ซุยหลันซีทะลุมิติมายังปี 1985 อยู่ในร่างของคุณหนูตกอับที่ไร้ทั้งทรัพย์สินและครอบครัว เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ท่ามกลางความยากลำบาก พร้อมทั้งสร้างอนาคตและความรักครั้งใหม่กับชายหนุ่มผู้แสนเย็นชา เขาจะกลายเป็นแสงสว่างในยุคมืดของเธอ..ได้ไหม?
View More“คุณหนู คุณหนู ตื่นครับ รถไฟมาถึงแล้ว เร็วเข้า ถ้าพลาดเที่ยวนี้ต้องรออีกสามวันเลยนะครับ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น ร่างของซุยหลันซีถูกเขย่าเบาๆ ทำให้เธอเกิดความรำคาญเล็กน้อยจึงใช้มือปัดออก พูดกับคนที่มาปลุกเธอให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุขด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เพ่ยเพ่ย อย่ามากวนได้ไหม ฉันง่วง จะนอน วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน” พูดจบก็พลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง แต่แทนที่จะคว้าเอาเจ้าขนฟูมากอดเหมือนวันอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอหล่นลงพื้นเสียงดังตุ๊บ
“โอ๊ย เพ่ยเพ่ย ยัยบ้า ไม่ตื่นแค่นี้ถึงกับถีบฉันตกเตียงเลยเหรอ!”
ซุยหลันซีลูบบั้นท้ายตนเองป้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่หวังจะจัดการเพื่อนสาวคนสนิทที่แกล้งกันได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะสภาพแวดล้อมที่ซุยหลันซีเห็นอยู่เต็มสองตาตอนนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งเก่าและทรุดโทรม ที่สำคัญคือมีเสียงดังจอแจเต็มไปหมด ซุยหลันซีเหลียวมองไปรอบๆ ก็ยิ่งตกตะลึงตาค้าง เพราะห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตร เธอเห็นผู้คนกำลังหลั่งไหลไปขึ้นรถไฟขบวนหนึ่ง
“รถไฟ สถานีรถไฟเหรอ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเองด้วยความงงงวย กำลังคิดว่าฝันไปอยู่หรือเปล่า ซุยหลันซีหยิกเนื้อที่ขาตัวเอง
“ซี๊ด...” ก็เจ็บนี่นา ไม่ได้ฝันไปเสียหน่อย
“คุณหนู เราต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ” เสียงของชายคนเดิมเอ่ยเตือนขึ้นอีกครั้ง ช่วยให้ซุยหลันซีรู้สึกตัวหลุดออกจากภวังค์ ถึงแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็เอ่ยถามออกไป
“นี่คุณ ไปไหน ฉันต้องไปไหน”
“คุณหนู ลืมไปแล้วหรือครับ พวกเราต้องเดินทางไปกว่างโจวกัน ตอนนี้รถไฟมาแล้ว ถึงเวลาต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ”
ชายหนุ่มบอกพลางลุกขึ้นสำรวจดูกระเป๋าของตนเองและของภรรยา เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นด้วยสองมือ พลางปรายตามองมายังซุยหลันซีที่ทำสีหน้างงงวยอยู่บนพื้น
“ไปเถอะเราต้องเดินทางกันอีกสองวัน”
“เอ่อ...” ซุยหลันซีตกใจลุกพรวดขึ้นยืน ก้มลงจัดเสื้อผ้าด้วยความเคยชิน ขณะที่ใช้มือจัดเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ถึงกับอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้น มันช่างล้าสมัย ที่สำคัญเธอสวมกระโปรงกับรองเท้าคัชชูสีดำมีสายรัดเหมือนกับรองเท้านักเรียนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันนี่นะสวมรองเท้าคัทชู กับกระโปรง” ซุยหลันซีเปรยกับตนเองเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายคนนั้นกำลังก้าวขึ้นรถไฟ
ซุยหลันซีกลัวจะหลงกับผู้ชายคนนั้น คนที่เรียกเธอ คล้ายกับรู้จักกัน ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อชายหนุ่มคนนี้ไปก่อน แล้วปัดทุกความสงสัยทิ้งไป
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกระเป๋าถือวางอยู่บนม้านั่งก็คิดว่าน่าจะเป็นกระเป๋าของตนเอง จึงรีบคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินจนเกือบจะวิ่งเพื่อตามชายตรงหน้าให้ทัน
“เดี๋ยวนะขึ้นรถไฟก็ต้องมีตั๋ว แล้วฉันมีตั๋วหรือเปล่า?”
ซุยหลันซีระหว่างเดินตามชายคนนั้นก็นึกเอะใจขึ้นมา จึงลองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงก็เจอกับกระดาษแข็งสีขาวใบหนึ่ง เมื่อหยิบออกมาดูก็ปรากฏว่าเป็นตั๋วรถไฟ ในนั้นระบุว่า
ต้นทางคือปักกิ่ง ปลายทางคือกว่างโจว
วันที่บนตั๋วระบุว่า วันที่ 10 เมษายน 1985
นอกจากนี้ก็ยังมีหมายเลขรถไฟ ประเภทที่นั่งและราคาตั๋ว
ข้อมูลทุกอย่างซุยหลันซีอ่านแค่เพียงผ่านตา แต่มาสะดุดแทบหัวคะมำเมื่อเห็นวันที่บนตั๋ว
“หนึ่ง เก้า แปด ห้า ตายแน่ฉัน ฉันกำลังฝันไปแน่ๆ ตื่นสิ ตื่น” ซุยหลันซีหยุดเดินแล้วยกมือตบหน้าตนเองไปสองสามที ทำให้ผู้โดยสารที่เดินตามหลังมาถึงกับอารมณ์เสีย
“นี่ คุณ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเสียสติ ถ้าไม่ไปก็ขยับให้คนอื่นเดินสิ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินตามหลังซุยหลันซีมาตั้งแต่หัวขบวนพูดขึ้นมาเสียงดัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างก็ยื่นหน้าเบี่ยงตัวพากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ” ซุยหลันซีได้ยินดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะหันไปขอโทษคนข้างหลังและเดินตามหาตู้รถไฟที่ปรากฏบนตั๋ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นตู้นอนส่วนตัวสองที่นั่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเธอก็มาถึงตู้ขบวนรถไฟของเธอ พอมาถึงก็พบว่าชายคนที่เธอไล่ตามมานั่งอยู่ที่นั่น
“อ้าว คุณนั่งตรงนี้เหรอ” ซุยหลันซีเอ่ยถามพลางนั่งลงแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว
“คุณหนู เราเดินทางด้วยกัน ที่นั่งก็ต้องด้วยกันอยู่แล้ว”
“หา? ฉันว่าจะถามคุณหลายครั้งแล้ว คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?” ซุยหลันซีจ้องไปยังใบหน้าคมคร้าม พลางพิจารณาชายตรงหน้าอย่างละเอียด เขาเป็นคนที่สูงมาก น่าจะสูงเกือบๆหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าคมคาย ผิวขาวคล้ายกับดาราจีนที่เธอชอบ ใบหน้าเย็นชา เหมือนจะมีอยู่หน้าเดียว เธอมองเขาเงียบๆ
หล่อไม่เบา เสียแต่ขี้เก๊กไปหน่อย
“คุณหนู ผมไม่ตลกด้วยนะครับ”
เติ้งเว่ยหมิงใช้หางตามองเธอกลับ คุณหนูที่เมื่อก่อนเอาแต่กลั่นแกล้งและรังแกเขา ด้วยถือว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กในบ้าน เป็นลูกไล่ของเธอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไม่มีวันไหนที่จะไม่ถูกเธอกลั่นแกล้ง
แต่สายตาชื่นชมนั่นมันคืออะไร? ร้อยวันพันปีคุณหนูผู้เย่อหยิ่งและสูงส่งไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มองเขาสักครั้ง เติ้งเว่ยหมิงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ฉันก็ไม่ตลก เห็นเรียกฉันว่าคุณหนูๆ ตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันแค่สงสัยก็เลยถามดู” น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าล้อเล่น ทำให้เติ้งเว่ยหมิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
คุณหนูผู้เอาแต่ใจคนเก่าหายไปไหน? หรือว่าหลังจากที่ต้องแต่งงานกับเขา เธอก็เสียใจจนเสียสติไปแล้ว?
“คุณหนูจำไม่ได้เหรอครับว่าเราแต่งงานกันแล้ว และกำลังจะเดินทางไปกว่างโจว” เสียงทุ้มๆ ของเขาตอบเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ซุยหลันซีถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นายว่าไงนะ นะ...นายกับฉัน แต่งงานกันแล้ว ไม่จริง! นายโกหกใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ซุยหลันซีตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเป็นรอบที่สาม ความจริงที่ออกจากปากคนที่เธอคิดว่าน่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้
“ผมรู้ว่าคุณหนูเกลียดผม ไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้คุณหนูไม่ใช่คุณหนูผู้สูงส่งลูกสาวท่านนายพลอีกต่อไปแล้ว แต่คุณหนูคือภรรยาของผม คนงานในบ้านที่ต่ำต้อยคนนี้”
เติ้งเว่ยหมิงตอบคำถามที่เดียวจบทุกคำ ซุยหลันซีถึงกับไปไม่เป็น เธอกำลังช็อกกับข้อมูลที่ได้รับ
เติ้งเว่ยหมิงเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขากลับแปลกใจว่าเมื่อเห็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่งทำหน้างงงวย แทนที่จะรู้สึกดีใจ มีความสุขที่สามารถเอาคืนเธอได้ แต่ลึกๆ ในใจกลับเกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมา
เติ้งเว่ยหมิงสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ผมจะไปตู้อาหาร คุณหนูจะไปด้วยกันไหม หรือจะให้ผมซื้อกลับมาให้”
“ฉันยังไม่หิว นายไปเถอะ” ซุยหลันซีเอ่ยตอบด้วยอาการเหม่อลอย พลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เหมือนกับไม่ต้องการคุยด้วยอีกต่อไป
เติ้งเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่เซ้าซี้ เขาเดินออกจากตู้นอนไปยังตู้อาหาร
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้
Comments