EPISODE 8
ใจเต้นแรง
วันต่อมา
เพราะไม่อยากให้บรรยากาศในบ้านมันแย่ ฉันเลยตัดสินใจกลับมาทำตัวตามปกติ เฮียเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าสิ่งที่เขาพูดทำให้ฉันเขวไปไม่น้อย แต่แทนที่จะตอกย้ำซ้ำเติมกัน ก็ยังดีที่มีความเห็นอกเห็นใจไม่พูดเรื่องเดิมออกมา
เราสองคนกลับมาเป็นคู่ (พยายาม) รักเหมือนเดิม หรือก็อาจจะฉันแค่คนเดียว
ตลอดทั้งคืนมาจนถึงเช้าวันนี้ฉันไม่ได้นอนเลยเพราะนั่งทำงานยิงยาวเหมือนเดิม พอตั้งท่าจะนอนก็กลายเป็นว่าฟ้าสางแล้ว แต่แทนที่จะง่วงตอนไหนก็นอนตอนนั้นเหมือนอย่างเก่า ฉันเกิดจะอยากทำอะไรแบบที่คนเป็นเมียเขาทำกันบ้าง สุดท้ายเลยนั่งดูยูทูบทำอาหารเอาไว้รอคนเป็นสามีตื่น
ทั้งที่ก็ไม่เคยทำเลยมาตลอดชีวิตนั่นแหละ… ไม่เห็นจะมีอะไรยาก…
ในที่สุดก็ได้เป็นข้าวหน้าไข่ข้นกุ้งออกมา หน้าตาดีไม่เลว แต่กินได้หรือเปล่าอีกเรื่องนึง…
และตอนที่กำลังวางแตงกวากับมะเขือเทศเพื่อตกแต่งจานให้มันดูดีขึ้นมาหน่อย อีกคนก็เดินลงบันไดมา เฮียครามอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหมือนทุกวัน เขาเป็นพวกตื่นเช้าโดยกำเนิดละมั้ง ต่างจากฉันที่เช้าแล้วมักจะยังไม่ได้นอน
ฉันรีบเดินถือเอาจานใส่ข้าวร้อน ๆ ไปหาเขา ร่างสูงชะงักอยู่กับที่ ก้มลงมองจานข้าวด้วยสายตาแปลกไป ก็ต้องแปลกอยู่แล้ว… ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยนี่… ผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องชอบผู้หญิงที่ดูเป็นแม่ศรีเรือนอยู่แล้วสินะ
“กินข้าวสิ หยีทำเอง” ฉันไม่พูดเปล่า รีบพยักหน้าเรียก แต่อีกคนกลับทำสีหน้าไม่ค่อยไว้วางใจ
“…”
ถึงจะทำหน้าแบบนั้นแต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เดินมานั่งลงที่โซฟา รับเอาช้อนส้อมไปถือเอาไว้ ก่อนจะลงมือกินแบบไม่ต้องมีพิธีรีตอง ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ ฉันก็ต้องรีบผละไปรับโทรศัพท์ที่ตอนนี้กำลังแผดร้องเสียงดัง
แต่ก็ต้องคิดผิดที่ไม่ดูให้ดีก่อนจะกดรับสายไป…
‘หยี วันนี้ว่างไหม?’ เสียงสดใสของปลายสายดังขึ้นก็ทำเอาฉันต้องดึงหน้าจอมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ถึงกับเซ็ง
“น่าจะไม่… มีอะไรรึเปล่าลิลลี่?”
‘ทำตัวให้ว่างหน่อยสิ ทุกคนอยากเจอนะ ไปผับแถวบ้านแกก็ได้ หยีย้ายไปอยู่ตรงที่เราเจอกันเมื่อวานใช่ไหม?’
“ก็ใช่ แต่ว่า…”
‘งั้นดีเลย คืนนี้เจอกันที่ผับ G นะ ห้ามปฏิเสธล่ะ… ไม่คิดจะคบพวกฉันแล้วรึไง?’
“…” ให้ตายสิ… ยัยบ้านี่น่ารำคาญจริง
‘ว่าไง? คุณแม่ฝากความคิดถึงมาด้วยนะ’
“…”
“หยี?”
“…โอเค ตกลง”
‘งั้นตามนี้ เจอกัน’
“อืม…”
‘อุ๊ย! ลืมเรื่องสำคัญเลย… ชวนเฮียครามออกมาด้วยสิ ฉันเล่าให้คนอื่นฟัง จูดี้กับยิหวาอยากจะเจอเขามากเลยนะ’
“…เฮียคงไม่ไปหรอก”
‘ยังไงก็แต่งกันแล้ว พามาแนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักสิ อายุเขาก็พอ ๆ กับเราน่าจะสนุก’
“…” สนุกกับผีอะสิ…
‘พามาให้ได้นะ เจอกันจ้า’
“…”
สายตัดไปแล้วอย่างรวดเร็วราวกับมัดมือชก ฉันยกมือขึ้นเสยผมอย่างเซ็งจัด เวลาหลีกเลี่ยงที่จะออกไปเจอทีไร ยัยบ้านี่ก็ชอบยกคุณแม่นางมาอ้างทุกที มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องการคบหากันของเด็ก ๆ หรอก ถึงจะเหนื่อยใจที่จะต้องคบกับคนพวกนี้แค่ไหน แต่การเฟดตัวออกมามันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจของพวกผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ดันเกิดมาท่ามกลางความซับซ้อนยุ่งยากแบบนี้ แค่ออกไปเจอแป๊บ ๆ แล้วค่อยชิ่งกลับเหมือนทุกทีก็คงได้อยู่หรอก
แต่เรื่องที่จะให้เฮียครามไปด้วย… คงเป็นไปไม่ได้แน่…
เพราะแค่หันมองกลับไปหาคนที่กำลังกินข้าวอยู่เงียบ ๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปเลยด้วยซ้ำ ก็ราวกับเขาจะรู้ทันเฮียรีบเอ่ยดักคอทันที
“ไม่ไป”
“…หยียังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”
“ได้ยินหมดแล้ว เสียงดังขนาดนั้น”
“ไปหน่อยไม่ได้เหรอ?” ฉันลองเลิกคิ้วถามดู แต่เจ้าตัวก็ยังคงส่ายหน้า
“ไม่ไปไม่ว่าง”
“เฮียไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“มีนัดกับเพื่อน”
“แต่…”
“…”
ถ้าเป็นตัวตนฉันจริง ๆ ก็คงต้องเอาให้ได้นั่นแหละ แต่เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้คิดขึ้นมาได้นิดหน่อยว่าไม่ควรจะไปกวนเขาให้มากเกินไป แค่นี้เจ้าตัวก็ฝืนทนจะตายอยู่แล้วมั้ง
ยังไงเขาก็ยังดูเป็นวัยรุ่นที่ก็คงมีหลาย ๆ อย่างที่อยากจะทำกับเพื่อนอย่างนั้นกระมัง
เฮียยังไม่ได้ทำงานเป็นจริงเป็นจัง เห็นมีเข้าบริษัทบ้างแค่บางวันเพราะคุณลุงคงอยากจะให้เข้าไปดูงาน แต่ก็ยังคงอยู่ในช่วงใช้ชีวิตหลังเรียนจบ และฉันก็ไม่อาจไปตัดสินอะไรใครเขาได้ บางทีเขาอาจจะกำลังอยู่ในช่วงวางแผนจะทำอะไรก็ได้ แต่เรายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่ว่าจะคุยเรื่องซีเรียสแบบนั้นไง ถึงตัวฉันเองก็อยู่ในช่วงตามล่าความฝันเหมือนกัน
ใช่… ความฝันที่จะเป็นนักเขียนบนชาร์ตขายดีบนเว็บไซต์จำหน่ายวรรณกรรมอิเล็กทรอนิกส์แบบนั้น นั่นแหละเป้าหมายในปีนี้ของฉันเอง…
ร่างสูงของเฮียผุดตัวลุกขึ้น ตั้งท่าจะเดินออกจากบ้านไปเหมือนทุกที และฉันก็เพิ่งจะได้สังเกตเห็นว่าจานข้าวที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจทำเมื่อชั่วโมงก่อน ตอนนี้หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวสวยสักเม็ดเดียว
ตอนค่ำ
ฉันกำลังวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวมาเกือบจะครบชั่วโมงเต็มแล้วตอนที่เฮียครามกลับเข้าบ้านมา ประตูห้องนอนเปิดออกในตอนที่ฉันกำลังพยายามรูดซิปหลังของชุดเดรสเกาะอกพอดี
“เฮียมารูดให้หยีหน่อยสิ”
“…”
ฉันปล่อยมันไว้อย่างนั้น รอให้อีกคนเดินมารูดให้ และตอนที่กำลังใส่ต่างหูก็เห็นได้ผ่านกระจกเงาว่าเขากำลังทำสีหน้ายังไง เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่ลากสายตามองผ่านชุดเดรสแนบสนิทไปกับเรือนกายของฉัน มันก็ออกจะสั้นไปหน่อย แต่ปกติแล้วฉันก็แต่งแบบนี้ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเสียเมื่อไร
แต่ที่ต่างคือวันนี้ฉันไม่ได้ปล่อยเรือนผมสีแดงให้ยาวสยายลงมาเหมือนเดิม แต่รวบเป็นมวยอยู่ที่กลางหัว ช่วงไหล่เปล่าเปลือยเลยดูออกจะเซ็กซี่เกินไปหน่อยละมั้ง เฮียถึงทำหน้างั้น แต่กระนั้นก็ไม่ได้เห็นความหวงแหนอะไรแบบที่ควรจะเป็นหรอก เพราะอึดใจต่อมาเขาก็เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
“หยีกลับดึกนะ”
“อืม…”
หลังจากแต่งตัวจนเสร็จฉันก็หันกลับไปมองคนที่ไม่ได้สนใจอะไรกัน ก่อนจะชั่งใจว่าควรจะเอ่ยปากออกไปดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ต้องลองพูดออกไป
“เฮียจะไปรับหยีไหม?”
“…” คนตรงหน้าละสายตาขึ้นมอง แต่ไม่ได้ตอบรับออกมาในทันที สีหน้ากำลังตัดสินใจอะไรแบบนั้นทำให้ฉันถอนหายใจออกมาราวกับได้คำตอบแล้ว แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้ม
“ไม่เป็นไร หยีกลับเองได้สบายมาก”
ว่าแล้วฉันก็เดินไปคว้าเอากระเป๋าที่เข้ากันกับชุดมาคล้องแขนไว้ พยายามทำเหมือนว่าตัวเองไม่เป็นไรจริง ๆ ทั้งที่ก็แอบรู้สึกอยู่ในใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงจะเอ่ยปากบังคับเขาเป็นแน่ แต่ตอนนี้… ความรู้สึกผิดมันวิ่งแล่นเข้าหาตลอดเลย
รู้งี้เอารถมาจากที่บ้านด้วยซะก็ดีหรอก… ฉันไม่ได้เอารถของตัวเองมาจากที่บ้านเพราะก็ไม่ได้ต้องออกไปทำงานข้างนอก อีกอย่างก็มีเฮียอยู่ด้วย แต่ก็ลืมไปว่าเขาอาจจะไม่ได้พร้อมให้บริการตลอดเวลา
“หยีไปแล้วนะ” ถึงจะฝืนใจแค่ไหนฉันก็ต้องหันกลับไปยิ้มให้เฮียอีกที แต่กลายเป็นว่าร่างสูงเดินผ่านหน้ากันเดินนำออกจากห้องไปก่อน
“เดี๋ยวไปส่ง”
“…”
“จะมาไหม?”
“อือ”
คงจะเห็นว่าฉันยืนบื้อใบ้อยู่กระมัง คนที่เดินล่วงหน้าลงไปแล้ว ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองแบบนั้น เราสองคนลงมาถึงชั้นล่างเฮียก็ต้องนั่งรออยู่อีกเกือบสิบนาทีเพราะฉันพยายามหารองเท้าที่เข้ากันได้กับชุดที่ตัวเองใส่อยู่ และในที่สุดก็ได้ส้นสูงสี่นิ้วสีแดงมาสวมก่อนจะหันไปพยักหน้าเรียกคนที่ก็ยังคงนั่งเงียบ ๆ มองมา
สายตาคมเลื่อนมองตั้งแต่เท้าขึ้นมาจนถึงหัวด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก และเฮียก็ไม่ยอมลุกสักทีจนฉันต้องเอ่ยปากเร่ง
“เร็วสิเฮียรออะไร?”
“ไม่โป๊ไป?”
“…”
เพราะเขาพูดออกมาแบบนั้นทำให้ฉันต้องก้มลงมองตัวเองอีกครั้ง จะว่าโป๊มันก็โป๊ จะว่าไม่ก็ไม่ ของแบบนี้แล้วแต่คนจะมอง อาจเป็นเพราะฉันมันพวกชอบแต่งตัวอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เลยทำเพียงแค่ยักไหล่
“ไม่เห็นจะโป๊ตรงไหนเลย”
“…”
คนที่นั่งอยู่ขยับตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จริง ๆ ก็แอบคาดหวังให้เขาทำเป็นหวงกันสักนิดอยู่หรอก แต่ก็ไม่มี…
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็จอดสนิทลงที่หน้าผับที่ฉันจำใจต้องออกมาเจอคนอื่น ๆ แบบที่ก็ไม่อยากมาเท่าไร แต่เบลต์มันดันถอดไม่ออก นั่งกด ๆ ดึง ๆ อยู่สักพักเฮียก็หันมองมา
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับเอี้ยวตัวข้ามฟากมายังที่นั่งฉัน พยายามจะช่วยถอดให้แต่ก็ดูเหมือนจะติดอะไรบางอย่าง ใบหน้าเราอยู่ใกล้ไม่ถึงฝ่ามือ ในขณะที่ฉันนั่งรอให้เขาจัดการ…
ใจก็เกิดจะเต้นตึกตักขึ้นมาเพราะความใกล้ชิดแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฉันอ้อนจะเอาจูบทุกคืน แต่มาจากการกระทำของอีกคนที่คงจะทำไปแบบที่ไม่ได้คิดอะไร
พอดึงเบลต์ออกได้สำเร็จ เฮียก็ดึงตัวเองกลับไปแต่สายตายังคงมองต่ำลงที่เรียวขาซึ่งโผล่พ้นขอบชุดแบบที่ปิดอะไรไม่มิดของฉัน ฉันยิ้มหวานให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป
แต่ยังไม่ทันที่จะได้โทรหาเพื่อนให้ออกมารับ คนที่มาส่งกลับเดินตามลงมา แค่ร่างสูงโปร่งดูดีออราจับของเฮียใกล้เข้ามา สาว ๆ ที่อยู่ด้านหน้านอกตัวผับก็พากันหันมองเป็นตาเดียว
“เฮียมีอะไร?”
“ดึงกระโปรงหน่อย เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว…”
“…”
คนตรงหน้าไม่พูดเปล่าแต่เดินเข้ามาประชิดตัว มือสองข้างโอบอ้อมไปด้านหลังดึงชายกระโปรงคับแน่นของฉันให้ต่ำลงแบบไม่แคร์สายตาใครเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังจ้องหน้ากันในระดับที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจห่างออกไปไม่ถึงฝ่ามือ
และฉันเองก็ทำได้เพียงยืนนิ่งให้เขาจัดการ เฮียครามสบตากันอยู่อึดใจก็ผละออกไปโดยที่ไม่ได้ขยายความการกระทำไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของตัวเอง
และใช่… ฉันใจเต้นแรง
EPISODE 50ตอนพิเศษ 3 วันต่อมา ผมตื่นแล้ว… เพราะเสียงรัวกดกริ่งดังไม่หยุดที่หน้าบ้านนั่น ให้เดาก็คงเป็นไอ้พริกกับไอ้รามนั่นแหละ แต่ต่อให้เสียงกริ่งจะดังแค่ไหนก็ดูเหมือนคนข้าง ๆ จะไม่ได้ยิน รู้อีกทีผมก็อุ้มหลานพาดบ่า ถือตะกร้าขวดนมเดินลงมาข้างล่าง สภาพสะลึมสะลือขีดสุดเพราะแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน นัยน์ตาต้องหรี่ลงเพราะแสงอาทิตย์จ้าในช่วงสายของวัน “สภาพน่ารักแบบนี้กูต้องอัดรูปใส่กรอบแล้วมั้ง” เสียงร่าเริงของไอ้ห่ารามดังขึ้น พร้อมกันมันก็รีบยกโทรศัพท์รัวถ่ายรูปยกใหญ่ “ยิ้มเป็นไงบ้าง?” พอประตูเปิด คนเป็นแม่รีบรับลูกต่อไป ท่าทางเป็นห่วง ผมส่งต่อตะกร้านมให้ไอ้ราม ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ขี้ทั้งคืน มึงรีบพาไปหาหมอเลย” “โถ…” “แค่นี้นะ กูจะไปนอน” “ตอนเย็นมาแดกข้าวด้วย” เสียงไอ้รามยังคงดังต่อ ผมไม่ได้สนใจเพียงแค่หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน โบกมือให้มันนิดหน่อยเท่านั้น พอขึ้นมาถึงห้องนอนก็พบว่าหยีเหมือนจะเพิ่งตื่น หัวผงกขึ้นมองเล็กน้อย นัยน์ตาใสปรือมองก่อนจะตบที่นอน
EPISODE 49ตอนพิเศษ 2 หลายชั่วโมงต่อมา “เฮียชงนมเสร็จรึยัง?” “แป๊บ” “ยิ้มร้องไม่หยุดเลยทำไงดี?” “เดี๋ยวเฮียอุ้มเอง หยีไปอาบน้ำได้แล้ว” “ไม่เอาอะ” ผมเดินกลับมาหาคนที่กำลังยืนอุ้มหนูยิ้มพาดบ่า เสียงร้องไห้โยเยดังมาได้ร่วมชั่วโมงแล้วแบบไม่มีพัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยิ้มถึงได้ร้องไม่หยุดแบบนี้ แต่จะให้โทรไปบอกให้พริกก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวแม่งไม่เป็นอันทำห่าอะไรกันพอดี หยีไม่ยอมให้เอายิ้มมา กลับเดินหนีไปอีกทาง วางร่างเล็กของหลานไว้บนเตียงก่อนจะป้อนนมเข้าปากเล็กนั่น และพอได้จับขวดนม นัยน์ตาใสแป๋วที่เมื่อครู่มีน้ำตาคลอก็ชะงักเงียบไป มืออ้วนป้อมจับขวดนมถือเอง พลิกตัวไปทางเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผมเม้มปากกลั้นยิ้ม ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ แม้ว่าในห้องจะเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำแต่เพราะสถานการณ์เมื่อครู่ทำให้แอบเหนื่อยไม่น้อย ทั้งที่ปกติหนูยิ้มเป็นเด็กที่ไม่ค่อยร้อง แต่อาจจะเป็นเพราะห่างพ่อห่างแม่ทำให้เกิดอาการร้องไม่หยุดแบบนี้ ก็เด็กนั่นแหละ แถมเป็นหลานผมด้วย จะบอกว่ารักเหมือนลูกตัวเองก็คงไม่ผิดนัก
EPISODE 48ตอนพิเศษ 1 KRAM TALKS เวลาผ่านเลยไปก็หลายเดือน ทุกอย่างดูสงบสุขดี เว้นก็แต่… หยีไม่ยอมกินข้าวเลย เอาแต่ทำงาน ซ้ำยังไม่มีเวลาให้คนเป็นสามีแบบผมด้วย และใช่… มันน่าหงุดหงิด อยากจะจับมาฟัดสักทีสองที บรรยากาศในบ้านช่วงบ่ายอ่อน ๆ ที่แสนจะเงียบเชียบ มีเสียง ‘ต๊อกแต๊ก ๆ’ ดังอยู่เหมือนเช่นทุกวัน ต่อให้ผมเดินผ่าน หรือเปิดประตูบ้านเข้ามา คนที่กำลังนั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ใส่แว่นตาทรงโต ในรูจมูกข้างหนึ่งมียาดมเสียบเอาไว้ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจกันเลยแม้แต่นิด ช่วงนี้หยีจริงจังกับการเขียนนิยายมากจนผมไม่อยากจะไปกวน แต่บางทีมันก็แอบอยากอยู่ด้วย อยากชวนไปข้างนอก ไม่ก็ชวนหาอะไรทำ… เราไม่ได้เข้านอนพร้อมกันมาร่วมเดือนแล้ว และเรื่องพวกนั้นก็แทบไม่ได้ทำกันเลย เพราะน้องมันเอาแต่ทำงาน พอหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับเป็นตาย ใครแม่งจะไปกล้ากวน แต่เพราะระยะนี้เจ้าตัวออกจะอาการหนักเกินไปสักหน่อย ถึงขั้นไม่กินข้าวกินปลาเหมือนตอนก่อนนู้นสมัยที่เราย้ายมาอยู่ด้วยกันแรก ๆ ผมเลยตั้งใจว่าอาจจะต้องบังคับให้เมียหยุดทำงาน
EPISODE 47ก้าวไปข้างหน้า หลายเดือนต่อมา “กรี๊ด!!!!!!” “อะไร…” “เฮีย! ตื่นมาดูนี่เร็ว!” “…” คนข้าง ๆ ยกหัวขึ้นมามองในตอนที่ฉันกำลังส่องหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดู มือไม้สั่นหนักจนเฮียครามต้องดึงไปดูเอาเอง คิ้วหนาเลื่อนเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจจนฉันต้องดึงมันกลับมาดูอีกครั้ง ส่งเสียงวี้ดว้ายไปมาอย่างหยุดไม่อยู่ “เฮีย! นิยายของหยี… ได้ขึ้นหน้าหนึ่งขายดีแล้วนะ!!!” “อืม…” “เฮียอะ!! ไม่ดีใจหน่อยเหรอ?” “ดีใจดิ” “เฮียดูสิ ๆ ๆ หยีตื่นเต้นอะ!” “ใจเย็น” คนข้าง ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งหัวเราะออกมาเบา ๆ ดึงเอาตัวฉันไปกอดจูบลงบนเรือนผมกันสองสามที ถึงจะไม่ได้แสดงอาการดีอกดีใจได้มากไปกว่านี้ แต่แค่นี้สำหรับคนแบบเฮียแล้วก็ถือว่าโอเค… และใช่… หลังจากที่ฉันตั้งอกตั้งใจเขียนนิยายต่อเนื่องกันอยู่หลายเดือนแบบที่เรียกได้ว่าข้าวปลาไม่สนใจจะกิน ตอนนี้ก็ราวกับว่าความพยายามนั้นสัมฤทธิ์ผลเข้าให้แล้ว การตั้งตารอให้นิยายที่ตัวเองเขียนขึ้นหน้าขายดีของ
EPISODE 46งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฉันยังคงนั่งนิ่ง พยายามเก็บอาการตระหนกตกใจเอาไว้ไม่ให้ผิดสังเกต คนข้าง ๆ กำลังทำเป็นส่งยิ้มให้คนอื่น ๆ แบบที่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเฮียจะฝืนใจตัวเองทำแบบนี้ได้ลง แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขากำลังทำ “เฮียทำไรอะ?” พอเห็นว่าอีกสามคนไม่ได้มองอยู่ ฉันก็รีบกระซิบถามทันที เฮียครามไหวไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “แค่มาอยู่เป็นเพื่อนหยีไง” “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” “บอกแล้วไงว่าเป็นของขวัญ” “แต่…” “ไม่เป็นไร… เฮียตั้งใจจะช่วยเด็ก ๆ อยู่แล้ว” คนข้าง ๆ ยิ้มใจดี เลื่อนมือมากุมมือฉันไว้เมื่อเห็นว่าฉันผู้ซึ่งได้รับความช่วยเหลือแบบที่ว่านี้ไม่ได้ยินดีอะไรนัก ดูก็รู้ว่าเฮียคงอยากจะช่วยทำให้ฉันหายเป็นกังวลในเรื่องสังคมป่วย ๆ นี่ และใช่… ฉันไม่เห็นด้วยที่เฮียจะทำถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเขาพูดมางั้นว่าอยากช่วยน้อง ๆ ฉันจะไปทำอะไรได้ ก็แค่… ไม่คิดว่าเฮียจะเต็มใจมาจนถึงขั้นแต่งองค์ทรงเครื่องเบอร์นี้ “เอ… จริง ๆ ยิหวาคุ้นหน้าเฮียครามมากเลยนะคะ” เสียงคนตรงหน
EPISODE 45ครบรอบ หลายวันต่อมา ฉันกำลังแต่งตัวเตรียมไปงานเปิดตัวกระเป๋าอะไรสักอย่างนั่นของคุณส้มที่ลิลลี่พูดถึง ถึงใจจะไม่อยากไป แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะเป็นคนเดียวที่ถูกนินทาก็เลยจำใจต้องไป เฮียครามเพิ่งกลับมาจากข้างนอก กำลังถอดเสื้อเชิ้ตโยนใส่ตะกร้า เท้าสะเอวมองมาเงียบ ๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้เฮียฟังอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ชอบที่จะให้ฉันไปปั้นหน้าเข้าสังคมแบบนั้น แต่ถึงงั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แน่นอนว่าก็ไม่ยอมไปด้วยอยู่ดี “หยีน่าจะกลับดึก ๆ หน่อย”ฉันว่าพลางใส่ต่างหูที่กลั้นใจซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่บอกว่ากลั้นใจซื้อเพราะว่าระยะหลังมานี้ฉันไม่ได้มีเงินให้ใช้ฟุ่มเฟือยเหมือนเมื่อก่อน ถึงสถานการณ์ที่บ้านกำลังอยู่ในช่วงที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ฉันก็ไม่อยากจะไปรบกวนอะไรให้มากนัก อีกทั้งเฮียเองก็บังคับให้ใช้เงินเขา เพราะงั้นไอ้ของฟุ่มเฟือยนี่ก็คือเงินเก็บของฉันเองที่ได้จากการขายงานนั่นแหละ“สวยไหม?”หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็หันกลับไปหมุนตัวให้คนเป็นสามีดู เฮียที่ยังคงอยู่ในสภาวะหน้านิ่งชำเลืองข