“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก
“ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้านนี่มันรู้สึกดีจริงๆ
“ท่านลุงใหญ่ พรุ่งนี้วันเกิดท่านเจ้าเมือง ท่านเตรียมของขวัญเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ” ความจริงนางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่เห็นท่านลุงใหญ่ทำงานยุ่งทั้งวันเกรงจะลืมจึงเอ่ยเตือน
“เตรียมแล้ว แต่ฐานะอย่างเราไม่มีของมีค่าใดนักหรอก” หลินเหิงอี้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าข้าจะรบกวนท่านลุงใหญ่นำของฝากของข้าไปด้วยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หืม? อะไรหรือ?” แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็นับเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเองก็เห็นบรรดาหญิงสาวในตันหยางหลงใหลได้ปลื้มกับท่านเจ้าเมืองที่ยังไม่แต่งภรรยากันแทบทั้งสิ้น แต่ไม่คิดว่าหลานสาวตัวเองก็จะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ของเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน หวังหมิ่นรอจนหญิงสาวเดินหายไปลับตาแล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลินเหิงอี้ฟังอย่างละเอียด
หลินเหิงอี้ได้แต่ขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด หรือหลานสาวของเขาจะเป็นเช่นเดียวกับสตรีในเมืองตันหยางเสียแล้ว
หลินอวี้เจินไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนจดหมายอีกครั้ง เมื่อทบทวนดีแล้วจึงพับใส่ซองเรียบร้อยเดินออกมาพร้อมกล่องกระดาษสีแดงสดสวย เมื่อนางสาวเท้าออกมานอกห้องก็พบว่าหลินเหิงอี้นั่งกุมศีรษะอยู่โดยมีหวังหมิ่นยกชามยาส่งให้ รอบๆ ยังมีบ่าวรับใช้ที่มีสีหน้ากังวลใจยืนอยู่ไม่ห่าง
“ท่านลุงใหญ่” หญิงสาวร้องเรียกและเมื่อเห็นหลินเหิงอี้เงยหน้าขึ้นใบหน้าซีดเซียวก็ทำให้นางตกใจรีบเดินเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้น?”
“นายท่านหน้ามืดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นรายงานพลางส่งชามยาให้หลินเหิงอี้ที่ยื่นมือมารับแล้วรีบดื่มทันที
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสักครู่ก็ดีขึ้น”
“นายท่านทำงานไม่ได้หยุดได้พักติดต่อหลายวัน บ่าวว่าเชิญหมอมาตรวจดูอาการหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร” หลินเหิงอี้ยันกายขึ้นจากเก้าอี้ แต่เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นจึงทรุดลงไปนั่งตามเดิมอีกครั้ง
“ให้คนไปเชิญหมอมาเดี๋ยวนี้” คราวนี้หลินอวี้เจินออกคำสั่งเอง แล้วหันไปถลึงตาใส่ท่านลุงใหญ่ของนาง
“ท่านลุงใหญ่ต้องหยุดพักเจ้าค่ะ” นางออกคำสั่งหน้าตาจริงจังแล้วหันไปทางบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ประคองนายท่านกลับไปที่ห้องพัก”
“แต่...แต่นายท่านต้องนำของขวัญไปที่จวนท่านเจ้าเมืองนะขอรับ นี่ก็ได้เวลาแล้ว” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หลินอวี้เจินชะงักไปเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม
“ข้าจะไปเป็นตัวแทนท่านลุงใหญ่เองเจ้าค่ะ”
หลินเหิงอี้เบิกตากว้างมองหลานสาวที่พูดออกมาด้วยความแน่วแน่
“ท่านลุงอยู่ที่ตันหยาง แม้ไม่ใช่คนเมืองนี้แต่ก็อยู่มาหลายปี ทำการค้ามานาน วันเกิดท่านเจ้าเมือง ใครๆ ก็ถือโอกาสนี้นำของขวัญไปมอบให้ แม้ร้านของเราจะไม่ใช่กิจการใหญ่โต อาจไม่ได้อยู่ในสายตาผู้อื่นด้วยซ้ำ แต่เมื่อตระเตรียมของขวัญเรียบร้อยทุกอย่างอย่าง ก็ควรนำไปมอบให้ท่านเจ้าเมืองเสีย คงใช้เวลาไม่มากนัก ให้พี่หวังหมิ่นไปเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
หลินเหิงอี้เห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหลานสาวก็พยักหน้าอย่างพอใจ แม้เป็นผู้หญิงแต่ไม่อ่อนแอเอาแต่หวาดกลัวมิกล้าตัดสินใจทำสิ่งใด แม้เขาไม่มีลูกแต่ก็เอ็นดูนางประหนึ่งลูกในไส้ เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วใจก็เริ่มผ่อนคลาย ในภายภาคหน้าจะให้นางช่วยดูแลกิจการในส่วนของเขาได้
“หวังหมิ่น เจ้าไปช่วยคุณหนูแต่งตัวแล้วไปพร้อมนาง”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“ท่านลุงใหญ่ ข้าเขียนจดหมายถึงบิดา รบกวนให้คนช่วยนำไปส่งให้ด้วยเจ้าค่ะ” นางรีบยื่นจดหมายของนางให้หลินเหิงอี้ ใบหน้าหวานระบายยิ้มอ่อนโยน
“ท่านลุงใหญ่พักผ่อนให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ หลานไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว”
หญิงสาวหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้คอยดูแลหลินเหิงอี้อย่างดี สั่งให้คนนำของขวัญไปไว้ในรถม้ารวมทั้งของนางด้วย แต่นางไมได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะเห็นว่าชุดที่สวมอยู่ก็เรียบร้อยดีอยู่แล้ว นางไม่ต้องการแต่งกายประชันขันแข่งกับผู้ใด และไม่ต้องการเป็นจุดเด่นหลังจากเกิดเรื่องที่ผ่านมาด้วย
ผู้คนมาจวนท่านเจ้าเมืองแน่นขนัด รถม้าของหลินอวี้เจินจำต้องจอดไกลสักหน่อย แต่หลินอวี้เจินไม่รู้สึกลำบากอะไร นางเดินพูดคุยหยอกล้อกับหวังหมิ่น คิดเพียงหาโอกาสเปิดหูเปิดตาในเมืองตันหยาง แห่งนี้ เมื่อได้เข้าไปในจวน นางเองไม่รู้จักผู้ใดแต่นางเคยเป็นตัวแทนบิดานำของขวัญมอบให้เหล่าขุนนางท้องถิ่นบ้าง แม้บิดามิใคร่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แต่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ นางเองก็พอเข้าใจ
“พี่หวังหมิ่นรู้หรือไม่ว่าท่านลุงเตรียมของขวัญอะไรมอบให้ท่านเจ้าเมือง” นางกระซิบถามเบาๆ
“เหรินเซินเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านลุงใหญ่เตรียมโสมคนเป็นของขวัญให้ผู้อื่นในขณะที่ตัวเองต้องการยาบำรุงสุขภาพเช่นกันนะหรือ? นางได้แต่ส่ายหน้าไปมา หวังหมิ่นแม้ไม่ค่อยได้ออกจากเรือนของหลินเหิงอี้ แต่เพราะเป็นคนเมืองตันหยางจึงเคยเห็นหน้าบรรดาคุณหนูของบ้านอื่นที่มาคารวะท่านเจ้าเมือง แน่นอนว่าวันนี้ทุกคนแต่งกายงดงามประดุจงานรื่นเริงของเหล่าเทพธิดา มีเพียงคุณหนูของนางที่แต่งกายเรียบง่าย ทำให้นางได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดาย หากหลินอวี้เจินแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสดใส ประดับปิ่นระย้า สวมกำไลและแต้มสีชาดสักหน่อย เรียกได้ว่างดงามไม่แพ้หญิงใดในเมืองตันหยางเลยทีเดียว
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ