ตอนที่ 12
“ฟารีฟ ท่านคงไม่ยอมให้เจ้าซากีรอฟฟ์ทำร้ายพ่อเฒ่าซุกกีได้หรอก จริงหรือไม่”
“ฮึ! ถ้ามันคิดจะทำร้ายคนของบาลายูดา ข้าจะเด็ดหัวไอ้ซากีรอฟฟ์ด้วยมือของข้าเอง” ฟารีฟเอ่ยเสียงเย็นเยือก ริมฝีปากหยักได้รูปภายใต้ผ้ากัฟฟีเยกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ถ้างั้นไปเด็ดหัวมันตอนนี้เลยดีหรือไม่ท่านฟารีฟ ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมีใครเดือดร้อนเพราะเจ้าซากีรอฟฟ์ จากแหล่งข่าวบอกว่าซากีรอฟฟ์เที่ยวไปฉุดคร่าเมียคนอื่นมา จนฆ่ากันตายไปหลายศพแล้วนะครับ” พูดจบราฮิมก็ถอนใจอย่างหนักอก แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านคาเบียนเซียที่เคยสงบสุขมาช้านาน แต่จู่ๆ พอลูกสาวท่านโมฮัมเดินทางออกจากหมู่บ้าน ไม่กี่วันก็เกิดการนองเลือด แย่งชิงอำนาจกันขึ้น แล้วหากให้อำนาจทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของซากีรอฟฟ์ ชาวบ้านตาดำๆ คงไม่มีวันได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่
“ตราบใดที่คนของท่านโมฮัมหรือท่านการิดไม่ขอความช่วยเหลือ เจ้าจะให้ข้าแส่เข้าไปช่วยหรือไงเล่า ราฮิม” แม้ใจอยากจะบุกเข้าไปบั่นคอซากีรอฟฟ์เพื่อล้างแค้นแทนสหายรุ่นพ่อ แต่ฟารีฟก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำอะไรได้มากนัก นอกเสียจากคอยรอฟังข่าวความเคลื่อนไหวของซากีรอฟฟ์ เพราะเขามั่นใจว่าคนอย่างซากีรอฟฟ์มันจะต้องใช้ชาวบ้านเป็นเกราะกำบังตัวมันไว้อย่างแน่นอน
“แต่ถ้าช้าชาวบ้านจะเดือดร้อนนะครับ นี่ก็ได้ข่าวว่ามีการฆ่ากันตายเกือบทุกวัน หากใครไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของซากีรอฟฟ์ โดยเฉพาะเจ้าอับบาส หมอนี่ทำกร่างไปทั่วหมู่บ้าน ซ้ำยังขูดรีดเงินทองและอาหารจากชาวบ้านอีกด้วยครับ”
“มันเป็นเรื่องภายในหมู่บ้านคาเบียนเซีย เราเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่าหมู่บ้านคาเบียนเซียไม่ได้อยู่ในเขตการดูแลของข้า ข้าจะออกหน้ามากได้ยังไรเล่า ข้าว่าเจ้ารอการติดต่อจากท่านโมฮัมหรือท่านการิดเถอะ แล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะจัดการกับไอ้ซากีรอฟฟ์อย่างไรดี ว่าแต่เรื่องค้าขายของเรากับท่านการิดเรียบร้อยหรือยัง” ฟารีฟเปลี่ยนเรื่อง แม้ใจจะยังนึกห่วงสหายรุ่นพ่อไม่น้อย
“เรียบร้อยแล้วครับ ฟารีฟ แต่ตอนนี้ท่านการิดกับลูกน้องเดินทางกลับหมู่บ้านคาเบียนเซียไม่ได้ เพราะมีคนของซากีรอฟฟ์ตามล่าอยู่ คนคนนี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เลยครับ อยากเป็นใหญ่เป็นโตจนต้องตามฆ่าตามล้างไม่ให้เหลือ” ราฮิมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกห่วงชาวบ้านตาดำๆ ในหมู่บ้านคาเบียนเซียไม่น้อยไปกว่าฟารีฟ
“ตัวมันเองก็ใช่จะอยู่เป็นใหญ่ได้นานนักหรอก เจ้าคอยดูต่อไปเถอะราฮิม เอาละ เจ้าไปจัดเตรียมข้าวของซะให้พร้อม เราจะออกเดินทางกันทันทีเมื่อคอลิดเดินทางมาถึง” ฟารีฟเดินไปหาม้าคู่ใจแล้วยืนครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องอยู่ในใจเป็นนานสองนาน โดยมีราฮิมคอยชำเลืองมองอยู่เป็นระยะ ด้วยความข้องใจไม่น้อยว่าเหตุใดฟารีฟถึงไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือหนูน้อยมูนา หรือแม้แต่ช่วยเหลือท่านโมฮัมพ่อของนาง
“มูนาเจ้าเป็นอะไรไป ข้าเห็นเจ้าไม่พูดไม่จากับใครมาสามวันแล้ว หรือเจ้าโกรธที่นูรีนว่าเจ้ากันล่ะ ข้าว่าเจ้าอย่าไปโกรธผู้หญิงเช่นนางเลย คนมีปากสักแต่พูดสักแต่ว่าคนอื่นไปทั่ว แต่มิเคยก้มมองดูตัวเอง” ฮาเรนน่าเพื่อนเพียงคนเดียวของมูนาเอ่ยถามขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงถามจะขยับเข้ามานั่งใกล้คนนั่งทำหน้าเศร้ามาตลอดการเดินทาง ที่แม้จะมีผู้ร่วมเดินทางนับสิบคน แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
“ว่าอย่างไรเล่ามูนา เจ้าเป็นอะไรไป” คนเป็นห่วงถามย้ำ มูนาเหลียวมองเพื่อนเพียงคนเดียวแล้วมอบยิ้มเป็นมิตรให้แล้วสั่นหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นไร
“เจ้าอย่าปดข้าเลยมูนา ข้าสังเกตเจ้ามาหลายวันแล้ว เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้ข้าฟังสิ เผื่อข้าจะได้แบ่งเบาความทุกข์ในใจของเจ้าได้บ้าง” สีหน้าและแววตาของฮาเรนน่าแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนร่วมเดินทางคนนี้สุดหัวใจ ถึงแม้ว่าตัวเธอจะถูกนูรีนและเซย่าคอยถากถางอยู่ทุกครั้งที่เธอทำตัวสนิทสนมกับมูนา แต่เธอไม่คิดใส่ใจและไม่เคยคิดว่ามูนาจะเป็นผู้หญิงอย่างที่นูรีนกล่าวหานาง
“ความทุกข์ของข้าไม่มีผู้ใดแบ่งเบาได้หรอกฮาเรนน่า นอกเสียจากตัวข้าจะหัดปล่อยวางและยอมรับกับชะตาชีวิตของข้าให้ได้” แววตาคนพูดดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้ารู้ว่าเจ้าต้องทุกข์ใจเพราะสิ่งใด แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยวางเล่ามูนา ดูอย่างข้าสิ ข้ามีชายคนรักอยู่แล้ว แต่ต้องจากกันทั้งที่ข้ายังรักเขาหมดหัวใจ แต่ข้าก็จำต้องตัดใจจากชายคนรักของข้าให้ได้” ฮาเรนน่าน้ำตารื้น ก่อนจะยกมือกรีดป้ายออกไป เพราะนับตั้งแต่รู้ตัวว่าจะถูกส่งเข้าวังหลวง เธอก็ต้องหักห้ามใจและคิดเสียว่าเธอและชายคนรักไม่ใช่เนื้อคู่กัน
“เจ้าตัดใจจากชายคนรักได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือฮาเรนน่า” มูนาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ย้อนคิดถึงตัวเองว่าหากเธอมีคนรักแต่จำต้องจากกันไปไกล และไม่มีวันได้พบกันอีกเธอจะทำใจได้หรือไม่ แต่ไม่หรอก...เธอไม่มีวันตัดใจจากชายคนรักได้ง่ายๆ เหมือนเช่นฮาเรนน่าแน่นอน เพราะหัวใจของเธอหากจะมอบให้ชายใด เธอจะมอบให้ชายคนนั้นเพียงคนเดียวและตลอดไป
อวสานหนึ่งเดือนต่อมาข่าวการประกาศสละราชบัลลังก์ขององค์ฟาตินก็ดังไปทั่วประเทศอัสคาซาน รวมไปถึงประเทศใกล้เคียงที่ต่างก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีที่ถูกจัดภายในพระราชวังอัสเซโรซานาพร้อมการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เหล่าประชาชนทั่วประเทศอัสคาซานก็พากันร่วมเฉลิมฉลองในหมู่บ้านของตน พร้อมกับการได้รับข้าวของบริจาคจากราชวังที่องค์ฟาเดลทรงให้ตัวแทนนำออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชนของพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ประชาชนทุกคนต่างร่วมยินดีที่พระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศอัสคาซาน ในขณะภายในพระราชวังกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่อยู่นั้น ที่เนินทรายสูงมีหญิงชายนั่งกอดกันอยู่บนหลังม้าใกล้กับโอเอซิสขนาดเล็ก เพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านบาลายูดา หลังจากฟารีฟได้พามูนาเดินทางกลับไปเยี่ยมผู้ให้กำเนิดที่หมู่บ้านคาเบียนเซีย ที่เวลานี้มีแต่ความสงบสุขไม่ต่างจากหมู่บ้านบาลายูดา “ท่านพี่” มูนาขานเรียกเจ้าของอ้อ
ตอนที่ 82จังหวะรักร้อนแรงขึ้นพอๆ กับเสียงครวญครางของสองสามีภรรยา แล้วฟารีฟก็จับร่างเมียรักพลิกนอนคว่ำหน้า ขยับตัวขึ้นทาบทับ เบียดความรุ่มร้อนเข้าหา ปากหยักพรมจูบไปทั่วไหล่ลาดและแผ่นหลังเนียน มือหนาคว้าเอวเล็กไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อผสานความรักต่อกัน มืออีกข้างก็ลากผ่านไปทางด้านหน้าเพื่อเคล้นคลึงอกอิ่มไปพร้อมกัน เหงื่อไหลย้อยเป็นทางเมื่อความกระชั้นโถมขึ้นหนักหน่วง ชั่วอึดใจคนที่รับความแข็งแกร่งก็ครางลั่นยาวเหยียด สมองที่มืดมนสว่างวาบเมื่อความทรมานที่มาพร้อมความซาบซ่านถึงจุดสิ้นสุด มูนาถึงกับอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องฟุบหน้าแนบไปกับฟูกนุ่ม ด้านฟารีฟเมื่อเห็นว่าเมียรักเดินทางไปถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงเร่งทะยานพาตัวเองไปถึงจุดนั้นตามเธอไปติดๆ เพียงไม่นานก็เปล่งเสียงครางลึกอย่างสุขสม เมื่อปลดปล่อยความรักทั้งหมดทั้งมวลให้เมียรักจอมดื้อรั้นไปแล้ว ก่อนทิ้งร่างลงนอนทาบ อ้อมแขนกำยำสอดเข้าไปโอบกอดร่างนุ่มที่ยังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์รักไว้แน่น จูบซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แต่เหมือนความต้องการของเขาไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อเนื้อสัมผัสเนื้อจึงเกิดกระแสความปรารถนาขึ้น
ตอนที่ 81ฟารีฟขยับตัวเพียงนิดเพื่อจะเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนกายเมียรักออก ปากของเขาลากลงมาที่ลำคอระหง จูบซับอย่างเอาใจคนใต้ร่าง โดยที่มืออีกข้างก็สอดหายเข้าไปใต้ชายผ้าที่รั้งขึ้นมาจนถึงโคนขาเรียว วาดผ่านแผ่วเบาไปบนความนุ่มละมุมของความเป็นหญิง กอบกุมลูบไล้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจับร่างเล็กพลิกให้นอนคว่ำ แล้วเข้าทาบทับทางด้านหลัง ไซ้จมูกและปากไปกับก้านคอขาวผ่อง พร้อมปลดพันธนาการของตัวเองจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่า ผิดกับอาภรณ์บนกายเมียรักเขาค่อยๆ ถอดออกทีละชิ้น พยายามใจเย็นที่สุดในชีวิต ซึ่งเมื่อผิวนวลขาวของเมียรักเผยตรงจุดไหนเขาก็ก้มหน้าพรมจูบไปตรงนั้น แล้วจบลงที่สะโพกงอนงามหลังจากที่ตอนนี้หญิงสาวนอนเปลือยอวดเรือนร่างให้เห็นตลอดทั้งตัว“ยอดรักของพี่” ฟารีฟเคลื่อนตัวขึ้นไปกระซิบคำหวานใส่ใบหูเล็ก แล้วกดปากร้อนลงกับแก้มนุ่ม ทาบเรือนกายส่วนหน้าแนบชิดกับเรือนร่างบอบบางด้านหลัง ทำให้มูนาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นสามีจะไร้อาภรณ์เช่นเดียวกัน หนำซ้ำความแข็งขึงที่ถูไถไล้วนเวียนกับสะโพกของเธอ ก็ส่งผลให้ใบหน้าคมสวยร้อนผ่าวและเห่อแดงขึ้นมาทันตา
ตอนที่ 80“เจ้าจะกลับไปหาไอ้ราชิดหรือไงมูนา!” ฟารีฟตะคอกถามเสียงแข็งกระด้าง จากที่โมโหเพราะความดื้อรั้นของเมียรักอยู่นั้น ตอนนี้กลับมีแรงหึงหวงเข้ามาเพิ่ม ยิ่งทำให้ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อยบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น “หากใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน” มูนาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ขุ่นเคืองเขาที่ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องคือเขาคนเดียวเท่านั้นที่หลอกลวงเธอมาตลอด “มูนา!” ฟารีฟคำรามลั่น แววตาคมลุกวาวไม่จากกองไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นจุณ “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าข้า” ปากบอกขณะที่มือก็คว้าหมอนที่เกลื่อนพื้นขึ้นมาปาใส่ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เหี้ยมจัด ตามด้วยข้าวของที่พอจะฉวยหยิบขึ้นมาได้จนฟารีฟต้องถลันเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้แน่น พร้อมกับตวาดเสียงแข็งเพื่อปราม&nb
ตอนที่ 79หลายวันผ่านพ้นไปนับตั้งแต่เรื่องราวเศร้าสะเทือนใจชาวบ้านค่อยๆ จางหาย แต่ชาวบ้านทุกคนก็มิเคยลืมเลือนพ่อเฒ่าซุกกี ทุกอย่างในหมู่บ้านบาลายูดากลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งดูไม่ค่อยเป็นสุขนัก เมื่อเมียรักยังไม่ยอมพูดจาด้วย หลังฟารีฟเริ่มปฏิบัติการง้อเมียรักอยู่หลายวันแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และในค่ำคืนนี้ก็เช่นกันที่ฟารีฟยังคงเดินหน้าง้อเมียรักเช่นเดิมผิดกับมูนาที่นับวันก็ยิ่งโกรธเคืองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมากขึ้นทุกวัน หลังเขาสั่งกักขังเธอไว้แต่ในบ้านราวกับสัตว์เลี้ยงเมื่อเธอยืนยันว่าจะไปจากเขา ‘คนใจร้าย อย่าให้ข้าหนีไปได้นะ ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านแน่ คนหลอกลวง!’มูนาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธจัด หากแต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งระบายความเคียดแค้นกับผ้าห่มที่ถูกกระชากทิ้งลงพื้นไปไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าก็ถูกดึงกลับขึ้นมาแล้วจับขมวดเป็นก้อนกลมแล้วปาทิ้งอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ 78“นัจมีย์ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ พอเห็นนัจมีย์ก็รีบมาบอกคุณหนูนี่แหละเจ้าค่ะ หรือว่า! พวกชาวบ้านจะรู้กันแล้วว่าคนที่วางยาท่านพ่อเฒ่าคือคุณหนู แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะเจ้าคะคุณหนู” นัจมีย์โผเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาอันดาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก น้ำตาก็ไหลพรากด้วยความหวาดกลัว“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์ แล้วก็จำไว้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนวางยาท่านลุง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เป็นคนใส่ยาพิษลงไปในอาหารของท่านลุง แล้วก็เป็นเจ้าอีกเช่นกันที่ใส่ยาพิษลงไปในขนมของนังมูนา” อันดาสะบัดขาของตนออกจากเกาะกุมของสาวใช้“คุณหนู! เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” นัจมีย์หน้าไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงพร้อมส่ายหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตาไปมา“ก็มันเป็นเจ้าจริงๆ ที่เป็นคนวางยาท่านลุงของข้า” อันดายังคงโบ้ยความผิดให้สาวใช้“แต่นัจมีย์ทำไปเพราะคำสั่งของคุณหนูนะเจ้าคะ”“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์!” อันดาโผเข้าไปตบหน้าของสาวใช้ฉาดใหญ่ แล้วบังคับให้นัจมีย์ยอมรับผิดเพียงคนเดียว แต่นัจมีย์ยังไม่ได้