LOGINอวี้เฟิ่งก้าวเดินออกจากห้องของหย่งเยี่ยในชุดเหมือนพ่อบ้าน ชุดที่ใส่นั้นออกเป็นสีม่วงอ่อน อวี้เฟิ่งจึงมาหาหย่งเยี่ยที่ใส่ชุดสีน้ำตาลคล้ายกับนาง อวี้เฟิ่งจึงอดถามไม่ได้ว่าจะไปไหน
“กงกง ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าจะพาข้าไปไหน” “พาเจ้าไปเปิดหูเปิดตานอกวัง” “แล้วต้าหวางทรงไม่ว่าท่านหรือ” อวี้เฟิ่งถามด้วยความแปลกใจนี้เป็นกฎไม่ให้ใครออกนอกวังโดยไม่ได้รับอนุญาต ยิ่งเป็นถึงมหาขันทีที่พานางหลบหนีออกไปนอกวังนางกลัวว่าจะมีความผิด และมีโทษหนัก “ไม่เป็นไรน่า แค่อยากหาเพื่อนไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับ ไปเถอะเพลาไม่คอยท่า” หย่งเยี่ยจับแขนอวี้เฟิ่ง อวี้เฟิ่งจึงเดินตามแรงของหย่งเยี่ย อวี้เฟิ่งรู้จากเหล่าขันทีใต้อาณัติของหย่งเยี่ย หรือหย่งกงกง ท่านเคร่งครัดกฎระเบียบอย่างมาก ขนาดพวกขันทีผู้น้อยทำผิดเพียงเล็กน้อยยังต่อว่าครึ่งวัน แต่เหล่าขันทีเหล่านั้นรักและเคารพหย่งเยี่ยเช่นอาจารย์ที่เคารพนับถือ อวี้เฟิ่งได้เข้าวังมายังได้รับการสั่งสอนจากหย่งเยี่ยมาไม่น้อย เช่นการวางตัวต่อหน้าพระพักตร์ของต้าหวาง อีกทั้งหย่งเยี่ยยังสอนการชงชา เป็นศาสน์อย่างหนึ่งที่นางชอบยิ่งนัก ต้าหวางทรงโปรดชากลิ่นดอกกุ้ย และขนมดอกท้อ หย่งเยี่ยสั่งสอนนางจนนางทำออกมาเป็นที่พึงใจของต้าหวาง แต่ว่าต้าหวางทรงไม่โปรดน้ำจัณฑ์ อวี้เฟิ่งจึงไม่เคยถวายสักครั้งเดียว อวี้เฟิ่งก้าวเดินตามมหาขันทีหย่งเยี่ย อวี้เฟิ่งมองว่าทางนี้เป็นหลังวัง นางจึงก้าวผ่านประตูเห็นม้าสี่ตัวผูกไว้ จ้าวเสิ่นราชองครักษ์ให้หญ้าม้ากิน ต้าหวางทรงดำเนินออกจากซอกกำแพงวัง ทอดพระเนตรมาทางนาง ทำให้นางตกใจไม่น้อย หวังจะวิ่งกลับเข้าไปในวัง แต่ต้าหวางทรงจับมือของนางไว้ “เสี่ยวเฟิ่ง เจ้าจะไปไหน” เมื่อต้าหวางทรงตรัสเช่นนั้น อวี้เฟิ่งเกิดอาการเกรงกลัว ประหนึ่งว่าเหมือนกับเด็กหนีเที่ยว เมื่อครั้งนางยังเล็กนางหนีเที่ยวทีไร เตี่ยจะจับนางตีก้นประจำ อวี้เฟิ่งคิดว่าถ้าหนีเที่ยวไปกับใต้เท้าหย่งเยี่ย เป็นการคิดผิดหรือไม่ “ต้าหวาง ท่านอย่าทรงลงอาญาหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันจะไม่หนีเที่ยวอีกแล้ว” อวี้เฟิ่งสะบัดมือให้หลุดจากต้าหวาง แต่พระองค์จับมือไว้แน่น “ขึ้นม้า” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อวี้เฟิ่งคิดต่อ ต้าหวางต้องพานางไปโบยแน่ อวี้เฟิ่งจำได้ว่าเมื่อวันก่อนทำถ้วยชาหยกลายมังกรตกแตก ที่เป็นเครื่องบรรณาการจากเผ่ารุ่ยฮก นางคิดว่าต้าหวางต้องทรงรู้เรื่องนี้แน่แท้ จึงหาเรื่องทำโทษนาง อวี้เฟิ่งจึงรีบเอ่ยรับสารภาพความผิดก่อน โทษหนักจะได้เป็นเบา “ต้าหวาง เมื่อวันวานหม่อมฉันทำถ้วยแก้วหยกแตกเพคะ ถ้าจะลงโทษ อวี้เฟิ่งให้พระองค์ตีมือเบาๆ นะเพคะ หม่อมฉันกลัวเจ็บ” อวี้เฟิ่งไม่พูดเปล่ายื่นมือ อีกทั้งกางมือสองข้างให้ต้าหวางทรงตี ต้าหวางทรงแย้มพระโอษฐ์ ดีดหน้าผากนางหนึ่งที อวี้เฟิ่งลูบหน้าตัวเองด้วยความเจ็บ “ต้าหวางหม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” อวี้เฟิ่งเอามือปิดหน้าผากตัวเอง แล้วจึงถอยห่างจากต้าหวาง ต้าหวางทรงแย้มพระโอษฐ์ อีกทั้งทรงตรัสต่อนาง “ขึ้นม้า” ต้าหวางทรงดำรัส อีกทั้งทรงขึ้นม้า ราชองครักษ์และมหาขันทีหย่งเยี่ยจึงขึ้นม้าอีกคนละตัว อวี้เฟิ่งจึงขึ้นม้าอีกตัวที่ว่าง ทั้งสี่จึงเดินทางออกจากประตูหลังวัง อวี้เฟิ่งควบม้าออกจากพระราชวังไม่นาน นางเห็นทุ่งหญ้าระหว่างทาง ชาวไร่ทำนาทำไร่ ไพร่ฟ้าอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อาจเป็นเพราะบารมีของต้าหวางแคว้นเฉิน ต้าหวางดำริว่าเมื่อว่างเว้นจากราชการงานศึก ทรงให้ราษฎรที่อยากกลับบ้านเกิด ก็ทรงให้กลับไปทำไร่ ทำสวน ถ้าหากสมัครใจเข้ากองทัพ พระองค์ก็บำรุงพวกเขา และครอบครัวให้เป็นอย่างดี เพื่อได้รับใช้บ้านเมืองได้เต็มที่ ส่วนเรื่องส่งส่วยให้พระท้องพระคลัง พระองค์ทรงให้เก็บแค่แปลงละหนึ่งตำลึงเงิน เพื่อเอาเงินไปบำรุงกองทัพให้แข็งแกร่ง เนื่องด้วยทางชายแดนยังมีข้าศึกศัตรูยังคอยเข้ามารุกรานเสมอ เมื่อม้าอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งดูไม่ค่อยใหญ่นัก แต่สามารถมีถึงสิบห้อง มหาขันทีหย่งเยี่ยเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ไม่ช้าเถ้าแก่จึงเดินออกมา พร้อมกับกุญแจและส่งให้หย่งเยี่ย เถ้าแก่จึงเดินจากไปไม่พูดไม่จาทำให้อวี้เฟิ่งสงสัยยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพลาต่อมา เมื่อถึงยามเย็นสายัณห์มาเยือน อวี้เฟิ่งปรุงอาหารเสร็จ พอดีว่าด้านข้างเป็นทะเลสาบ ต้าหวางจึงเสด็จไปตกเบ็ด กับใต้เท้าทั้งสอง จึงได้ปลานัยมาสองตัว เป็นปลานัยตัวใหญ่เลยทีเดียว เป็นเพราะฝีพระหัตถ์ของต้าหวางล้วนๆ ส่วนใต้เท้าทั้งสองก็ได้ปลาตัวเล็กมาอีกหลายตัว อวี้เฟิ่งมองปลานัยตรงหน้า แล้วจึงคิดหาวัตถุดิบในครัว นางเห็นว่ามีของหลายอย่างที่คิดว่าทำได้ จึงคิดทำปลานึ่งบ๊วย ปลาเปรี้ยวหวาน และผัดผักสักสองอย่าง ถวายให้ต้าหวางและใต้เท้าทั้งสอง อวี้เฟิ่งทำเสร็จ หย่งเยี่ยคอยช่วยนางเป็นลูกมือ จึงยกอาหารทั้งสามอย่างออกมาถวายต้าหวาง ขณะที่พระองค์ทรงเสวยน้ำชาอยู่ที่ชานพักใหญ่ด้านนอก ต้าหวางทรงทอดพระเนตรอาหารที่อวี้เฟิ่งทำออกมาทั้งสี่อย่าง ทรงใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาแล้วทรงเสวย อวี้เฟิ่งมองด้วยใจจดจ่อว่าต้าหวางจะทรงดำรัสว่าเช่นไร “ใครสอนเจ้าทำอาหารพวกนี้” เมื่อต้าหวางทรงตรัสถามเช่นนี้ อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยบอกให้ต้าหวางสดับ อีกทั้งยังรินชาถวายต้าหวาง “หม่อมฉันเรียนรู้จากสาวใช้ หม่อมฉันทำอาหารได้หลายอย่าง แต่ว่าเป็นความรู้เล็กน้อย ถ้าคิดดูแล้วอาหารของหม่อมฉัน ยังสู้อาหารชาววังนั้นมิได้” อวี้เฟิ่งเอ่ยกล่าว ทว่ากำลังเดินมาที่ด้านหลังเพื่อเอากาชาวางกลับสะดุดขาตนเอง แต่ต้าหวางทรงไวกว่านาง ทรงใช้พระหัตถ์คว้าบั้นเอวนางไว้ ก่อนที่นางจะล้มลงไป อวี้เฟิ่งสบพระพักตร์ที่งดงามราวกับว่านางฝันไป นางมองพระพักตร์อยู่เช่นนี้ โดยพิจารณาว่า พระพักตร์งดงามดุจเทพเซียนในภาพวาด อีกทั้งเกศานิล มืดสนิทยาวเงางดงาม นางคิดว่า จะมีบุรุษใดงดงามได้เท่านี้หรือไม่ “เจ้าจะกอดข้าอีกนานไหม” ต้าหวางทรงดำรัสเช่นนี้อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัวไปว่า “ต้าหวางเองเป็นคนจับตัวหม่อมฉันไม่ยอมปล่อย” อวี้เฟิ่งกล่าวเช่นนี้ ต้าหวางทรงปล่อยนางทันที ทำให้อวี้เฟิ่งล้มลงกับพื้น อีกทั้งก้นของนางลงกระแทกเต็มๆ อวี้เฟิ่งเห็นว่าสองใต้เท้าไม่อยู่นางจึงโล่งใจ อวี้เฟิ่งจะประคองตัวเองขึ้น ต้าหวางทรงส่งพระหัตถ์ให้ อวี้เฟิ่งเห็นพระหัตถ์ที่พระองค์ส่งมา อวี้เฟิ่งกัดฟันพูด “ไม่ต้อง” อวี้เฟิ่งกล่าวจบ จึงลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง แล้วจึงเดินออกไป ต้าหวางทรงทอดเห็นเช่นนี้ ทรงแย้มพระโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อยหวางโฮ่วทรงประทับยืนทอดพระเนตรมองต้าหวางจากพระบัญชร กงจู่ก้าวทรงย่างพระบาทเข้ามาหาพระนาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ถาม เมื่อมาประทับเยื้องด้านขวาของพระนาง “เหนียงชิน จะไม่ทรงพูดคุยกับฟู่จวินหรือเพคะ”ทันใดนั้นสุรเสียงของต้าหวางดังขึ้นเรียกความสนใจให้หวางโฮ่วและกงจู่“ดื่มเหล้าพันจอกมิรู้เมา เท่ากับเมารักพันปีมิรู้ลืม ถึงทรมานปานใดไม่ท้อถอย แม้ตัวตายข้าขอมิหวั่นเกรง”เมื่อพระนางได้สดับเช่นนี้ ทรงดำริได้ถึงครั้งที่ทรงเมามาย เมื่อต้าหวางทรงรับอิ๋งฟูเหรินมาเป็นฟูเหรินของพระองค์ เมื่อพระนางทรงบ่นรำพัน และตัดพ้อพระองค์ไปครั้งนั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงรับพระนางมาเป็นกุ้ยเฟย เข้ามาอยู่ในหยางหมิงกงจนถึงทุกวันนี้หวางโฮ่งทรงเสด็จลงมาจากเรือนพักของกงจู่ ทรงย่างก้าวย่างพระบาทดำเนินเข้ามาหาตรงพระพักตร์ของต้าหวาง พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระนาง หวางโฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระองค์ทรงลุกขึ้นยืน ต้าหวางทรงทอดพระเนตรเช่นนี้จึงจับพระหัตถ์ของหวางโฮ่ว แล้วจึงลุกขึ้น ต้าหวางทรงมีตรัสต่อพระนาง“กลับวังกับข้าน่ะ”“หม่อมฉันก็สุขสบายดีแล้วเพคะ” หวางโฮ่วทรงดำรัสต่อพระองค์ ต้าหวางจึงจับพระหัตถ์พระนาง แล้วทรงตรัสถาม“เจ้ายังโกรธ
ต้าหวางลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งหึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณเขาทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” ต้าหวางทรงดำริถึงนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอหวางโฮ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกสนใจในตัวนางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจร
“หวางโฮ่ว” ต้าหวางทรงดำรัสด้วยสุรเสียงดุดัน“มีอะไรเพคะ หรือว่าจะทรงลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ” หวางโฮ่วกล่าวด้วยสุรเสียงช้าๆ แต่ต้าหวางทรงตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาต่อพระนาง“เจ้าฆ่านางทำไม ข้าไม่เคยเอาหญิงใดมาตีเสมอเจ้า และชาตินี้ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่เป็นฟูเหรินของข้ามาตลอด ถึงข้าจะเคยมีฟูเหรินถึงสองคน แต่ไม่ยกนางให้สูงถึงขั้นสนม แต่ทำไมเจ้าต้องฆ่านาง ทั้งที่นางกับข้าบริสุทธิ์ใจไม่ได้กระทำอย่างชู้สาว”หวางโฮ่วทรงประทับยืน แล้วหันมาหาต้าหวาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ “ถ้านางเป็นนางกำนัลต่ำศักดิ์จริงๆ พระองค์คงไม่มาทรงพิโรธหม่อมฉันแบบนี้แน่”“เจ้า…ไป๋อวี้เฟิ่ง พอได้แล้ว หกตำหนักว่างเปล่าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ อีกทั้งคนในสกุลจางที่ตายไปทั้งครอบครัวโดยคำสั่งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะฆ่าจางเฉา เหตุใดไม่ฆ่าเขาเพียงคนเดียว ทำไมต้องให้ผู้คนเหล่านั้นต้องตายด้วย”หวางโฮ่วทรงพระราชดำรัสต่อต้าหวางอย่างไม่ยำเกรง“เช่นนั้น ถ้าทรงดำริว่าหม่อมฉันทำผิดก็ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งหวางโฮ่วเลยเพคะ และหม่อมฉันจะไม่วุ่นวายอีก” “นี่เจ้า ได้เพราะข้าก็ตามใจเจ้ามาตลอดอยู่
ต้าหวางทรงตื่นบรรทมรุ่งสาง อีกแค่หนึ่งยามก็จะเข้าประชุมเช้า ทว่าทรงเห็นไม่เห็นหวางโฮ่ว มีเพียงหย่งเยี่ยที่เข้ามาพร้อมกับถ้วยชา ต้าหวางทรงมึนพระเศียรเมื่อลุกขึ้นมาประทับนั่ง แล้วจึงตรัสถาม“หวางโฮ่ว นางไปไหน” “หม่อมฉันเห็นพระนางไปประทับที่อุทยาน”“ทำไมเมื่อคืนข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงว่ายพระเศียร ทรงนึกคิดเรื่องเมื่อคืน ทรงจำได้ว่าทรงตรวจฎีกาเรื่องน้ำท่วม หลังจากนั้นทรงจำอะไรไม่ได้อีกเลยหวางโฮ่วทรงกลับเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับเหม่ยฮัว และเม่นเหนียง หลิวเซียวเชิญหมอหลวงเข้ามา พระนางนั่งบนตั่งแล้วจึงทรงตรัสถาม ให้ผิงอันนำพงกงยานที่อยู่ในห่อผ้าส่งให้หมอหลวงดู หมอหลวงจึงเปิดดูได้สัมผัสกลิ่นก็รู้โดยทันที แล้วจึงรีบปิดห่อผ้า หวางโฮ่วจึงตรัสถามด้วยความสงสัย“หมอหลวงเว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดผสมในกำยานไม้จันทน์ขาวที่อยู่ในห่อนั้น”“ทูลหวางโฮ่ว ที่นั้นคือกำยานราคะ ยาชนิดนี้ใช้ได้กับบุรุษ แต่ไม่ออกฤทธิ์กับสตรี บุรุษใดสูดดมเข้าไปจะมีอาการกำหนัด อาจเห็นหน้าของคนที่ตนรักก็เป็นได้ ถ้าใช้เป็นเพลานาน อาจทำให้หลอนประสาทได้พระเจ้าค่ะ”“เรื่องนี้เรารู้เพียงเท่านี้ อย่าให้ผู้ใ
กาลเวลาหมุนวนผ่านพ้นไปถึงสิบหกปี ต้าหวางและหวางโฮ่วทรงมีพระชนฆมายุได้สี่สิบกว่าปี บัดนี้กงจู่หมิ่นลั่วย่างเข้าสิบหกพรรษา งดงามดั่งหวางโฮ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และสดใสร่าเริง ถ้าอยู่ในพิธีสำคัญกงจู่จะสงบนิ่ง เป็นหน้าเป็นตาใต้ต้าหวางและหวางโฮ่ว ย้อนกลับไปหลังจากประสูติกงจู่ได้สองปี หวางโฮ่วได้ประสูติอ๋องน้อยนามว่า “เฉินเจิ้น” อีกทั้งทั้งสองพระองค์ได้รับการอภิบาลจากหวางโฮ่ว และให้ราชครูสหายของไป๋เจิ้นเป็นผู้สอน ทั้งสององค์เรียกรู้วัยเกิดเด็กทั่ว หวางโฮ่วจึงสอนศาสตร์หลายแขนงที่นางเคยร่ำเรียนจากเตี่ย และกงจู่และอ๋องน้อยคอยไปเยี่ยมเยือนจวนของใต้เท้าไป๋ที่อยู่ในเมืองหลวงอยู่เสมอใดเนื่องด้วยต้าหวางมีราชโองการใต้เท้าไป๋ มาอยู่เมืองหลวง แต่ใต้เท้าไป๋เลือกที่จะออกจากราชการเพื่อไม่เป็นข้อครหาให้ใครมากล่าวร้ายว่า เตี่ยของพระนางเข้ายุ่งเกี่ยวในราชสำนัก อีกทั้งกงจู่และท่ายอ๋องน้อย ใต้เท้าไป๋เอ็นดูหลานทั้งสอง เกอเกอของพระนางคอยหาของเล่นให้เป็นประจำ หวางโฮ่วกลัวว่ากงจู่และอ๋องน้อยจะเสียคน มีแต่คนตามใจ หวางโฮ่วจึงให้เข้าวังและให้สลับอยู่ที่จวนบ้าง ส่วนกงจู่ยังไม่มีตำหนักนอกวังเช่นเดียวกับอ๋องน้อย จึง
พระกษิรธาราไหลจากพระถัน จึงทรงเสวยจากตรงนั้น หวางโฮ่วดิ้นรนใต้พระวรกายของพระองค์ ทันใดนั้นทรงเข้ามาในพระวรกายทันที ต้าหวางทรงเข้าและออกตามแต่พระทัยปรารถนา จนกระทั่งพระอารมณ์ดิบครอบงำ หวางโฮ่วทรงสะท้านไปทั้งพระวรกาย พระสติล่องลอยไปด้วยความลืมเลือน ต้าหวางทรงไม่ลดล่ะต่อการกระทํา จึงจับเพลาทั้งสองข้าง และส่งแรงทั้งหมดส่งหา หวางโฮ่วกรีดร้องอย่างลืมองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หวางโฮ่วทรงปลดปล่อยสายธาร ต้าหวางเอาแต่พระทัยไม่ปล่อยให้พระนางหายพระทัย มิหนำซ้ำยังดื่มจากพระถันอวบอิ่ม เนื่องด้วยน้ำนมไหลรินออกมาจากกายของพระนางยิ่งพระนางกรีดร้องมาก็เท่าไร ต้าหวางยิ่งทรงบรรเลงเพลงรักไม่รู้เหนื่อย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามเดือนพระองค์ไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับพระนาง ต้าหวางกลัวว่าพระนางจะเจ็บ แต่ตอนนี้พระองค์จึงไม่ดำริที่จะถนอมพระนางบ้างเลย จนในที่สุดต้าหวางทรงปลดปล่อยสู่ตัวพระนาง ต้าหวางทรงประทับลงที่พระโอษฐ์ แล้วเอ่ยถามพระนาง“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“นิดหน่อย”ต้าหวางทรงลงพระทับบนตั่ง หวางโฮ่วจึงสวมกอดพระวรกายของต้าหวาง ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดเหงื่อบนพระพักตร์ของหวางโฮ่ว “เจ้ามีสิ่งใดอย่าเก็บไว้คนเดียว มีข้







