EPISODE 7
ไม่อยากให้ความหวัง
หลายชั่วโมงต่อมา
ก็รู้หรอกว่าที่เขายอมพาออกไปข้างนอกเป็นเพราะไม่อยากให้ฉันนั่งสิงอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กจนเกือบขิตเหมือนเมื่อวันก่อน แต่การแสดงออกของเจ้าตัวก็ยังคงเดิม ไม่ได้ว่าจะสนใจอะไรกันมาก
ถ้าให้เดาเอาเองการที่เฮียทำดีด้วยก็อาจเป็นเพราะว่าหนึ่งคุณป้าชิดจันทร์อาจจะกำชับลูกชายเขามา ไม่ก็สองเฮียมันอาจจะทนเห็นคนเป็นลมคาบ้านไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกอื่นใดแอบแฝงเป็นแน่ เพราะสายตาที่มองกันก็ยังไร้ซึ่งอารมณ์อยู่ดี
แต่ก็อย่างที่บอกแล้วบอกอีกว่าถึงยังไงฉันก็ไม่แคร์
เรากลับมาถึงบ้านในตอนที่ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูบ้านหลังข้างกันเปิดออกพอดี กลุ่มผู้ชายหน้าตาดีมาก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราพากันเดินออกมาจากตัวบ้าน ขนาดฟ้าใกล้จะมืดแล้วคนพวกนั้นก็ยังดูเหมือนเปล่งแสงได้ในตัวเอง ทำเอาฉันอดที่จะแอบมองไม่ได้เลย
และแน่นอนว่าพวกเขาก็คือเพื่อนของเฮียครามนั่นแหละ ที่เห็นว่าออกจากบ้านไปบ่อย ๆ แต่รถไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนก็คงจะไปหาเพื่อนที่ก็รวมกลุ่มกันอยู่ที่บ้านหลังติดกันนี้เอง
ในขณะที่ฉันกำลังแอบมองคนกลุ่มนั้น เฮียก็ลงมาจากรถด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับทันทีที่หันไปเห็นเพื่อนเข้า และดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะหันมาเห็นเราสองคนเข้าแล้วเหมือนกัน
ร่างสูงโปร่งของคนที่ตัวสูงที่สุดเดินเร็ว ๆ มาจนชิดขอบรั้วที่สูงเพียงระดับอกของเขา คลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้อย่างคนอารมณ์ดี ก่อนที่อีกสองคนจะเดินเข้ามายืนเกาะขอบรั้วเรียงเป็นหน้ากระดาน
ยิ่งได้มองในระยะที่ใกล้ขึ้น อาการคลั่งไคล้คนหล่อของฉันก็เริ่มจะทำงานอีกครั้ง แต่เพราะสายตาเฮียมองมา ทำให้ต้องรีบเช็ดน้ำลายเบนสายตาไปทางอื่นอย่างเสียไม่ได้
“น้องหยีจ๋า” เสียงร่าเริงของคนที่ยิ้มแป้นจนเห็นฟันเรียงครบสามสิบสองซี่เอ่ยทักกันขึ้น แม้ว่าเฮียครามดูจะเซ็งจัดกับการที่ฉันได้เจอหน้าเพื่อนเขา แต่คนหล่อทักทายทั้งที ฉันจะนิ่งอยู่ได้ยังไง?
“สวัสดีค่ะ”
“หูย! น้องหยีตัวจริงนี่สวยกว่าในรูปอีกนะ” คนที่ท่าทางแรดสุดคนเดิมรีบเอ่ย ทั้งยังกะพริบตาถี่รัว ท่าทางดูระริกระรี้เกินชาย
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”
“พวกมึงจะกลับแล้วเหรอ?”
คนเดียวที่หน้าบูดเป็นตูดอยู่ในขณะนี้เอ่ยแทรกการสนทนาขึ้น ทั้งยังส่งสายตาไล่ให้ฉันเข้าบ้านอีกต่างหาก แต่ใครจะไปกัน… ได้เจอหน้าเพื่อนเขาทั้งที… นอกจากเจ๊พริกคนสวยที่ได้เจอกันไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว ก็ยังมีหนุ่มหล่อระเบิดอีกตั้งสามคน
“กูจะกลับแล้วอ้ายตาม” คนหล่อหน้าตาขาวผ่องท่าทางดูใจดีสุดเอ่ยบอกเพื่อน ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร และแน่นอนว่าฉันรีบฉีกยิ้มตอบทันที
“หยีเข้าบ้านได้แล้ว” คนเป็นสามีคงจะเห็นท่าทางอ้อร้อชนิดนี้เข้ารีบส่งเสียงไล่ และนั่นก็ทำให้ฉันหุบยิ้มลงทันทีก่อนจะจีบปากจีบคอเอ่ยออกมา
“อะไรกันเฮีย ไม่คิดจะแนะนำเมียให้เพื่อนรู้จักหน่อยเหรอ?”
“โว้ว!”
แทนที่เฮียจะเป็นคนตอบ แต่กลายเป็นว่าอีกสามคนประสานเสียงร้องออกมาแทน รอยยิ้มชนิดหนึ่งผุดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาหันมองหน้ากันเองก่อนจะหันไปมองเฮียครามที่ถึงกับถอนหายใจออกมา เลียริมฝีปากค้างไว้ราวกับไม่คิดว่าฉันจะกล้าพูดแบบนั้นออกไป
“ชื่อหยีนะคะ”
ฉันทำเป็นไม่สนใจสายตาเซ็งจัดของไอ้เฮียแต่รีบแนะนำตัว ถึงพวกเขาน่าจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าฉันเป็นใคร แม้ว่าตลอดทั้งสัปดาห์ฉันจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน แทบไม่ได้ออกมารับแสงเดือนแสงตะวันเลยก็ตาม ยังไงวันหนึ่งก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี ทำความรู้จักกันไว้ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
“เฮียชื่อยักษ์ เป็นเพื่อนสนิทไอ้คราม ส่วนนี่เฮียราม นี่เฮียเจิน… เจอไอ้พริกแล้วใช่ปะ?” เฮียคนเดิมรีบแนะนำตัวเอง รวมถึงเพื่อนอีกสองคนข้างเขาก็ด้วย
“หยีเจอแล้วตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน”
“เห็นมันบอกว่าน้องหยีสวยมาก”
“เจ๊ก็สวยมากเลย” ฉันรีบบอกออกไปตามจริง แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ก็ตาม และแค่นั้นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองก็คลี่ยิ้มจนเกือบถึงใบหูจนคนอื่นพากันหัวเราะเมื่อเห็นอาการที่เปลี่ยนไปนั่น
“เมียไอ้รามมัน”
เฮียยักษ์ทำเป็นป้องปากบอก และฉันก็ถึงบางอ้อตอนนี้เองว่าเสียงเด็กร้องไห้ที่มักจะได้ยินมาจากบ้านข้าง ๆ นั่นคงจะเป็นลูกของเจ๊พริกกับเฮียรามแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย แม้ว่าทั้งคู่จะยังดูสวยหล่อกันอยู่มาก แต่ก็มีโซ่ทองคล้องใจกันแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวินาทีต่อมาฉันถึงได้ชำเลืองมองไปที่เฮียครามซึ่งตอนนี้กำลังยืนฟังการสนทนาเงียบ ๆ สีหน้าเบื่อหนักอยู่ตรงนั้น
แล้วระหว่างฉันกับเขาล่ะ… จะเป็นยังไง…
เรายืนคุยกันต่ออีกนิดหน่อยเพราะว่าเฮียเจินต้องรีบกลับไปหาแฟนที่เพื่อนเขาเรียกกันว่าเมีย ส่วนเฮียยักษ์บอกว่าต้องออกไปเจอสาว ในขณะที่เฮียรามกลับเข้าบ้านไปหาลูกหาเมีย และตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับอีกคน
“เช็ดน้ำลายหน่อยก็ได้”
ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์รถทั้งสองคันแล่นห่างออกไป คนที่ยืนเต๊ะท่าอยู่ก็เอ่ยขึ้นทันที เช็ดน้ำลายบ้าอะไรกัน… อาการฉันมันออกขนาดนั้นเลยหรือยังไง…
“ก็เพื่อนเฮียหล่อนี่” ฉันแกล้งเอ่ยหยอกไปงั้นตอนที่เดินตามร่างสูงเข้าบ้านมา
“ไม่ต้องไปคุยกับพวกมันเยอะ”
“ทำไมอะ? ยังไงก็เพื่อนเฮีย”
“…”
“เมียทำความรู้จักกับเพื่อนสามีไม่เห็นจะแปลก”
“…”
ร่างสูงหันมองกลับมา สีหน้าซีเรียสขึ้นเล็กน้อยราวกับอยากจะพูดอะไรออกมาแต่แล้วก็ไม่พูด และฉันเองก็ไม่ชอบเหมือนกันที่ตัวเองดันรู้ทันในสิ่งที่เขากำลังคิด
รองเท้าส้นสูงถูกถอดเก็บเข้าชั้น บรรยากาศในบ้านเงียบไปชั่วครู่ ในขณะที่ทั้งเฮียรวมถึงฉันเองชำเลืองมองกัน ราวกับว่ากำลังตัดสินใจว่าควรพูดอะไรออกไปดีหรือเปล่า…
และฉันก็เป็นฝ่ายพูดในสิ่งที่เขาคงกำลังคิดอยู่ขึ้นเอง
“เฮียกลัวว่าถ้าวันนึงเราแยกกันแล้วมันจะมีปัญหาเหรอ?”
“…”
ฉันเดินเข้าไปจนใกล้ เงยหน้าขึ้นมอง คนตรงหน้าไม่ได้ถอยห่างแต่ก็ไม่ได้ตอบรับอะไรออกมา และนั่นก็ราวกับเป็นคำตอบ อาจเป็นเพราะฉันไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นอะไรที่ซีเรียสตรงไหน
แขนสองข้างขยับเข้าหาสวมกอดคนที่ยืนนิ่งเอาไว้แบบไม่ต้องมีพิธีรีตองหรือการทำใจอื่นใด ปลายเท้าเขย่งขึ้นไปเพื่อที่จะจูบเขา เฮียครามไม่ได้ถอยหนีหรือเบี่ยงหน้าหลบเหมือนวันแรก ๆ ทำเพียงแค่ยืนนิ่งมองการกระทำที่ตอนนี้เขาคงจะชินชาไปแล้วจากคนเป็นเมีย
“หยีไม่ได้คิดจะหย่าจริง ๆ”
“…”
“ก็รู้ว่าเฮียไม่ได้เต็มใจ แต่…”
“ไม่อยากให้ความหวัง”
“…”
น้ำเสียงจริงจังเอ่ยขัดขึ้นทันที เฮียครามหลับตาลงเหมือนหนักใจที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมาตรง ๆ เขาคงต้องการสื่อว่าระหว่างเราไม่มีทางจะไปกันได้รอดแน่นอน และฉันก็ไม่ควรจะไปตีซี้กับคนรอบตัวเขาให้มากนัก
และใช่… ตอนนี้ฉันก็รู้สึกอายขึ้นมา
เราสบตากันอยู่นานจนเขาเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปก่อน รู้อยู่ว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้… แต่ฉันก็คิดจะลงหลักปักฐานกับเขาจริง ๆ
“ทำไม… เราไม่ลองดูก่อน”
“…”
“ถ้ามันไม่เวิร์กจริง… ถึงวันนั้นหยีจะไม่ห้ามเลย”
“…”
เฮียครามหันมองกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นฉันเองที่ถอนกอดออกจากเขาแล้วรีบเบี่ยงตัวเดินขึ้นบันไดไป เพราะไม่อยากจะฟังคำตอบของอีกคนในตอนนี้ ยังไงก็ดูแย่อยู่ดี มันราวกับเป็นการขืนใจเขาให้มาอยู่ด้วยกันจริงจัง
ก็ถ้าการแต่งงานของเราไปกันไม่รอดขึ้นมาจริง ๆ ถึงจะปากดีแบบนี้… แต่ถ้าถึงวันนั้นมาถึง ใครจะไปรั้งใครได้ลง…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ความจริงฉันอยากจะนอนพักต่ออีกสักคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปลุยงานใหม่ก็ยังไม่สาย แต่บรรยากาศในห้องนอนมันเงียบจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ความโนสนโนแคร์เมื่อหลายวันก่อนกำลังสั่นคลอนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของอีกคน
ทำให้วันนี้แม้จะนอนอยู่ข้างกัน แต่ฉันก็ไม่กล้าเข้าไปขอจูบเขาเหมือนที่ทำมาตลอดทั้งสัปดาห์…
เฮียครามคงจะนอนหลับไปแล้วอย่างง่าย ๆ ถึงตัวฉันเองก็พยายามที่จะนอน แต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับจนต้องขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง ตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ก็พาตัวเองเดินลงมาที่ชั้นล่างของตัวบ้าน เปิดไฟเปิดแอร์เสร็จสรรพเตรียมละทางโลกเข้าสู่ห้วงแห่งจินตนาการอีกครั้ง
เพราะหัวสมองมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย เลยไม่ทันได้มองว่าน้ำร้อนที่ตัวเองกำลังรินใส่แก้วเพื่อที่จะชงกาแฟนั้นกำลังเอ่อล้นออกจากปากแก้วจนไหลลงสู่พื้น และแน่นอนว่ามันลวกเท้าฉันเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย…”
ฉันกระโดดตัวถอยห่าง วางกาน้ำลงที่เดิมแล้วยกมือขึ้นกุมขมับอย่างเซ็ง ๆ เพราะอะไรก็ดูจะผิดไปหมด ยืนเงียบอยู่เกือบนาทีก็ต้องตกใจเพราะได้ยินเสียงใครอีกคนดังขึ้น
“เอาแต่ยืนอยู่แบบนั้นเดี๋ยวเท้าก็แหกหมดพอดี”
“…”
ร่างสูงของคนที่คิดว่านอนหลับไปแล้วเดินเข้ามาจนใกล้ก่อนจะย่อตัวนั่งลงคว้าเอาเท้าฉันไปดู มันก็ขึ้นสีแดงน่ากลัวอยู่ แต่ฉันไม่ได้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนอะไรนัก รีบดึงกลับมา
“หยีไม่เป็นไร”
“…”
เฮียครามลุกขึ้นเดินไปหากล่องยาแล้วกลับมานั่งลงท่าเดิม คว้าเอาเท้าไปอีกรอบ อะไรที่เขาทำมันคงเป็นเพราะหน้าที่ล้วน ๆ ไม่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง
แต่มาทำแบบนี้… จะไม่ให้ฉันคิดว่าระหว่างเราอาจมีแนวโน้มว่าจะไปกันรอดได้ยังไง
ฉันคงจะเงียบมากเกินไปจนอีกคนดูออก พอทายาเสร็จคนตรงหน้าก็ยังไม่ได้กลับขึ้นไปข้างบน ร่างสูงของเฮียยืนนิ่งอยู่กับที่ และฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาว่าเขาอาจจะพูดอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเขวมากไปกว่านี้เลยเลือกที่จะยิ้มให้ก่อนจะเดินหนี
“หยี”
“…”
“ทำไมไม่ไปนอน?”
“หยีจะทำงาน”
“…”
ถึงจะไม่อยากคุย แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากมา สุดท้ายฉันก็ต้องหันกลับไปมอง เฮียครามดูแปลกไปนิดหน่อย สายตาที่มองมาเหมือนกับว่าจะเป็นห่วงกัน… แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะเห็นฉันสตันไปกับคำพูดของเขากระมัง
“หยีไม่เป็นไรหรอก” ฉันปั้นหน้ายิ้มให้ แม้ในใจจะอ่านทุกอย่างออกแทบหมดก็ตาม “ยังไงเฮียก็ชัดเจนมาแต่แรก”
“…”
“เฮียไปนอนเถอะ หยีจะทำงาน”
ฉันหมุนตัวเดินหนีอีกครั้ง หัวสมองกำลังตีกันอย่างหนักระหว่างสองความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ความคิดแรกก็คือความคิดเดิมที่ฉันตั้งใจมาตั้งแต่ต้นว่ายังไงก็จะต้องต่อสู้เพื่อความเป็นเมียแบบที่ผู้ใหญ่พูดกันว่า อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
แต่ความคิดที่แทรกเข้ามาเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เอง เป็นความคิดที่มีความเห็นอกเห็นใจอีกคน
แต่… ถึงมันจะแย่…
สุดท้ายฉันก็กลั้นใจเลือกหนทางเดิมของตัวเอง จากที่จะเดินไปทำงานอย่างปากว่า ก็หมุนตัวสาวเท้าเดินเข้าไปหาเฮียที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
แขนสองข้างกอดเอวเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน ยิ้มหวานให้คนที่ยังคงไม่คิดอะไรต่อกัน ทั้งยังบอกว่าไม่อยากให้ความหวัง ปลายเท้าสองข้างเขย่งขึ้นเงยหน้าประทับจูบแผ่วเบา ถึงจะแสดงออกไปแบบนั้นไม่ต่างจากทุกวัน แต่ใจฉันกลับสั่นไหวไม่เป็นท่าแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย
“หยีลืมจูบเฮียก่อนนอนนี่เอง”
EPISODE 50ตอนพิเศษ 3 วันต่อมา ผมตื่นแล้ว… เพราะเสียงรัวกดกริ่งดังไม่หยุดที่หน้าบ้านนั่น ให้เดาก็คงเป็นไอ้พริกกับไอ้รามนั่นแหละ แต่ต่อให้เสียงกริ่งจะดังแค่ไหนก็ดูเหมือนคนข้าง ๆ จะไม่ได้ยิน รู้อีกทีผมก็อุ้มหลานพาดบ่า ถือตะกร้าขวดนมเดินลงมาข้างล่าง สภาพสะลึมสะลือขีดสุดเพราะแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน นัยน์ตาต้องหรี่ลงเพราะแสงอาทิตย์จ้าในช่วงสายของวัน “สภาพน่ารักแบบนี้กูต้องอัดรูปใส่กรอบแล้วมั้ง” เสียงร่าเริงของไอ้ห่ารามดังขึ้น พร้อมกันมันก็รีบยกโทรศัพท์รัวถ่ายรูปยกใหญ่ “ยิ้มเป็นไงบ้าง?” พอประตูเปิด คนเป็นแม่รีบรับลูกต่อไป ท่าทางเป็นห่วง ผมส่งต่อตะกร้านมให้ไอ้ราม ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ขี้ทั้งคืน มึงรีบพาไปหาหมอเลย” “โถ…” “แค่นี้นะ กูจะไปนอน” “ตอนเย็นมาแดกข้าวด้วย” เสียงไอ้รามยังคงดังต่อ ผมไม่ได้สนใจเพียงแค่หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน โบกมือให้มันนิดหน่อยเท่านั้น พอขึ้นมาถึงห้องนอนก็พบว่าหยีเหมือนจะเพิ่งตื่น หัวผงกขึ้นมองเล็กน้อย นัยน์ตาใสปรือมองก่อนจะตบที่นอน
EPISODE 49ตอนพิเศษ 2 หลายชั่วโมงต่อมา “เฮียชงนมเสร็จรึยัง?” “แป๊บ” “ยิ้มร้องไม่หยุดเลยทำไงดี?” “เดี๋ยวเฮียอุ้มเอง หยีไปอาบน้ำได้แล้ว” “ไม่เอาอะ” ผมเดินกลับมาหาคนที่กำลังยืนอุ้มหนูยิ้มพาดบ่า เสียงร้องไห้โยเยดังมาได้ร่วมชั่วโมงแล้วแบบไม่มีพัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยิ้มถึงได้ร้องไม่หยุดแบบนี้ แต่จะให้โทรไปบอกให้พริกก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวแม่งไม่เป็นอันทำห่าอะไรกันพอดี หยีไม่ยอมให้เอายิ้มมา กลับเดินหนีไปอีกทาง วางร่างเล็กของหลานไว้บนเตียงก่อนจะป้อนนมเข้าปากเล็กนั่น และพอได้จับขวดนม นัยน์ตาใสแป๋วที่เมื่อครู่มีน้ำตาคลอก็ชะงักเงียบไป มืออ้วนป้อมจับขวดนมถือเอง พลิกตัวไปทางเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผมเม้มปากกลั้นยิ้ม ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ แม้ว่าในห้องจะเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำแต่เพราะสถานการณ์เมื่อครู่ทำให้แอบเหนื่อยไม่น้อย ทั้งที่ปกติหนูยิ้มเป็นเด็กที่ไม่ค่อยร้อง แต่อาจจะเป็นเพราะห่างพ่อห่างแม่ทำให้เกิดอาการร้องไม่หยุดแบบนี้ ก็เด็กนั่นแหละ แถมเป็นหลานผมด้วย จะบอกว่ารักเหมือนลูกตัวเองก็คงไม่ผิดนัก
EPISODE 48ตอนพิเศษ 1 KRAM TALKS เวลาผ่านเลยไปก็หลายเดือน ทุกอย่างดูสงบสุขดี เว้นก็แต่… หยีไม่ยอมกินข้าวเลย เอาแต่ทำงาน ซ้ำยังไม่มีเวลาให้คนเป็นสามีแบบผมด้วย และใช่… มันน่าหงุดหงิด อยากจะจับมาฟัดสักทีสองที บรรยากาศในบ้านช่วงบ่ายอ่อน ๆ ที่แสนจะเงียบเชียบ มีเสียง ‘ต๊อกแต๊ก ๆ’ ดังอยู่เหมือนเช่นทุกวัน ต่อให้ผมเดินผ่าน หรือเปิดประตูบ้านเข้ามา คนที่กำลังนั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ใส่แว่นตาทรงโต ในรูจมูกข้างหนึ่งมียาดมเสียบเอาไว้ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจกันเลยแม้แต่นิด ช่วงนี้หยีจริงจังกับการเขียนนิยายมากจนผมไม่อยากจะไปกวน แต่บางทีมันก็แอบอยากอยู่ด้วย อยากชวนไปข้างนอก ไม่ก็ชวนหาอะไรทำ… เราไม่ได้เข้านอนพร้อมกันมาร่วมเดือนแล้ว และเรื่องพวกนั้นก็แทบไม่ได้ทำกันเลย เพราะน้องมันเอาแต่ทำงาน พอหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับเป็นตาย ใครแม่งจะไปกล้ากวน แต่เพราะระยะนี้เจ้าตัวออกจะอาการหนักเกินไปสักหน่อย ถึงขั้นไม่กินข้าวกินปลาเหมือนตอนก่อนนู้นสมัยที่เราย้ายมาอยู่ด้วยกันแรก ๆ ผมเลยตั้งใจว่าอาจจะต้องบังคับให้เมียหยุดทำงาน
EPISODE 47ก้าวไปข้างหน้า หลายเดือนต่อมา “กรี๊ด!!!!!!” “อะไร…” “เฮีย! ตื่นมาดูนี่เร็ว!” “…” คนข้าง ๆ ยกหัวขึ้นมามองในตอนที่ฉันกำลังส่องหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดู มือไม้สั่นหนักจนเฮียครามต้องดึงไปดูเอาเอง คิ้วหนาเลื่อนเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจจนฉันต้องดึงมันกลับมาดูอีกครั้ง ส่งเสียงวี้ดว้ายไปมาอย่างหยุดไม่อยู่ “เฮีย! นิยายของหยี… ได้ขึ้นหน้าหนึ่งขายดีแล้วนะ!!!” “อืม…” “เฮียอะ!! ไม่ดีใจหน่อยเหรอ?” “ดีใจดิ” “เฮียดูสิ ๆ ๆ หยีตื่นเต้นอะ!” “ใจเย็น” คนข้าง ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งหัวเราะออกมาเบา ๆ ดึงเอาตัวฉันไปกอดจูบลงบนเรือนผมกันสองสามที ถึงจะไม่ได้แสดงอาการดีอกดีใจได้มากไปกว่านี้ แต่แค่นี้สำหรับคนแบบเฮียแล้วก็ถือว่าโอเค… และใช่… หลังจากที่ฉันตั้งอกตั้งใจเขียนนิยายต่อเนื่องกันอยู่หลายเดือนแบบที่เรียกได้ว่าข้าวปลาไม่สนใจจะกิน ตอนนี้ก็ราวกับว่าความพยายามนั้นสัมฤทธิ์ผลเข้าให้แล้ว การตั้งตารอให้นิยายที่ตัวเองเขียนขึ้นหน้าขายดีของ
EPISODE 46งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฉันยังคงนั่งนิ่ง พยายามเก็บอาการตระหนกตกใจเอาไว้ไม่ให้ผิดสังเกต คนข้าง ๆ กำลังทำเป็นส่งยิ้มให้คนอื่น ๆ แบบที่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเฮียจะฝืนใจตัวเองทำแบบนี้ได้ลง แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขากำลังทำ “เฮียทำไรอะ?” พอเห็นว่าอีกสามคนไม่ได้มองอยู่ ฉันก็รีบกระซิบถามทันที เฮียครามไหวไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “แค่มาอยู่เป็นเพื่อนหยีไง” “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” “บอกแล้วไงว่าเป็นของขวัญ” “แต่…” “ไม่เป็นไร… เฮียตั้งใจจะช่วยเด็ก ๆ อยู่แล้ว” คนข้าง ๆ ยิ้มใจดี เลื่อนมือมากุมมือฉันไว้เมื่อเห็นว่าฉันผู้ซึ่งได้รับความช่วยเหลือแบบที่ว่านี้ไม่ได้ยินดีอะไรนัก ดูก็รู้ว่าเฮียคงอยากจะช่วยทำให้ฉันหายเป็นกังวลในเรื่องสังคมป่วย ๆ นี่ และใช่… ฉันไม่เห็นด้วยที่เฮียจะทำถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเขาพูดมางั้นว่าอยากช่วยน้อง ๆ ฉันจะไปทำอะไรได้ ก็แค่… ไม่คิดว่าเฮียจะเต็มใจมาจนถึงขั้นแต่งองค์ทรงเครื่องเบอร์นี้ “เอ… จริง ๆ ยิหวาคุ้นหน้าเฮียครามมากเลยนะคะ” เสียงคนตรงหน
EPISODE 45ครบรอบ หลายวันต่อมา ฉันกำลังแต่งตัวเตรียมไปงานเปิดตัวกระเป๋าอะไรสักอย่างนั่นของคุณส้มที่ลิลลี่พูดถึง ถึงใจจะไม่อยากไป แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะเป็นคนเดียวที่ถูกนินทาก็เลยจำใจต้องไป เฮียครามเพิ่งกลับมาจากข้างนอก กำลังถอดเสื้อเชิ้ตโยนใส่ตะกร้า เท้าสะเอวมองมาเงียบ ๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้เฮียฟังอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ชอบที่จะให้ฉันไปปั้นหน้าเข้าสังคมแบบนั้น แต่ถึงงั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แน่นอนว่าก็ไม่ยอมไปด้วยอยู่ดี “หยีน่าจะกลับดึก ๆ หน่อย”ฉันว่าพลางใส่ต่างหูที่กลั้นใจซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่บอกว่ากลั้นใจซื้อเพราะว่าระยะหลังมานี้ฉันไม่ได้มีเงินให้ใช้ฟุ่มเฟือยเหมือนเมื่อก่อน ถึงสถานการณ์ที่บ้านกำลังอยู่ในช่วงที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ฉันก็ไม่อยากจะไปรบกวนอะไรให้มากนัก อีกทั้งเฮียเองก็บังคับให้ใช้เงินเขา เพราะงั้นไอ้ของฟุ่มเฟือยนี่ก็คือเงินเก็บของฉันเองที่ได้จากการขายงานนั่นแหละ“สวยไหม?”หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็หันกลับไปหมุนตัวให้คนเป็นสามีดู เฮียที่ยังคงอยู่ในสภาวะหน้านิ่งชำเลืองข