ด้วยสัญชาตญาณการปกป้อง เพราะกลัวว่าน้องจะล้ม อารัญจึงโอบกอดน้องไว้ด้วยวงแขนข้างหนึ่ง รูปที่ได้ออกมาจึงเป็นรูปที่เห็นว่า พิมพ์ใจซุกหน้ากับอกกว้าง โดยมีวงแขนของพี่รัญโอบกอดเธอไว้ เห็นใบหน้าหล่อเหลาของพี่รัญชัดเจน และเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของพิมพ์ใจ
อกอบอุ่น และวงแขนที่โอบกอดเธอไว้ ทำให้พิมพ์ใจใจสั่น เด็กสาวจึงรีบเบี่ยงตัวออกจากวงแขนของพี่รัญ แล้วอ้อมแอ้มบอกเขาว่า
“พิมพ์อยากกลับบ้านแล้วค่ะ”
อารัญยิ้มเอ็นดูน้องน้อย
“ครับ กลับกันเถอะ นี่โทรศัพท์ของพิมพ์ครับ”
พิมพ์ใจรับโทรศัพท์มาถือไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วมืออีกข้างของเธอ ก็ถูกพี่รัญจับไว้ เขาจับมือเธอเดินกลับไปที่รถ พิมพ์ใจเดินตามเขาไปเงียบ ๆ แก้มนวลร้อนวูบวาบด้วยความขัดเขิน
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถ อารัญชวนน้องคุยตามปกติ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่นกเป็นเหตุทำให้น้องต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา และเมื่อพูดคุยกันไปหลายเรื่อง พิมพ์ใจก็ลืมเรื่องที่ทำให้เธอตื่นเต้นใจสั่น เด็กสาวพูดคุยกับพี่รัญอย่างน่ารักสดใสเหมือนเดิม
ในขณะที่น้องลืมเรื่องเมื่อครู่ใหญ่ไปแล้ว ทว่าคนเป็นพี่ยังใจสั่นไม่หาย กลิ่นหอมกรุ่นของน้อง ไออุ่นจากกายเนียนนุ่ม ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ เขาพยายามชวนน้องคุยไปหลายเรื่อง พยายามบอกให้ตัวเองหยุดคิด แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจปัดเหตุการณ์เมื่อครู่ใหญ่ออกจากใจได้เลย
อารัญขับรถมาส่งน้อง ที่บ้านเวลาหนึ่งทุ่มตรง ซึ่งเลยเวลาที่คุณแม่พิมพ์พรกำหนดไว้ ปกติท่านจะกำหนดเวลากลับเข้าบ้านสำหรับพิมพ์ใจคือก่อน 6 โมงเย็น
พอเห็นสีหน้าน้องมีแววกังวลใจ อารัญจึงจอดรถ และลงไปส่งน้องถึงในบ้าน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดี และไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับน้อง
เมื่ออารัญเล่าให้ฟังว่า พาน้องไปไหนมาบ้าง คุณพิมพ์พรก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกสาวกลับบ้านผิดเวลา 1 ชั่วโมง
“ขอบใจอารัญมากนะ ที่พาน้องไปกินข้าวและไปเที่ยว แล้วก็ยังกลับมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
คุณพิมพ์พรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าก็ปกติ อารัญจึงโล่งใจ ที่น้องจะไม่โดนต่อว่า เพราะจริง ๆ แล้ว มันเป็นความผิดของเขาเองที่พาน้องไปกินข้าวไกลเกินไป เลยพามาส่งถึงบ้านผิดเวลา
อารัญพูดคุยกับแม่ของพิมพ์ใจต่ออีกครู่เดียว ก็ไหว้ลา และขอตัวกลับบ้าน
เมื่อบุคคลที่สามออกจากบ้านไปแล้ว คุณพิมพ์พรก็หันมามองลูกสาวด้วยสายตาดุ
“กลับบ้านผิดเวลาขนาดนี้ ได้เสียกับมันหรือยังล่ะ”
“คุณแม่ !” พิมพ์ใจเงยหน้ามองคุณแม่ด้วยความตกใจ เด็กสาวบีบสองมือที่ประสานกันไว้บนตักแน่น
“ครอบครัวกำลังมีปัญหา แต่ก็ยังระรื่นเสนอหน้าไปเที่ยวกับแฟนอย่างหน้าชื่นตาบาน แกรู้ตัวไหมว่า ธุรกิจของคุณพ่อกำลังมีปัญหา เพราะพ่อของแฟนแกนั่นแหละ”
พิมพ์ใจไม่รู้เรื่องราวอะไร เพราะแม่ไม่เคยใส่ใจเธอ และไม่เคยเล่าอะไรให้เธอฟังอยู่แล้ว เด็กสาวจึงได้แต่ส่ายหน้า
“พ่อของอารัญกำลังจะย้ายกลับมาประจำที่นี่ ถ้ามันได้ย้ายกลับมา ธุรกิจของคุณพ่ออาจจะติดขัด เราจะไม่มีเงินใช้ จะไม่มีบ้านอยู่ แกก็จะไม่ได้เรียนต่อ”
พิมพ์ใจขมวดคิ้วมุ่น เด็กสาวไม่เข้าใจว่า การที่พ่อของพี่รัญย้ายกลับมาประจำในพื้นที่นี้ มันเกี่ยวข้องอะไรกันกับธุรกิจของพ่อเลี้ยง
ใบหน้าใสซื่อ และแววตาสงสัยของลูกสาว ทำให้คนเป็นแม่ยิ่งโมโห เพราะเมื่อสามีบอกว่า หากพันตำรวจเอกอธิปย้ายกลับมาประจำที่นี่ ธุรกิจสีเทาของเขาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน และเขาอาจจะถูกเล่นงานย้อนหลัง ทั้งเรื่องการจ่ายส่วย การติดสินบนเจ้าพนักงาน เพราะพันตำรวจเอกอธิปเป็นนายตำรวจซื่อตรง ไม่กินสินบาทคาดสินบน การทำงานก็จะยากขึ้น ธุรกิจก็จะประสบปัญหา รายได้จะน้อยลง อาจถึงขั้นล่มจม
“แล้วมีอะไรที่พิมพ์พอจะช่วยคุณแม่กับคุณพ่อได้บ้างคะ” พิมพ์ใจถามด้วยความไร้เดียงสา ก็ในเมื่อครอบครัวประสบปัญหา อะไรที่เธอพอจะช่วยได้ เธอก็อยากจะช่วย
คุณพิมพ์พรมองหน้าลูกสาวแล้วยิ้มอ่อนบาง เรื่องนี้เธอได้ปรึกษาและได้คุยกันกับสามีแล้ว คุณมานะชัยบอกเธอไว้แล้วว่าต้องทำอย่างไร และเธอจะต้องเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ลูกสาวทำตามแผนให้สำเร็จ
2 คนที่รักร้ายที่สุด
“พิมพ์ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” พิมพ์ใจปฏิเสธคำขอร้องของผู้เป็นแม่ทันที หลังจากที่ท่านบอกวิธีที่เธอจะต้องทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัว
“ทำไมจะทำไม่ได้ แกต้องทำ !” คุณพิมพ์พรตวาดด้วยความโมโห สายตาดุมองลูกสาวอย่างไม่พอใจ
“ถ้าพิมพ์ทำแบบนั้น พี่รัญก็จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี”
พิมพ์ใจก้มหน้าบอกมารดาด้วยเสียงสั่น ๆ เธอกลัวท่านจะลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกาย เหมือนอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ เวลาที่เธอทำให้ท่านไม่พอใจ
“จะไปสนใจทำไม มันไม่ใช่ญาติพี่น้องของเราสักหน่อย”
“แม่…”
พิมพ์ใจมองหน้ามารดาด้วยความผิดหวัง ก็ไหนท่านบอกว่าพี่รัญเป็นคนดี และอยากให้เธอกับเขาคบกัน ไปจนถึงขั้น อยากให้เธอหมั้นหมายแต่งงานกับเขา แต่ทำไมวันนี้ท่านถึงมาบอกให้เธอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่จะทำให้พี่รัญถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี
“แกจะทำหรือไม่ทำ”
อารัญไม่สนใจข่าวพวกนั้นหรอก เพราะคนอื่นไม่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกับเขากับพิมพ์ใจ แค่ครอบครัวของเราเข้าใจและยอมรับกัน รักและเข้าใจกัน เขาก็ไม่เห็นต้องแคร์คนอื่นเลยเขาแคร์เฉพาะคนที่ยืนข้างกายเขาในตอนนี้ต่างหาก เขาอยากให้เธอมีความสุขในทุกวัน ไม่อยากให้ใครหรืออะไรมาทำให้เธอทุกข์ร้อนใจสักนิด ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขากับภรรยา อารัญก็กอดเอวบางรั้งเธอมาแนบชิดอย่างปกป้องหวงแหน“ซื้อไว้สักยูนิตดีมั้ยครับ เอาไว้แอบหนีเจ้าพอร์ชไปจู๋จี๋กันสองต่อสอง” อารัญกระซิบถามยิ้ม ๆพิมพ์ใจหันขวับไปมองสบตาสามี เธอขึงตาใส่คนหื่น“พี่รัญ หน้าไม่อาย”“อายทำไมล่ะครับ พี่ชอบ” อารัญบอกพลางทำทีเหลือบตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระซิบบอกเมียว่า“วิวห้องมุมดีมากเลยนะครับ จัดที่ระเบียงน่าจะฟินมาก โอ๊ย !”คนคิดหื่นกลางวันแสก ๆ โดนเมียหยิกจนต้องร้องโอดโอยเบา ๆ กระนั้นคนถูกเมียหยิกก็ยังยิ้มกรุ้มกริ่มได้การโอบกอดเมียไว้แนบกายตลอดเวลา การส่งสายตาหวานเชื่อมมองกัน และการพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกของสามีภรรยา ทำให้คนที่มองพวกเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในงานหมั่นไส้วาสินีก็มางานนี้เช่นกัน พอเห็นภาพสวีตของสองคนนั้นแล้วก็อดไม่ได้
เมื่อห้วงเวลาแสนเสียวเบาบาง พิมพ์ใจก็นอนหอบหายใจแรงจนทรวงอกสะท้านขึ้นลงอารัญดูดเนื้อนวลเต็มปาก เขาดื่มด่ำกับความหวานละมุนอย่างพอใจ ก่อนจะไล้เลียไปทั่วทุกซอกหลืบความสาว แล้วจึงค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นมา เขาพรมจูบเนินเนื้ออวบอูมนวลเนียนไร้พุ่มไหม ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นมา เพื่อจูบสลับกับไล้เลียผิวเนียนจากหน้าท้องแบนราบ ขึ้นมาถึงชายโครง ก่อนจะเข้าครอบครองทรวงอกอวบอิ่มด้วยปากร้อนผ้าว ดูดดึง ไล้เลีย จนเมียครางหวิวในลำคอ และเริ่มมีอารมณ์อยากขึ้นมาอีกครั้ง“พิมพ์จ๋า...ขึ้นให้พี่นะครับ”อารัญกระซิบอ้อนเสียงแตกพร่าพิมพ์ใจลืมตาขึ้นสบตาคมเข้ม หญิงสาวผลักอกกว้างเบา ๆ สามีของเธอก็เอนกายลงนอนหงายอย่างเต็มใจอารัญนอนมองเมียป่ายขาคร่อมตัวเขา แล้วหยัดกาย นั่งคุกเข่าคร่อมอยู่ตรงกลางหว่างขา เธอล้วงมือลงจับหัวมนทู่เอามันไปถูไถกลางกลีบเนื้ออ่อนนุ่ม“ซี้ด ! พิมพ์จ๋า...”อารัญครางเสียว แล้วกัดฟันแน่น เขายื่นมือไปจับเอวบางไว้หลวม ๆ มองใบหน้าเมียอย่างแสนรัก แสนเสน่หา อารัญกลั้นหายใจ ในตอนที่เมียจับหัวอวบใหญ่กดลงตรงปากทางแอ่งอุ่นนุ่มลื่น และพอเธอโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย กดสองมือลงบนอกกว้าง แล้วขย่มลงมา
“พี่รัญ...พอแล้ว” พิมพ์ใจทั้งดิ้น ทั้งขำ เธอทุบบ่ากว้างไปหนึ่งที คนขี้แกล้งจึงหยุดอารัญทาบทับตัวเองลงบนเรือนกายเนียนนุ่ม เขาสอดแขนลงใต้แผ่นหลังบาง กกกอดเธอไว้เต็มอ้อมอก และซุกหน้าอยู่ซอกคอหอมกรุ่น“เฮ้อ ! รู้สึกดีจังเลย พี่อยากกอดพิมพ์ไว้แบบนี้ตลอดไป”พิมพ์ใจยิ้มอ่อนหวาน เธอยกแขนขึ้นกอดเขาไว้เต็มวงแขน ตัวเขาใหญ่โตกว่าเธอมาก พอถูกเขาทาบทับและกอดไว้แน่น ๆ แบบนี้ เธอรู้สึกหนักอยู่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัวทั้งใจมันมากกว่า“งั้นก็กอดอย่างนี้ไปจนถึงเช้าเลยดีมั้ยคะ”ทำไมจะไม่รู้ว่า สามีอยากทำมากกว่ากอด เพราะตอนนี้ ความเป็นชายของเขาแข็งคึกแนบอยู่กับต้นขาของเธอคนอยากทำมากกว่ากอดรีบพลิกตัวลงนอนหงาย โดยกอดรัดเมียให้มานอนเกยก่ายอยู่บนตัวเขาแทน“อยากทำมากกว่ากอด แต่วันนี้เหนื่อยจังเลยครับ พิมพ์จ๋า พิมพ์ที่รัก ทำให้พี่หน่อยนะครับ”พิมพ์ใจยิ้มอย่างรู้ทัน หญิงสาวลุกขึ้นนั่งคร่อมหน้าท้องแกร่ง เธอไขว้มือลงจับชายกระโปรงชุดนอนแล้วดึงออกทางศีรษะเธอไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน ดังนั้น สิ่งที่อารัญเห็นตอนนี้คือ เรือนร่างขาวนวลล้อแสงไฟ กับเต้านมอวบใหญ่ของคุณแม่ลูกหนึ่งแม้น้องพอร์ชจะเลิกกินนมแม่ไปแล้ว
พอได้ไอติมถ้วยเล็กมาแล้ว อารัญก็พาลูกชายไปนั่งรอที่ม้านั่งตัวยาวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับร้านขนม เขานั่งหันหลังให้ร้าน ใช้ตัวบังลูกชายที่นั่งอยู่บนตัก ป้อนไอติมให้ลูกกินอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะเลอะ แล้วแม่พิมพ์จะจับได้คุณพ่อรัญยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นลูกกินอย่างมีความสุข พอลูกชายกินไอติมจนหมดถ้วย เขาจึงเอ่ยถามว่า“อร่อยมั้ยครับ”“อะหย่อยฮับ” น้องพอร์ชเงยหน้าขึ้นมาตอบและยิ้มหวานให้คุณพ่อ“เปื้อนขนาดนี้ เช็ดปากให้ลูกหน่อยมั้ยคะ”เสียงดุ ๆ มาพร้อมกับทิชชูเปียกยื่นมาตรงหน้าคุณพ่อคนตามใจลูกถึงกับใจหายวาบ เขาเงยหน้ามองคุณแม่หน้าหวานแต่ตาดุ แล้วยิ้มแหยให้เธอ“พิมพ์บอกแล้วว่า ช่วงนี้ น้องพอร์ชต้องงดไอติมและเครื่องดื่มเย็น”“กะ...ก็ลูกอยากกิน” ไม่รู้จะเถียงยังไง และก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลใดไปเถียงพิมพ์ใจถอนหายใจแรง หญิงสาวเช็ดปากเช็ดแก้มเลอะไอติมของลูกชาย“กลับบ้านกันได้แล้วค่ะ วันนี้ต้องมีคนโดนทำโทษแน่นอน”พิมพ์ใจพูดพร้อมกับส่งสายตาดุให้สามี ก่อนจะหันไปมองลูกชาย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร เจ้าเด็กหัวหมอก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน“จุนแม่ฮับ จุนแม่คนฉวย จุนแม่ใจดี๊ดีของพอร์ช”พิมพ์ใจถึงกับส่ายหน้ากับ
พิมพ์ใจเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่สองพ่อลูกนั่งอยู่ เธอยื่นสองมือไปหาลูกชาย เพื่อจะอุ้มไปนั่งรอคุณพ่อที่โซฟา“ไม่อาว...พอร์ชจะอยู่กับจุนพ่อ” เจ้าหนูหันหน้าเข้าหาคุณพ่อ แขนเล็กป้อมกอดลำคอแกร่งไว้แน่น ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ไม่ยอมไปหาคุณแม่อารัญกอดลูกชายไว้ด้วยวงแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างลูบศีรษะอย่างรักใคร่เอ็นดูสุดหัวใจ“พี่รัญคะ ส่งลูกมาให้พิมพ์เถอะค่ะ พี่รัญจะได้ทำงาน”“ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว พี่อุ้มลูกไว้เอง พิมพ์ไปนั่งรอที่โซฟาเถอะ”พิมพ์ใจถอนหายใจบางเบา พลางคิดในใจว่า ดื้อทั้งพ่อทั้งลูกเลย แต่เธอก็ยอมเดินไปนั่งรอที่โซฟาแต่โดยดี“คุณแม่ไปแล้วครับ”คุณพ่อกระซิบกระซาบบอก น้องพอร์ชจึงค่อย ๆ เหลียวหลังไปมอง พอเห็นว่าคุณแม่ไปนั่งอยู่ตั้งไกลแล้ว เด็กชายก็ยิ้มพอใจ เขาขยับตัวนั่งลงบนตักของคุณพ่อ พิงหลังกับอกอบอุ่นที่เขาชื่นชอบอารัญสอดแขนลงใต้รักแร้คนตัวเล็ก โอบกอดลูกไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ตรวจงาน เซ็นเอกสารไปเรื่อย ๆน้องพอร์ชนั่งนิ่ง ไม่ดื้อ ไม่ซน นั่งรอคุณพ่อทำงานอย่างเรียบร้อยครู่เดียวอารัญก็ทำงานเสร็จ เขาจึงอุ้มลูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และพาเดินไปหาคุณมาที่นั่งอ่า
พอพูดถึงบ้านตัวเอง ใบหน้าของพิมพ์ใจก็หม่นเศร้าลง หญิงสาวมองไปนอกหน้าต่างรถ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่เธอคุ้นเคย และรถก็กำลังเคลื่อนเข้าใกล้บ้านที่เคยเป็นของครอบครัวเธอ เธออยากเห็นอีกสักครั้ง อยากเห็นบ้านที่เธอเคยพักพิง ที่ที่เคยมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกัน...อยากเห็นก่อนที่มันจะถูกขายไปเป็นของคนอื่นอารัญกระชับมือนุ่มที่กุมอยู่ เขามองใบหน้าด้านข้างของพิมพ์ใจ เธอกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขารู้ว่าเธอรอดูตอนที่รถขับผ่านบ้านของเธอ แต่เขาจะไม่ให้รถขับผ่านไปเฉย ๆ เขาจะให้คนขับรถจอด เพื่อเธอจะได้ลงไปดูบ้านหลังเดิมของเธอได้ชัด ๆพิมพ์ใจย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อรถตู้จอดที่หน้าประตูรั้วบ้านที่ถูกปิด และมีโซ่กับแม่กุญแจอันใหญ่คล้องไว้ หญิงสาวหันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเธออารัญยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะบอกเธอว่า“ลงไปดูใกล้ ๆ มั้ยครับ”“ลงไปดูได้เหรอคะ”เพราะที่ประตูรั้วบ้านมีแผ่นป้ายปิดประกาศเอาไว้ว่า เป็นทรัพย์ของธนาคารแห่งหนึ่ง พิมพ์ใจจึงไม่แน่ใจว่า เธอจะเข้าไปดูใกล้ ๆ ได้จริงเหรอ“ได้สิครับ มาเถอะ พี่พาไปเอง”เมื่อคนขับรถเปิดประตูด้านข้างรถ อารัญลงจากรถก่อน แล้วหันมาประคองคุณแม่ท้องคนสวย