เหม่ยหลินคิดในใจได้อย่างนั้นพลางทรุดกายลงนั่งอย่างหมดแรงอยู่กับพื้น
หญิงสาวทำได้เพียงร่ำไห้โดยไร้เสียงสะอึกสะอื้นใดๆ ออกมา ฝ่ามือเรียวเล็กของนางเพียงจับขยุ้มอยู่ตรงสาบเสื้อที่หน้าอก ใบหน้าสวยหวานเพียงก้มลงต่ำมองไม่เห็นดวงตาฉ่ำหวานแต่อย่างใด
บุรุษลึกลับที่อยู่ด้วยกันเพียงก้มหน้าลงมอง ไม่ได้กล่าววาจาอันใดออกมา อึดใจเขาก็ผละสายตาคมดำของเขามองสำรวจไปอย่างถ้วนทั่วภายในห้องแห่งนี้อีกครา เพื่อที่ว่าเขาจะได้ปล่อยให้นางได้อยู่กับตนเองไปอย่างนั้น
ในระหว่างที่เรือนร่างบอบบางกำลังนั่งสั่นเทาอย่างต้องการสงบจิตสงบใจจากสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่และใช้เวลาอยู่กับตนเองนั้น เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เพียงปรายสายตาคมเข้มสำรวจรอบเรือนกายและภายในห้องพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวของตนเองอยู่ในใจ
เขาแซ่หงแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แผ่นป้ายหยกสีดำนิลหน้าตาประหลาดที่ติดตรงเอวของเขาบอกกล่าวแก่เขาได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่านามของเขามีว่าอะไร เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เขาเป็นใครมาจากไหน เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกแก่เขาได้ คือพลังงานบางอย่างที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในกาย
พลังงานที่ว่า มันคล้ายกับว่ามีมากมายอย่างเข้มข้นมหาศาล ให้ความรู้สึกว่าแค่เขาสะบัดฝ่ามือ หินผาแข็งแกร่งก็สามารถพังทลายลงมาได้
บุรุษลึกลับแซ่หงจึงยืนอยู่นิ่งงันคล้ายรูปปั้นรูปสลักนิ่งตรึงอยู่กับที่ เขาเอื้อมฝ่ามือของเขาขึ้นจับตรงแผงอกใหญ่หนาพลางขมวดคิ้วคมเข้มเข้าหากัน ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิด
เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้นั้นในจังหวะนั้นพอดิบพอดี นางจึงนึกห่วงใยเขาขึ้นมาอีกครา
นางค่อยๆ ยันร่างบางของตนให้ลุกขึ้นยืน แล้วเอื้อมมือน้อยๆ ของตนที่ยังคงสั่นเทาแตะที่ลำแขนของเขาเบาๆ เพื่อส่งผ่านความห่วงใยในแบบฉบับของตน
นางมักจะเป็นเช่นนี้ นางมักจะมองโลกในแง่ดีอย่างสม่ำเสมอ ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางอสรพิษทั้งหลายในวังหลวง
เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษลึกลับด้วยสายตาฉ่ำน้ำเพราะผ่านการร่ำไห้มาเมื่อครู่ นางมองเขาด้วยแววตาที่พยายามบ่งบอกแก่เขาว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างจะผ่านไปแล้วดีเอง
นางบอกกล่าวแก่เขาทั้งยังต้องการบอกกล่าวแก่ตนเองเหมือนที่ชอบทำ มันเป็นวิธีการหนึ่งที่มักจะทำให้นางผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาได้จนทุกวันนี้
“โง่งม” เสียงห้วนสั้นของบุรุษลึกลับตรงหน้าพลันเอ่ย
เหม่ยหลินถึงกับตกใจกะพริบตาขึ้นลงเบาๆ อย่างไม่เข้าใจอันใด
แต่เพียงเสี้ยวเวลาร่างบางของนางพลันถูกจับยกจากบุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้าตามมาด้วยเสียงครืนสนั่นตรงด้านบนศีรษะ ตามด้วยเศษฝุ่นเศษหินกระจัดกระจายปลิวว่อน
“หลับตา” เสียงห้วนสั้นของเขาเอ่ยออกมาอีกครั้งแค่นั้น
เหม่ยหลินจึงรีบหลับตาลงตามคำด้วยสมองอันว่างเปล่าขาวโพลน
เพียงอึดใจกำแพงหนาที่เมื่อครู่อยู่ด้านบนศีรษะของนาง บัดนี้กลับกลายเป็นรูขนาดใหญ่และอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของบุรุษลึกลับเสียอย่างนั้น
เหม่ยหลินแอบหรี่ตามองในขณะที่ร่างของนางถูกเขาจับอุ้มพาดเอาไว้บนไหล่หนาแน่นของเขา
เขาจับนางอุ้มพาดบ่าประหนึ่งว่านางเป็นแค่หุ่นผ้าบางๆ กระนั้น
และเพียงไม่นาน เขาก็วางนางลงบนพื้น นางถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่งอยู่กับพื้นไม่สามารถยืนได้แต่อย่างใด ในขณะที่บุรุษลึกลับเรือนร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่เหนือเรือนกายบอบบางของนาง
เขายืนถมึงทึงแผ่กลิ่นอายสังหาร แววตาคมกริบคล้ายกระบี่นับพันจ้องมองไปยังบ่าวหญิงชายของนางที่กำลังเดินตามหาตัวนางอยู่ไม่ไกล
เพียงเสี้ยวเวลาในพริบตาเดียว สิ่งไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น
เหม่ยหลินยังไม่ทันได้มีสติครบถ้วน สายตาของนางยังไม่ทันได้ผละไปจากเรือนกายสูงใหญ่ กลิ่นคาวบางอย่างพลันคละคลุ้ง ตามด้วยร่างของบ่าวหญิงชายทั้งหลายพลันเปลี่ยนไป
นางกำนัลชิงชิงกับบ่าวชายอีกสามคนนอนจมกองเลือดดวงตาเถลือกถลนออกมาจนเกือบจะหลุดออกจากเบ้า
เหม่ยหลินถึงกับไร้เส้นเสียงไร้การหายใจ
ภาพตรงหน้าของนางคืออันใด?
อันใดกัน?
“กลับมาแล้วหรือ?” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายทันที ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นใครบางคนยืนพิงขอบประตูอยู่ประโยคคำถามนั้นทำเอาหยวนจงถึงกับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาดภาพของสตรีงดงามนั่งปักผ้ารอกินข้าว แล้วเอ่ยประโยคสามัญเยี่ยงภรรยาแสนดีที่มีต่อสามีสิ่งที่ฟางหลันทำอยู่นี้ทำเอาหยวนจงถึงกับนิ่งอึ้งฟางหลันเห็นใบหน้าหล่อเหลาแข็งค้าง เรือนร่างสูงใหญ่แข็งขึง จึงหรี่ตามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นแล้ว...”นางหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งที่กลางลำตัวของหยวนจง พลางเอ่ยต่อเนิบนาบ“เจ้าแท่งหยกของท่าน จงอย่าริบังอาจตื่นผงาดชี้หน้าข้า!”หยวนจงถึงกับหางคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายถึงกับขึ้นสีระเรื่อ เมื่อได้ฟังคำตรงมาตรงไปจากอีกฝ่ายนางช่างพูดจาได้อย่างไร้ยางอายสิ้นดี ไม่รู้หรือไร ว่าแท่งหยกนั้น มันมีชีวิตเป็นของมันเอง!“เจ้าก็อย่ามากมารยามิได้หรือไร?” เสียงทุ้มต่ำแตกพร่าดังออกมาอย่างขัดเคืองเขามิได้พิศวาสนางเลยแม้แต่น้อย แต่แท่งหยกของเขามันทรงพลังเกินควบคุมถึงเพียงนี้ จักให้ทำเช่นไร?ฟางหลันยกมือขึ้นกอดอกยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็คนมันงาม”“สตรีเช่นเจ้าเรียกว่างาม ก็
ยามราตรีเย็นเยียบเวียนมาบรรจบอีกครั้งค่ำนี้เป็นคืนที่เท่าไหร่แล้วหนอ ที่ซือฮุยกับเพ่ยอิงต้องคอยจัดฉาก ว่าองค์หญิงเหม่ยฮว๋าทรงพักผ่อนอยู่ในห้อง และไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนสาวใช้ทั้งสองนั่งอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องส่วนตัวของเหม่ยฮว๋า เพื่อคอยคุ้มกันมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามามิรู้ได้ว่าองค์หญิงทรงไปท่องเที่ยวถึงไหนต่อไหน ไปเจอสิ่งใดถูกใจกัน ถึงไม่กลับมาเสียทีทั้งสองทำได้แค่ถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกหนักอึ้งในอกเหลือจะกล่าวหลายวันมาแล้วที่ท่านแม่ทัพเดินทางกลับเข้าจวนมา พวกนางต้องรีบออกไปรับหน้าตั้งแต่หน้าประตูเรือนของท่านแม่ทัพด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าหาองค์หญิงถึงในเรือน!ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้ย่างกรายเข้ามาที่เรือนขององค์หญิงเลยสักวันเดียว มิเช่นนั้นคงจะได้เจอแต่ผ้าห่มม้วนเอาไว้บนเตียงนอนเย็นเฉียบไร้ซึ่งร่างอุ่นของภรรยาเฮ้อ!สาวใช้ทั้งสองถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน การถอนหายใจนั้นผสมปนเประหว่างโล่งอก เบื่อหน่าย ระอา และน้อยเนื้อต่ำใจที่โล่งอกก็เพราะท่านแม่ทัพมิได้มาหาองค์หญิง ที่เบื่อหน่ายก็เพราะต้องนั่งเฝ้าห้องที่ว่างเปล่า ที่ระอาก็เพราะเบื่อนิสัยเอาแต่ใจไร้ความคิดขององค์หญิงเต็มทีและ
“เจ้ามีเรือนลับอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่?” หรงชางถามเหม่ยฮว๋าเสียงเข้มหาได้ตอบคำถามนาง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง สายตาเรียวคมจับจ้องนางไม่วางตาเขากำลังต้องการหาที่หลบภัยตามคำเตือนของเฉิงอู่“ท่านจะถามทำไม ธุระกงการอันใดของท่านไม่ทราบ!” เหม่ยฮว๋าเชิดหน้ากล่าวเสียงเหยียดหรงชางหรี่ตามองแวบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาบีบปลายคางของเหม่ยฮว๋าอย่างแรง“อย่าเล่นลิ้นกับข้า มิเช่นนั้นเรื่องของเรา ข้าจะไปบอกสามีของเจ้าให้หมด”“...!?”เหม่ยฮว๋าถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากสีแดงสดพยายามจะด่าทอ แต่จนใจจะเอ่ยปาก เพราะปลายคางถูกบีบจนเจ็บไปหมดหญิงสาวทำได้แค่ถลึงตาจ้องมองชายตรงหน้าอย่างโกรธกรุ่น เห็นเพียงสายตาคู่คมที่มีเสน่ห์ลึกล้ำในระยะประชิด นางจึงทำได้แค่กะพริบตาปริบๆอึดใจใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามา ถึงแม้ว่าฝ่ามือเขาจะยังคงจับตรึงปลายคางมนหรงชางก้มหน้าลงประกบริมฝีปากตนกับกลีบปากเหม่ยฮว๋า แล้วบดขยี้ไม่ปรานีปลายลิ้นร้อนชื้นตวัดแทรกโพรงปากหวานล้ำของหญิงสาว เขากระทำการเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่แฝงความเร่าร้อนอย่างช่ำชอง สร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วท้องน้อยของเหม่ยฮว๋าความรู้สึกร้อนรุ่มพลันพวยพุ่งฉุดก
ร้านฟาไฉย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ยามที่หรงชางกลับมาที่ร้านฟาไฉเขาจึงพบกับร้านของเขาที่เคยหรูหรา กลับกลายสภาพราวกับเป็นสถานที่รกร้างไม่ต่างจากสุสาน ไร้ผู้คน ไร้สมุน มีเพียงลักษณะของร้านที่คล้ายมีลมพายุหมุนพัดวูบมาแล้วพาสรรพสิ่งหมุนไปกับพายุนั้นทั่วทั้งร้านกลายสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบหลังความตาย ให้รู้สึกวังเวงยิ่งนักสายตาเรียวคมบนใบหน้าหล่อเหลามองสำรวจไปทั่วอย่างแปลกใจ เขาเดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบงันอัญมณีและเครื่องประดับของมีค่าทั้งหมดหายไปไม่มีเหลือ คล้ายกับถูกโจรบุกถล่มกวาดเอาไปจนเกลี้ยงเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ถึงห้องด้านใน หลงจู๊ที่เฝ้าร้านอยู่ถูกจับมัดแล้วขังเอาไว้ในห้องนั้น หรงชางหรี่ตามองอย่างโกรธกรุ่นก่อนจะเข้าแก้มัดด้วยความรุนแรงคล้ายบันดาลโทสะหลงจู๊ได้แต่ร้องโอดครวญ ใบหน้าบิดเบี้ยว“จงบอกข้า ว่าเกิดสิ่งใด!” เสียงของหรงชางที่เคยทุ้มนุ่มบัดนี้แหบห้วนยิ่งนักหลงจู๊ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าพูดเสียงสั่นว่า “ร้านฟาไฉถูกปล้นขอรับ”หรงชางเบิกตากว้างทันใด ร้านฟาไฉถูกปล้นจริงหรือนี่?มหาโจรเช่นเขาถูกปล้นรึ?หลงจู๊เงยหน้าที่มีน้ำตากลิ้งอาบแก้มพลางเล่าว่า“เฉิงอู่กลับเข้ามาในส
หน้าห้องของเหม่ยหลินหลังจากคล้อยหลังสง่างามของจ้าวฮองเฮาไปนานแล้ว ก็มีนางกำนัลอาวุโสมายืนอยู่จนเต็มพื้นที่นางกำนัลเหล่านี้ ไม่พ้นรับคำสั่งมาให้คอยดูแลขัดเกลาหมายบ่มเพาะเหม่ยหลิน เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในงานสมรสเชื่อมสัมพันธ์นอกจากนางกำนัลมากมายแล้วยังมีองครักษ์หญิงหลายคน มายืนขึงขังเต็มไปหมดเหม่ยหลินจึงรู้แน่ชัดว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใด นางกำลังถูกกักบริเวณ!หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อข่มจิตใจเนิ่นนานผ่านไปนางก็ยังนั่งอยู่ในตำหนัก ที่บัดนี้มิต่างจากคุกหลวง เพราะว่านางถูกขังเอาไว้มิให้ได้ออกไปที่ใด กระทั่งนางกำนัลที่คอยส่งข่าวไปหาฟางหลัน หญิงสาวก็ยังไม่สามารถหาทางติดต่อได้ เนื่องจากนางกำนัลผู้นั้นถูกจับไปกักตัวเอาไว้ เพื่อมิให้ใครส่งข่าวหรือนางส่งข่าวหาใครได้ นางจึงนั่งอย่างเดียวดาย ร่ำไห้ไร้หนทางเลือกเป็นอื่นสามวันผ่านมาภายในห้องหรูหราแต่เงียบเหงา มีเงาร่างระหงเลือนราง นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงอยู่ริมหน้าต่าง นางไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ออกไปเดินเล่นรับแสงตะวันนอกตำหนักเหม่ยหลินได้แต่นั่งบรรเลงเพลงพิณเพื่อถ่ายทอดอารมณ์แสนเศร้า ดวงหน้าหวานล้ำเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสพร้อมหลั
ภายในห้องส่วนตัวของเหม่ยหลิน ที่ยามนี้เหลือเพียงสตรีสูงศักดิ์สองนาง เหล่าบ่าวรับใช้มิได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่โต๊ะตัวใหญ่บริเวณห้องชั้นนอก ห่างออกมาจากห้องชั้นในระยะหนึ่ง จ้าวฮองเฮานั่งอยู่กับเหม่ยหลินพระนางตบหลังมือของเหม่ยหลินเบาๆ ลักษณะปลอบประโลมเฉกเช่นปกติ ดวงตาดำขลับของทั้งสองจ้องมองกันนิ่งนาน คล้ายต้องการหยั่งลึกถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ“หลินเอ๋อร์” สุรเสียงที่จ้าวฮองเฮาตรัสออกมา เจือแววอ่อนโยนนุ่มนวล “แม่มาเพื่อเตือนสติเจ้า”สิ้นเสียงอ่อนหวาน เหม่ยหลินยิ่งหลุบตา ก้มหน้าเงียบงันจ้าวเสวียนนั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะนึกอิจฉาหรือริษยาสนมนางใด โดยเฉพาะเหล่าองค์หญิงและองค์ชายที่เปรียบเสมือนเป็นบุตรของนางเอง นางก็ยิ่งมิเคยนึกรังเกียจเดียดฉันท์แต่กระนั้น นางมักจะนึกถึงหน้าที่อันสำคัญและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ก่อนอื่นใดเสมอหากนับสตรีที่ไร้หัวใจที่สุดแห่งวังหลัง จ้าวเสวียนคือคนผู้นั้นหากนับสตรีที่เปี่ยมเมตตาธรรม จ้าวเสวียนก็ยังคงเป็นคนผู้นั้นและหากนับสตรีที่ทรงอำนาจ มากล้นไปด้วยบารมี ทั้งยังเด็ดขาดเฉียบคมเกินอิสตรี ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำตามอารมณ์และความรู้สึก ทุกอย่างล้วนอยู่บนตราชั่