Share

จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]
จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]
Author: คุณยอดวิทย์

ปฐมบท นิทานก่อนนอน

last update Last Updated: 2025-04-21 16:31:36

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

ในอาณาจักรที่ชื่อว่า วัลทอร์เรีย

ภายในนั้น มีตระกูลหนึ่งนามว่า ไฮปาเตียส

ตระกูลขุนนางผู้มั่งคั่ง สูงศักดิ์ และเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศ  

ในวันที่ท้องฟ้าสว่างไสว ราวกับมีบิดาแห่งแสงส่องยิ้มมาให้  

เสียงระฆังดังขึ้นทั่วเมือง ราวกับเป็นการประกาศว่า 'ปาฏิหาริย์ได้ถือกำเนิดแล้ว'

เด็กหญิงคนหนึ่งลืมตาดูโลก  

เธอมีเส้นผมสีเงินจาง ราวกับเสี้ยวจันทร์บนฟากฟ้า  

ดวงตาสีม่วงอ่อนล้ำลึก ประหนึ่งเก็บดวงดาวเอาไว้จากทั้งจักรวาล

“ลูกสาวของพ่อ จะต้องเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก”  

เสียงหัวเราะของพ่อดังระงมราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ  

แม่อุ้มเธอไว้แนบอก แนบหัวใจ  

กล่อมเธอด้วยมือที่อ่อนโยนกว่าดอกไม้แรกแย้ม  

พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นยิ่งกว่าแสงตะวันยามเช้า  

ส่วนพี่สาวของเธอ...  

หญิงสาวผู้สมบูรณ์แบบ ผมทองราวแสงอรุณ  

ยืนมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน  

และไกลเกินเอื้อมในเวลาเดียวกัน

แต่แล้ว...  

ในค่ำคืนที่ทุกคนหลับใหลไปพร้อมกับความสุข  

เด็กสาวผมสีเงินก็หายไป

เงียบเชียบ...  

ไร้เสียงกรีดร้อง...  

ไร้ร่องรอยให้ติดตาม...  

ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปจากโลกนี้ได้อย่างไร  

ไม่มีใครรู้ว่าใครลักพาเธอไปจากอ้อมกอดของครอบครัว  

และไม่มีใครรู้...ว่าเธอจะต้องกลายเป็นทาสของความโหดร้าย

เธอถูกขัง ถูกขาย ถูกปิดปาก  

ในสถานที่มืดมิดที่ไม่รู้จักคำว่า 'ฝันดี'

จนกระทั่ง...สามปีผ่านไป  

ทหารหลวงบุกเข้าจัดการพ่อค้ามนุษย์  

ในความโกลาหลของคืนนั้น  

เด็กสาวคนนั้นวิ่ง

วิ่งหนีจากเสียงกรีดร้อง วิ่งหนีจากโซ่ตรวน และวิ่งหนีจากอดีตของตัวเอง

เธอวิ่ง

ในชุดที่ทั้งขาดและเก่า

วิ่งทั้งที่หัวใจยังเต้นแรง  

ทั้งที่ขายังเจ็บ   

แต่เธอกลับไม่สามารถหยุดได้เลย

เพราะเธอรู้...  

หากหยุด เธออาจไม่มีวันได้ลืมตาอีกครั้งในชีวิตนี้

  จนกระทั่งเธอได้หยุดอยู่ที่ 'สลัม'

สถานที่ที่คนทั้งอาณาจักรไม่อยากเอ่ยชื่อ  

เมืองเล็กๆ ที่หลบซ่อนอยู่หลังเงาของหอคอยราชวัง  

ไม่มีแสงสว่าง  

ไม่มีเสียงเพลง  

มีเพียงลมหายใจของคนจนที่ถูกลืม  

และที่นั่นเอง...  

เด็กหญิงผมสีเงินก็ได้พบกับอ้อมกอดอันอบอุ่นอีกครั้งหนึ่ง  

ไม่ใช่อ้อมแขนอุ่นจากแม่ผู้ให้กำเนิด  

แต่เป็นอ้อมแขนของ 'แม่มารี'

หญิงชราเจ้าของร้านต้มซุป ที่เลี้ยงเธอด้วยน้ำแกงร้อนๆ และรอยยิ้มบางๆ

“เธอไม่มีชื่อสินะ งั้นก็เอาแบบนี้...นังหนูตาม่วง”

คนในสลัมเรียกเธอแบบนั้น  

เพราะดวงตาของเธอเหมือนลูกพลัมสีม่วง  

ดวงตาสีม่วงที่มีความหวาดระแวงและเต็มไปด้วยประกายเมื่อเห็นอาหาร

เธอเลยได้ชื่อว่า 'เฟน'

แม้จะเป็นชื่อเล่นง่ายๆ แต่เธอก็รักมันยิ่งกว่าอะไร  

เพราะมันเป็นชื่อแรกที่มีคนตั้งให้เธอด้วยความหวังดี  

'ฟิน'ชายหนุ่มผู้เป็นดั่งพี่ชายบุญธรรม  

ลูกชายของแม่มารี มักคอยจับมือเธอไว้เสมอ  

พาเธอเดินบนทางลูกรังที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว  

พาเธอเรียนรู้ว่าโลกนี้มีทั้งคนใจร้าย  

และคนใจดี

แม้จะอยู่ในความยากจน แม้ต้องอดข้าว  

แต่เฟนกลับรู้สึกว่า...ที่นี่แหละ คือ 'บ้าน'

สถานที่ที่แม้เธอออกเดินทางไกลแค่ไหน สุดท้ายก็จะกลับมายังที่แห่งนี้

สถานที่ที่เธอได้ยิ้ม ได้ร้องไห้ ได้ล้ม และลุกขึ้นอีกครั้ง  

โดยไม่ต้องกลัวโซ่ตรวนหรือการทุบตีและด่าทอ

เธอไม่รู้เลยว่าจริงๆตัวเองเป็นใคร  

ไม่รู้เลยว่าครอบครัวที่แท้จริงอยู่ที่ไหน  

เธอรู้แค่ว่า พวกเขาคือครอบครัวของเธอ

“แค่ได้อยู่กับแม่มารีกับพี่ฟินต่อไปเรื่อยๆก็พอแล้วนี้น่า”

แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มีผู้สูงศักดิ์ก้าวเท้าเข้ามาภายในสลัม

เป็นภาพที่หาได้ยากยิ่งกว่าฝนในฤดูแล้ง  

เสื้อคลุมหรูหราของพวกเขาไม่เข้ากับดินโคลน

รองเท้าหนังขัดเงาของพวกเขาก็เหยียบย่ำบนถนนที่คนจนใช้เดินเท้าเปล่า  

ทุกคนต่างพากันหลบตามมุมถนน

บางคนหนีออกห่าง

บางคนเฝ้ามองด้วยความระแวง  

แต่ในหมู่คนเหล่านั้น  

มีเพียง 'เฟน'

เด็กหญิงผมสีเงินผู้ยืนอยู่หลังหม้อซุปของแม่มารี  

ที่สบตากับพวกเขาอย่างงุนงง

เธอไม่รู้...ว่าในกลุ่มผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น  

มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยืนตัวสั่น น้ำตาคลอเบ้า  

เพราะแค่เพียงมองไปทางเฟน เธอก็รู้ทันทีว่า  

 “นี่คือลูกสาวของข้า...เฟลอร์ของแม่”

แม่แท้ๆ ของเฟน...ได้พบลูกสาวที่หายไปอีกครั้ง  

เธอโผเข้ากอดเฟนทั้งน้ำตา  

พร่ำขอโทษทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าควรขอโทษเรื่องอะไร  

ในขณะที่เฟน...กลับยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น  

ไม่เข้าใจ...ไม่รู้จัก...และรู้สึกประหลาดใจ  

 “ลูก...แม่มารับลูกกลับบ้านแล้วนะ”

บ้าน...?  

คำคำนั้นฟังดูไกลแสนไกลสำหรับเด็กหญิงที่โตมากับเสียงลมหนาวในสลัม

“หนูไม่ใช่ใครทั้งนั้น หนูคือเฟน”

“แม่มารีบอกว่าหนูเป็นคนดี หนูไม่อยากไปไหนทั้งนั้น”

แต่เพราะไม่อยากให้แม่มารีลำบาก  

เพราะไม่อยากให้ฟินต้องเป็นห่วง  

และเพราะดวงตาของหญิงคนนั้นมันเหมือนแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น

เธอจึงตัดสินใจไปกับพวกเขา

และนั่น...คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่  

ชีวิตในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลไฮปาเตียส  

สามวันต่อมา เธอได้ขึ้นรถม้าที่ผู้สูงศักดิ์ที่อ้างว่าเป็นแม่ของเธอส่งมา

“แม่ของหนูหรอ? แม่ของหนูมีแต่แม่มารีต่างหาก”

เด็กหญิงทำได้แต่คิด เธอไม่กล้าพูดอะไรออกไป

และได้เริ่มการเดินทางไปตามเส้นทางสู่บ้านที่แท้จริงของเธอ

เด็กหญิงนั่งอยู่ในรถม้าเงียบงัน

ผ้าม่านสีงาช้างปิดกั้นโลกภายนอก

กลิ่นดอกลาเวนเดอร์อ่อนๆ อบอวลอยู่ในอากาศ

เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร

เพราะข้างกายไม่มีแม่มารี ไม่มีพี่ฟิน

มีเพียงผ้าที่ห่อขนมปังแห้งเอาไว้และตุ๊กตาผ้าขาดๆหนึ่งตัวที่ได้มาจากแม่มารีและพี่ฟิน

“ถ้ากลัวเมื่อไหร่ กอดมันไว้นะเฟน”

พี่ฟินเคยพูดแบบนั้น แล้วลูบหัวเธอเบาๆ

เธอได้เดินทางมาถึงคฤหาสน์สีทองของผู้สูงศักดิ์

มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้หลากสี

เส้นทางที่ทอดยาวไปยังตัวคฤหาสน์ประดับด้วยเสาอันวิจิตร

มีสถาปัตยกรรมที่ดูเหมือนจะมาจากเทพนิยาย

น้ำพุสีทองที่ไหลรินจากรูปปั้นของนางฟ้าปีกทิพย์

ความเย็นชื้นจากน้ำทองที่ลอยละล่องในอากาศ

เหมือนกับกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่ลอยไปตามสายลม

ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับสลัมที่เธอจากมา

แต่ทุกสิ่งกลับรู้สึกห่างไกลและแปลกประหลาด

เพราะที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเธอ

หญิงสูงศักดิ์คนนั้นออกมาต้อนรับเธอกับหญิงสาวผมบลอนด์ข้างกายเธอ

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเฟลอร์ลูกแม่ หนูได้กลับมายังบ้านที่หนูควรอยู่แล้ว แต่ที่นี้มีกฎอย่างหนึ่ง”

หญิงสาวผมบลอนด์พูดต่อ

“หนูจะต้องเดินไปให้ถึงบ้านด้วยตัวเองเพื่อให้ขาของหนูจำทางกลับบ้านได้ตลอดไป”

ดังนั้นไม่ว่าจะจากบ้านไปห่างไกลขนาดไหน ก็จะสามารถจำทางกลับบ้านได้

หญิงสูงศักดิ์คนนั้นย่อตัวลง ลูบผมของเธอเบาๆ

“แม่จะรอหนูอยู่ที่หน้าบ้านกับป้านะลูก”

เธอมองทอดยาวไปตามถนนหินอ่อนขาวสะอาด

ตลอดทางมีไม้ดอกเบ่งบานราวกับฤดูใบไม้ผลิไม่เคยจางหาย

เธอหันไปมองรถม้าคันเดิมที่แล่นจากไปอย่างเงียบงัน

เหลือเพียงเธอกับทางเดินที่เหมือนจะไม่มีจุดจบ

เด็กสาวเริ่มเดินไปตรงหน้า

ผ่านสวนดอกกุหลาบที่หอมอบอวลไปทั่วสถานที่

ผ่านน้ำพุสีทองที่ไหลรินไม่รู้จักหยุดยั้ง

มาจนกระทั่งได้เจอกับกลุ่มของคนใช้ที่กำลังยืนคุยกันอยู่

'คุณหนูงั้นหรอ สภาพเหมือนหนูท่อมากกว่าแฮะ'

'ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นถึงน้องสาวของคุณหนูออโรร่า'

'ข้าไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะเป็นคุณหนูเฟลอร์ที่หายตัวไปเมื่อ13ปีก่อน'

กลุ่มคนใช้นั้นหัวเราะด้วยความสนุกปาก

เด็กสาวไม่พูดอะไร เธอเดินต่อไปตรงหน้าอย่างไม่ลดละ

เสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าคนใช้ยังคงดัง ตามหลอกหลอนเธออยู่ข้างหลัง

แต่เด็กสาวจะไม่หันกลับไปมอง

เธอก้มหน้า เดินช้าๆ ไปบนทางหินอ่อนที่เย็นเฉียบ

ตุ๊กตาผ้าขาดๆ ยังอยู่ในมือ

แม้จะไม่เข้ากับฉากหลังที่งดงามราวภาพวาด

“หนูจะต้องเดินไปให้ถึงบ้านด้วยตัวเอง...”

คำพูดของหญิงสูงศักดิ์ยังคงดังก้องในใจ

เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น

แต่เธอก็เดินเพราะนี่คือคำขอจากคนที่อ้างว่าเป็นแม่ของเธอ

เด็กสาวก้มหน้าเดินต่อไป

เธอเดินผ่านระเบียงหินยาวที่ทอดยาวขนานไปกับกำแพงไม้เลื้อย

เธอเดินผ่านห้องสมุดกระจกที่ส่องแสงสะท้อนระยิบระยับราวกับคริสตัลในแสงแดด

และเธอได้หยุดอยู่ที่หน้าลานหินเรียบ

ที่นั่นมีกลุ่มของลูกๆ ขุนนางยืนอยู่ในชุดเรียบหรู

พวกเขาเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ

ท่าทางหยิ่งยโสและสายตาที่เหมือนจะกรีดเฉือนเนื้อของเธอเพื่อเอามากิน

'เธอคือเฟลอร์ ฟอน ไฮปาเตียส น้องสาวของออโรร่างั้นหรอ?'

เสียงของเด็กหญิงในชุดสีครีมกล่าวขึ้น พลางเบะปากน้อยๆ

'น่าผิดหวังจังแฮะ'

'เธอไม่เหมือนพี่สาวของเธอเลย'

'ไม่มีครูสอนมารยาทการวางตัวในสังคมงั้นหรอ?'

'ความสามารถทางเวทมนตร์ก็น้อยนิด วิชาดาบก็อ่อนแอไม่เหมือนกับพี่ของเธอเลย'

เด็กสาวกำชุดเดรสหลวมของตัวเองแน่น

เธอไม่ได้ตอบอะไร

เพียงแต่ก้มหน้าต่ำลงไปอีกเล็กน้อย แล้วเดินผ่านพวกเขาไปเงียบๆ

เฟลอร์เดินตรงไปไม่หยุดพัก

จนในที่สุดก็พบกับเด็กสาวผมทองอร่ามยืนขวางทางเอาไว้

เธอสวมชุดเดรสหรูหราอู่ฟู่เต็มไปด้วยเครื่องประดับที่บกบอกถึงฐานะอันสูงศักดิ์ของตัวเอง

หน้าตาของเด็กสาวคนนั้นยังคงแสดงออกถึงความมั่นใจและเย็นชา

เด็กสาวคนนี้ยืนมองเฟลอร์ด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตร ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

'ข้ามีนามว่าออโรร่า เป็นพี่สาวของเจ้า'

เสียงของเธอดูราบเรียบ ราวกับว่าไม่สนใจใยดีอะไรในตัวของน้องสาวเลย

'เจ้าคงจะเคยอยู่แต่ในสลัมสินะ?' ออโรร่าถามเสียงเย็น

'ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถมีชีวิตได้ตามมาตรฐานที่ท่านพ่อกับท่านแม่คาดหวังในคฤหาสถ์แห่งนี้ได้หรอก'

เธอพูดไปพลางมองเด็กสาวตาสีม่วงจากหัวจรดเท้า ดวงตาสีชมพูของเธอดูเหมือนจะมองทะลุตัวของเฟลอร์ไป

'คฤหาสถ์ของเรา... มันคงเป็นที่ที่เจ้าไม่เคยคิดว่าจะได้โอกาสเข้ามาเหยียบซักครั้ง' ออโรร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะดูหมิ่นเล็กน้อย

'ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กแบบเจ้าที่ใช้ชีวิตในสลัม แต่ก็นะ พี่จะให้โอกาสเจ้าบ้าง'

แล้วเธอก็เดินไปข้างหน้า ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพูด

'จำไว้นะ...ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลไฮปาเตียสอันสูงศักดิ์ มันไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็มาอยู่ได้ง่ายๆ และเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในที่ของเจ้าที่สุด'

และพี่สาวของเด็กสาวก็ได้หายวับไปทันที

เด็กสาวกำชายกระโปรงแน่น ก่อนที่จะเริ่มเดินต่อด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกทำให้เธอไม่สามารถหยุดได้แม้ว่าพี่สาวของเธอจะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม

เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำพูดของพี่สาวทำให้เธอเจ็บปวดในบางส่วนของหัวใจ

เธอยังคงก้าวต่อไปไม่หยุด หูอื้อกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในแต่ละก้าว แต่ในใจกลับรู้สึกหนักหน่วง

แต่การเดินต่อไปคือสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้

“ทำไมพี่สาวถึงดูเกลียดฉันขนาดนั้น?”

เธอไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เธอก็ยังคงเดิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

เส้นทางที่เธอกำลังไปนั้นเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด

ทุกย่างก้าวของเธอไม่รู้จะพาไปที่ไหน

แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางย้อนกลับไปแล้ว

เธอเดินผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอบอุ่น

แต่สิ่งที่เห็นในตาของเธอกลับดูเหมือนเป็นภาพที่เย็นชาและไร้ความหมาย

อากาศรอบตัวหนาวเย็น

แม้ฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน แต่ทุกสิ่งรอบกายกลับไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้เลย

“หนูคงไม่มีวันเดินไปถึงบ้าน”

เด็กสาวยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ แม้ในใจจะกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว

เสียงฝีเท้าของเธอกับเสียงลมที่พัดผ่านผสมกันเป็นเสียงเดียวในหัวของเธอ

แม้จะมีความสงบจากธรรมชาติรอบตัว

แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นไปอีก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]   Chapter 2 ดันเจี้ยนแห่งรากเหง้า(1)

    "เฟลอร์! ลูกกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงกัน!?"เสียงสูงบาดเเก้วหูของหญิงสาวผมเทาดังขึ้น เธอคือแม่ของเฟลอร์ หัวหน้าตระกูลไฮปาเตียส อเดลีน ฟอน ไฮปาเตียสมันทำให้เฟลอร์คิดถึงเรื่องราวที่คุณครูสอนการเมืองเล่าให้เธอฟังแม่ของเธอเป็น1ใน3อัครเสนาบดีของอาณาจักรวัลทอร์เรีย ซึ่งแบ่งเป็น3เขตการดูแลแบ่งเป็น เขตตะวันออก เขตตะวันตก และเขตเมืองหลวงแม่ของเธอดูแลเขตเมืองหลวงในอดีตว่ากันว่า เธอเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเคาท์ไฮปาเตียสที่กำลังล่มสลาย จนเธอได้เข้าร่วมสงครามระหว่างอาณาจักรไกเซอร์รีสและอาณาจักรวัลทอร์เรียและได้ทำผลงานอันยิ่งใหญ่นั้นคือการนำกองทัพจนสามารถเอาชนะอาณาจักรไกเซอร์รีสได้ และได้การปรบรางวัลเป็นความมั่งคั่งอันมหาศาลและเกียรติยศอันล้นเหลือจากตระกูลเคาท์ที่ใกล้ล่มสลาย แปรเปลี่ยนเป็นตระกูลดยุคอันทรงเกียรติภายในพริบตาเดียวในวันฟ้าใสวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังกลับเมืองหลวงจากภารกิจ เธอได้พบรักกับลูกชายคนสุดท้องของบารอนเธอหลงในสเน่ห์และความหล่อเหลาของ ซิลเวสเตร ฟอน ซามูเอลจนโงหัวไม่ขึ้น ซิลเวสเตร ฟอน ซามูเอล ชายหนุ่มผู้งดงามราวภาพวาด มีรอยยิ้มอ่อนโยนและวาจานุ่มนวลยิ่งกว่าใคร ท่ามกลางเหล่าทหารหย

  • จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]   Chapter 1 บทลงโทษ

    ตึง!"เฟลอร์! ข้าไม่เคยบอกเจ้าแล้วหรืออย่างไร?"หญิงสาวผมสีเงินตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความงุนงงขณะที่กำลังเลื่อนสายตาขึ้นไปมองบุรุษที่ผลักเธอจนล้มลงกับพื้น"..เดลรอย? นายหมายความว่ายังไง-"ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาเฉียบคม เย็นชา ดั่งว่ากำลังสั่งเธอให้หุปปากของเธอไป'เรียกองค์ชายด้วยคำไร้มารยาทอีกแล้ว''ตระกูลไฮปาเตียสไม่สั่งสอนมารยาทให้ลูกสาวคนที่สองเลยหรือ''เธอเคยอาศัยอยู่ในสลัมนี้ คงติดเป็นนิสัยป่าเถื่อนจนแก้ไม่หายแล้วสินะ'เสียงซุบซิบรอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นหนามพิษ เธอกวาดสายตาไปรอบๆขุนนางในงานเลี้ยงเธอไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นดั่งกับเสียงซุบซิบรอบตัวเงียบลง หูของเธออื้อ ไม่ต้องการฟังคำครหารอบตัว สายตากลับไปมุ่งตรงยังสองคนตรงหน้ามงกุฎราชกุมาร เดลรอย เดอ โยเซฟา วัลธอร์ยืนอยู่ข้างกับ...ออโรร่า ฟอน ไฮปาเตียส พี่สาวของเธอพวกเขาเป็นเหมือนดั่งกับคู่พระคู่นาง ดั่งกับตัวเอกของนิยายรักโรแมนติกที่ทั้งสองจะได้ครองรักกันตลอดไปหลังจากกำจัดตัวร้ายลงและเธอ เฟลอร์ ฟอน ไฮปาเตียส ไม่เคยเป็นอะไรไปมากกว่า...ตัวร้ายในเรื่องนั้น"ข้าไม่สามารถตอบรับความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าได้" เสียงรอบตัวยิ่งดัง

  • จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]   ปฐมบท นิทานก่อนนอน

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในอาณาจักรที่ชื่อว่า วัลทอร์เรียภายในนั้น มีตระกูลหนึ่งนามว่า ไฮปาเตียสตระกูลขุนนางผู้มั่งคั่ง สูงศักดิ์ และเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศ ในวันที่ท้องฟ้าสว่างไสว ราวกับมีบิดาแห่งแสงส่องยิ้มมาให้ เสียงระฆังดังขึ้นทั่วเมือง ราวกับเป็นการประกาศว่า 'ปาฏิหาริย์ได้ถือกำเนิดแล้ว'เด็กหญิงคนหนึ่งลืมตาดูโลก เธอมีเส้นผมสีเงินจาง ราวกับเสี้ยวจันทร์บนฟากฟ้า ดวงตาสีม่วงอ่อนล้ำลึก ประหนึ่งเก็บดวงดาวเอาไว้จากทั้งจักรวาล“ลูกสาวของพ่อ จะต้องเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก” เสียงหัวเราะของพ่อดังระงมราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ แม่อุ้มเธอไว้แนบอก แนบหัวใจ กล่อมเธอด้วยมือที่อ่อนโยนกว่าดอกไม้แรกแย้ม พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นยิ่งกว่าแสงตะวันยามเช้า ส่วนพี่สาวของเธอ... หญิงสาวผู้สมบูรณ์แบบ ผมทองราวแสงอรุณ ยืนมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน และไกลเกินเอื้อมในเวลาเดียวกันแต่แล้ว... ในค่ำคืนที่ทุกคนหลับใหลไปพร้อมกับความสุข เด็กสาวผมสีเงินก็หายไปเงียบเชียบ... ไร้เสียงกรีดร้อง... ไร้ร่องรอยให้ติดตาม... ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปจากโลกนี้ได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าใครลักพาเธ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status