ตอนที่ 11
“ข้ารักเจ้าได้ยินหรือไม่มูนา” ราชิดเปรยเบาๆ ไปกับสายลม ก่อนกระตุกบังเหียนม้าเร่งกลับไปหาผู้เป็นพ่อ ส่วนมูนากำลังเดินเข้าไปร่วมกลุ่มกับสาวงามที่ต่างพากันมองเธอด้วยสายตาประหนึ่งว่าเธอคือสัตว์น่ารังเกียจก็ไม่ป่าน หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วเข้าไปยืนอยู่ท้ายสุดของกลุ่มสาวงาม โดยมีชายแก่หลังค่อมเดินตรวจตรา ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าจะตรวจตราอะไรกันนักหนา มูนากวาดสายตามองรอบๆ แหล่งที่ตั้งกระโจมอย่างมาดหมาย ก่อนจะเผยยิ้ม เมื่อในกองคาราวานของท่านรามินทร์ไม่มีทหารจากวังหลวงสักนาย หญิงสาวกอดกระชับห่อผ้าของตนไว้อย่างหวงแหน ก่อนก้มมองสิ่งที่อยู่ในห่อด้วยสีหน้าพึงพอใจ จึงไม่ทันได้เห็นสายตาของเหล่าสาวงามจากหมู่บ้านอื่นๆ
“เจ้าชื่อมูนา ที่มาจากหมู่บ้าคาเบียนเซียใช่หรือไม่” มูนาเหลียวมองไปยังทิศทางของเสียง หลังจากชายแก่หลังค่อมเดินจากไปแล้ว มีหญิงชราอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับจัดแจงบอกให้สาวงามแต่ละนางเข้าพักในกระโจม ที่หนึ่งกระโจมจะมีสาวงามเข้าไปพักรวมกันถึงแปดคน มูนาถอนใจอีกครั้งด้วยความลำบากใจ แต่ใช่ว่าเธอจะรังเกียจการนอนร่วมกระโจมกับสาวงามหมู่บ้านอื่นๆ หรอกนะ แต่เป็นเพราะแผนที่คิดไว้จะทำได้ยากก็เท่านั้น
“ข้าถามเจ้าอยู่ ไม่ยินหรือไง” นูรีนเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดูแคลน เพราะพอจะรู้มาบ้างว่าสาวงามจากหมู่บ้านคาเบียนเซียมีประวัติเป็นเช่นไร ซ้ำเธอยังไม่อยากจะนอนร่วมกระโจมกับมูนาเสียด้วย
“คนในหมู่บ้านของเจ้ามีนิสัยเป็นแบบเจ้าหมดเลยหรือเปล่า กับการได้ใช้น้ำเสียงดูแคลนถามคนอื่นเช่นนี้ อีกอย่างข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจตอนไหน เจ้าถึงได้ใช้น้ำเสียงกับข้าเช่นนี้” มูนาพยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธของตนไว้ในอก เพราะเธอเกลียดนักกับน้ำเสียงและสายตาของสาวงามคนอื่นๆ ที่พากันมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด
“บังอาจนักนะ นังผู้หญิงกาลกิณี เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าคนในหมู่บ้านของข้า” นูรีนโต้กลับเสียงกราดเกรี้ยว
“ข้าไม่ใช่ผู้หญิงกาลกิณี เจ้าระวังปากของเจ้าไว้ด้วย หากไม่อยากถูกข้าตบ”
“ทำไมจะไม่ใช่ ในเมื่อชื่อเสียงของเจ้าดังกระฉ่อนจนคนในประเทศอัสคาซานรู้กันเกือบหมด แต่ก็น่าแปลกนะพวกเจ้าว่าไหม ข้าละไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดหัวหน้าหมู่บ้านคาเบียนเซียถึงได้ส่งผู้หญิงกาลกิณีเข้าวังหลวงได้ ไม่กลัวถูกลงอาญากันหรือไรนะ เพราะถ้าให้ตัวกาลกิณีเข้าวังหลวง อาจจะสร้างความหายขึ้นก็ได้” นูรีนยิ้มเยาะพร้อมสายตาดูแคลนกึ่งถากถาง มองคนถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวกาลกิณี โดยมีสาวงามจากหมู่บ้านอื่นๆ พากันมองด้วยสายตาแบบเดียวกัน มูนาหน้าร้อนผ่าวทั้งจากไอแดดและความโกรธ จนอยากจะหยิบกริชที่บิดามอบให้ออกมาจ้วงแทงผู้หญิงปากร้ายให้ตายไปเสีย
“ข้าสั่งให้เจ้าหุบปากเสียๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้” มูนาตวาดใส่แต่น้ำเสียงไม่ได้ดังมากจนทำให้ผู้คนแตกตื่น
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงมาสั่งข้า นังผู้หญิงกาลกิณี” นูรีนพร้อมพวกพากันหัวเราะเยาะ มูนาโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกเสียจากเดินไปยังกระโจมที่พักของตนเอง ที่ตอนนี้มีสาวงามคนอื่นๆ เข้าไปรออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนูรีนและเพื่อนสาวงามอีกสามคนก็เดินตามเข้ามา
“ต๊ายตาย นังผู้หญิงกาลกิณีคนนี้ ยังจะหน้าด้านเข้ามาอยู่ร่วมกระโจมเดียวกับพวกเราอีกหรือนี่ แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเล่านูรีน” เซย่าหนึ่งในสาวงามที่จะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงที่มีนิสัยช่างประจบประแจงพูดขึ้น เมื่อเห็นมูนากำลังเลือกมุมพักผ่อนของตนเอง
“พวกเจ้าทุกคนฟังข้าให้ดี หากใครไม่อยากถูกลงอาญาก็อยู่ให้ห่างๆ ผู้หญิงกาลกิณีคนนี้เอาไว้ เพราะถ้าพวกเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก บางทีพวกเจ้าอาจจะถูกลงอาญาไปกับนางด้วย โดยเฉพาะคนที่คิดจะผูกมิตรกับนาง” นูรีนตามมาหาเรื่องมูนาอีกครั้ง ทำเอาเล่าสาวงามคนอื่นๆ ที่เข้าไปรออยู่ในกระโจมเริ่มมองมูนาด้วยสายตาแปลกๆ อีกครั้ง
“ข้าไม่อยากมีเรื่องกับพวกเจ้า อย่ามาหาเรื่องข้า” มูนาตัดบทด้วยการเดินออกไปนอกนอกกระโจม แล้วไปหาที่นั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ โชคดีที่กองคาราวานของท่านรามินทร์อยู่กลางโอเอซิสขนาดใหญ่ ทำให้เธอหามุมสงบพักผ่อนได้ไม่ยากนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีหน้าสาวงามช่างหาเรื่องนั้นได้นานสักแค่ไหน
‘ท่านพ่อ พี่รอนีย์ ราชิด ท่านลุงการิด ท่านป้าอะมีนะฮ์ ข้าคิดถึงพวกท่าน ข้าอยากกลับไปหาพวกท่าน ท่านได้ยินหรือไม่’ มูนานั่งชันเข่าแล้วซบหน้าร้องไห้ด้วยความท้อแท้กับชะตาชีวิตของตนเอง ที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเธอจะต้องพบเจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเธอเป็นผู้หญิงกาลกิณีจริงงั้นหรือ?
“ฟารีฟ! ฟารีฟ!” เสียงเรียกจากคนสนิทที่ดูร้อนใจในช่วงค่ำ ด้านคนถูกเรียกกำลังยื่นแขนส่งเหยี่ยวตัวดำแสนรู้บินโฉบขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนจะหันมาทางคนสนิท
“มีอะไรราฮิม หน้าตาเจ้าดูตื่นๆ หรือได้เมียเป็นอูฐแล้ว ข้าดีใจด้วย” ฟารีฟเอ่ยล้อเล่น ราฮิมถอนใจเฮือกใหญ่
“โธ่ฟารีฟ เลิกล้อข้าได้แล้วครับ” ราฮิมทำหน้าเหมือนอยากจะลาตายเสียให้ได้ ก่อนจะเร่งรายงานเรื่องที่เขาส่งคนเข้าไปสืบข่าวในหมู่บ้านคาเบียนเซีย ว่าตอนนี้ท่านโมฮัมกำลังหนีการตามล่าของซากีรอฟฟ์
“แล้วท่านโมฮัมหนีไปทางไหน” ฟารีฟถามเสียงเครียด
“ไปทางทิศใต้ครับ ข้าคิดว่าท่านโมฮัมจะไปหาที่หลบภัยสักพัก แต่ก็น่าแปลกนะ ทำไมท่านโมฮัมถึงไม่ไปพบพ่อเฒ่าซุกกี” ราฮิมคาดเดาหน้ายุ่ง
“ท่านโมฮัมคงไม่อยากให้ใครเดือดร้อน เพราะคนอย่างไอ้ซากีรอฟฟ์ มันไม่มีทางปล่อยคนที่ให้ความช่วยเหลือท่านโมฮัมมีลมหายใจอยู่ไปได้หรอก” ฟารีฟเปรยให้คนสนิทฟังด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นแทนสหายเก่ารุ่นพ่อ ที่พ่อเฒ่าซุกกีแนะนำให้รู้จักเมื่อหลายสิบปีก่อน
อวสานหนึ่งเดือนต่อมาข่าวการประกาศสละราชบัลลังก์ขององค์ฟาตินก็ดังไปทั่วประเทศอัสคาซาน รวมไปถึงประเทศใกล้เคียงที่ต่างก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีที่ถูกจัดภายในพระราชวังอัสเซโรซานาพร้อมการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เหล่าประชาชนทั่วประเทศอัสคาซานก็พากันร่วมเฉลิมฉลองในหมู่บ้านของตน พร้อมกับการได้รับข้าวของบริจาคจากราชวังที่องค์ฟาเดลทรงให้ตัวแทนนำออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชนของพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ประชาชนทุกคนต่างร่วมยินดีที่พระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศอัสคาซาน ในขณะภายในพระราชวังกำลังจัดพิธีเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่อยู่นั้น ที่เนินทรายสูงมีหญิงชายนั่งกอดกันอยู่บนหลังม้าใกล้กับโอเอซิสขนาดเล็ก เพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านบาลายูดา หลังจากฟารีฟได้พามูนาเดินทางกลับไปเยี่ยมผู้ให้กำเนิดที่หมู่บ้านคาเบียนเซีย ที่เวลานี้มีแต่ความสงบสุขไม่ต่างจากหมู่บ้านบาลายูดา “ท่านพี่” มูนาขานเรียกเจ้าของอ้อ
ตอนที่ 82จังหวะรักร้อนแรงขึ้นพอๆ กับเสียงครวญครางของสองสามีภรรยา แล้วฟารีฟก็จับร่างเมียรักพลิกนอนคว่ำหน้า ขยับตัวขึ้นทาบทับ เบียดความรุ่มร้อนเข้าหา ปากหยักพรมจูบไปทั่วไหล่ลาดและแผ่นหลังเนียน มือหนาคว้าเอวเล็กไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อผสานความรักต่อกัน มืออีกข้างก็ลากผ่านไปทางด้านหน้าเพื่อเคล้นคลึงอกอิ่มไปพร้อมกัน เหงื่อไหลย้อยเป็นทางเมื่อความกระชั้นโถมขึ้นหนักหน่วง ชั่วอึดใจคนที่รับความแข็งแกร่งก็ครางลั่นยาวเหยียด สมองที่มืดมนสว่างวาบเมื่อความทรมานที่มาพร้อมความซาบซ่านถึงจุดสิ้นสุด มูนาถึงกับอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องฟุบหน้าแนบไปกับฟูกนุ่ม ด้านฟารีฟเมื่อเห็นว่าเมียรักเดินทางไปถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงเร่งทะยานพาตัวเองไปถึงจุดนั้นตามเธอไปติดๆ เพียงไม่นานก็เปล่งเสียงครางลึกอย่างสุขสม เมื่อปลดปล่อยความรักทั้งหมดทั้งมวลให้เมียรักจอมดื้อรั้นไปแล้ว ก่อนทิ้งร่างลงนอนทาบ อ้อมแขนกำยำสอดเข้าไปโอบกอดร่างนุ่มที่ยังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์รักไว้แน่น จูบซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แต่เหมือนความต้องการของเขาไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อเนื้อสัมผัสเนื้อจึงเกิดกระแสความปรารถนาขึ้น
ตอนที่ 81ฟารีฟขยับตัวเพียงนิดเพื่อจะเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนกายเมียรักออก ปากของเขาลากลงมาที่ลำคอระหง จูบซับอย่างเอาใจคนใต้ร่าง โดยที่มืออีกข้างก็สอดหายเข้าไปใต้ชายผ้าที่รั้งขึ้นมาจนถึงโคนขาเรียว วาดผ่านแผ่วเบาไปบนความนุ่มละมุมของความเป็นหญิง กอบกุมลูบไล้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจับร่างเล็กพลิกให้นอนคว่ำ แล้วเข้าทาบทับทางด้านหลัง ไซ้จมูกและปากไปกับก้านคอขาวผ่อง พร้อมปลดพันธนาการของตัวเองจนเหลือเพียงกายเปลือยเปล่า ผิดกับอาภรณ์บนกายเมียรักเขาค่อยๆ ถอดออกทีละชิ้น พยายามใจเย็นที่สุดในชีวิต ซึ่งเมื่อผิวนวลขาวของเมียรักเผยตรงจุดไหนเขาก็ก้มหน้าพรมจูบไปตรงนั้น แล้วจบลงที่สะโพกงอนงามหลังจากที่ตอนนี้หญิงสาวนอนเปลือยอวดเรือนร่างให้เห็นตลอดทั้งตัว“ยอดรักของพี่” ฟารีฟเคลื่อนตัวขึ้นไปกระซิบคำหวานใส่ใบหูเล็ก แล้วกดปากร้อนลงกับแก้มนุ่ม ทาบเรือนกายส่วนหน้าแนบชิดกับเรือนร่างบอบบางด้านหลัง ทำให้มูนาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นสามีจะไร้อาภรณ์เช่นเดียวกัน หนำซ้ำความแข็งขึงที่ถูไถไล้วนเวียนกับสะโพกของเธอ ก็ส่งผลให้ใบหน้าคมสวยร้อนผ่าวและเห่อแดงขึ้นมาทันตา
ตอนที่ 80“เจ้าจะกลับไปหาไอ้ราชิดหรือไงมูนา!” ฟารีฟตะคอกถามเสียงแข็งกระด้าง จากที่โมโหเพราะความดื้อรั้นของเมียรักอยู่นั้น ตอนนี้กลับมีแรงหึงหวงเข้ามาเพิ่ม ยิ่งทำให้ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อยบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น “หากใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน” มูนาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ขุ่นเคืองเขาที่ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องคือเขาคนเดียวเท่านั้นที่หลอกลวงเธอมาตลอด “มูนา!” ฟารีฟคำรามลั่น แววตาคมลุกวาวไม่จากกองไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นจุณ “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าข้า” ปากบอกขณะที่มือก็คว้าหมอนที่เกลื่อนพื้นขึ้นมาปาใส่ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เหี้ยมจัด ตามด้วยข้าวของที่พอจะฉวยหยิบขึ้นมาได้จนฟารีฟต้องถลันเข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้แน่น พร้อมกับตวาดเสียงแข็งเพื่อปราม&nb
ตอนที่ 79หลายวันผ่านพ้นไปนับตั้งแต่เรื่องราวเศร้าสะเทือนใจชาวบ้านค่อยๆ จางหาย แต่ชาวบ้านทุกคนก็มิเคยลืมเลือนพ่อเฒ่าซุกกี ทุกอย่างในหมู่บ้านบาลายูดากลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งดูไม่ค่อยเป็นสุขนัก เมื่อเมียรักยังไม่ยอมพูดจาด้วย หลังฟารีฟเริ่มปฏิบัติการง้อเมียรักอยู่หลายวันแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และในค่ำคืนนี้ก็เช่นกันที่ฟารีฟยังคงเดินหน้าง้อเมียรักเช่นเดิมผิดกับมูนาที่นับวันก็ยิ่งโกรธเคืองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมากขึ้นทุกวัน หลังเขาสั่งกักขังเธอไว้แต่ในบ้านราวกับสัตว์เลี้ยงเมื่อเธอยืนยันว่าจะไปจากเขา ‘คนใจร้าย อย่าให้ข้าหนีไปได้นะ ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านแน่ คนหลอกลวง!’มูนาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธจัด หากแต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งระบายความเคียดแค้นกับผ้าห่มที่ถูกกระชากทิ้งลงพื้นไปไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าก็ถูกดึงกลับขึ้นมาแล้วจับขมวดเป็นก้อนกลมแล้วปาทิ้งอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ 78“นัจมีย์ไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ พอเห็นนัจมีย์ก็รีบมาบอกคุณหนูนี่แหละเจ้าค่ะ หรือว่า! พวกชาวบ้านจะรู้กันแล้วว่าคนที่วางยาท่านพ่อเฒ่าคือคุณหนู แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะเจ้าคะคุณหนู” นัจมีย์โผเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาอันดาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก น้ำตาก็ไหลพรากด้วยความหวาดกลัว“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์ แล้วก็จำไว้ว่าข้าไม่ได้เป็นคนวางยาท่านลุง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เป็นคนใส่ยาพิษลงไปในอาหารของท่านลุง แล้วก็เป็นเจ้าอีกเช่นกันที่ใส่ยาพิษลงไปในขนมของนังมูนา” อันดาสะบัดขาของตนออกจากเกาะกุมของสาวใช้“คุณหนู! เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” นัจมีย์หน้าไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงพร้อมส่ายหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตาไปมา“ก็มันเป็นเจ้าจริงๆ ที่เป็นคนวางยาท่านลุงของข้า” อันดายังคงโบ้ยความผิดให้สาวใช้“แต่นัจมีย์ทำไปเพราะคำสั่งของคุณหนูนะเจ้าคะ”“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นัจมีย์!” อันดาโผเข้าไปตบหน้าของสาวใช้ฉาดใหญ่ แล้วบังคับให้นัจมีย์ยอมรับผิดเพียงคนเดียว แต่นัจมีย์ยังไม่ได้