นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้
หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคลุมกันลมยืนถือพัดกลมใต้ต้นดอกท้อ
“ใครกัน” นางเพ่งมองที่รูปแต่ไม่ปรากฏข้อความใด รูปวาดดูเก่าแก่อายุน่าจะเกิดสิบปี ฝีมือการวาดประณีตงดงามราวกับทำให้หญิงงามในภาพมีชีวิต
“หรือจะเป็นหญิงในดวงใจของท่านลุงใหญ่”
หลินอวี้เจินพึมพำเบาๆ นางไม่ได้แตะต้องสิ่งใดในห้องลับ เพียงแค่กวาดตามองรอบๆ แล้วจึงเดินออกมาเงียบๆ ใส่กุญแจเรียบร้อยแล้วกลับไปช่วยพ่อบ้านหานตกตรวจสอบรายการซื้อขายสินค้า
........
“ใต้เท้าไม่ควรออกไปตามลำพังเช่นนั้นนะขอรับ”
“จางหยวน...ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นแค่องครักษ์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่จะมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้”
กัวจื่อหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านมากกว่าจะไม่พอใจที่องครักษ์หนุ่มแสดงความกังวลออกมา
“ขออภัยแต่บ่าวมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของใต้เท้า แต่บ่าวกลับไม่รู้ว่าใต้เท้าออกไปนอกจวน”
“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน”
กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนเอกสารที่ลงนามแล้วออกไปด้านข้าง ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“อย่ากังวัลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
องครักษหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “บ่าวหวังใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
“ข้าไม่รับปาก แต่รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้อมูลที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ได้แล้วขอรับ” จางหยวนยื่นหนังสือรายงานที่ราบรวมข้อมูลมาส่งให้ผู้เป็นนาย
กัวจื่อหรานหนุ่มรับมาเปิดออกแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก พบกันครั้งแรกเป็นความบังเอิญ ครั้งนั้นเขาไม่รู้ว่านางคือหลินอวี้เจิน เขามีธุระที่ต้องไปสะสางด้วยตนเองที่จู้หยาง ไม่คิดว่าจะบังเอิญเห็นหญิงสาวเดินหนีชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้นางจะก้มหน้าก้มตาเดินหนีอยู่ แต่เขากลับเห็นแววตาฉ่ำน้ำตาของนางทำให้ต้องเข้าช่วยเหลือ พบกันอีกครั้งนางกลับเป็นหลานสาวของหลินเหิงอี้
ชายหนุ่มอ่านรายงานแล้วเผลอขมวดคิ้ว ข้อมูลทั่วๆ ไปไม่ได้เรียกความสนใจเท่ากับ
‘ยกเลิกการหมั้นหมาย? คู่หมั้นไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง?’
เขารับถ้อยน้ำชาจากจางหยวนยกขึ้นจิบหมดถ้วยแล้ว แต่ยังคลึงถ้วยชาเล่นในมือขณะไล่สายตาอ่านรายละเอียดอันไร้สาระเหล่านี้
“มาที่นี่ก็คงมารักษาแผลใจละซิ”
“ทหารเงาของเราเคยเข้าไปค้นที่บ้านเศรษฐีหลินมาแล้ว แต่หาไข่มุกน้ำตาจันทราไม่พบขอรับ”
เปรี้ยะ!
ถ้วยน้ำชาในมือของกัวจื่อหรานเกิดรอยแตกร้าว จางหยวนลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเอ่ยไปต้องโมโหมากขนาดนี้
“สายรายงานมาว่าสองสามวันมานี่เศรษฐีหลินไม่สบายล้มหมอนอนเสื่อ หลานสาวจึงดูแลกิจการแทนผู้เป็นลุงขอรับ”
“เป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ กล้าออกหน้ารึ! ช่างกล้านัก!” เสียทีบิดาเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เหตุใดบุตรสาวกลับไร้กิริยาเช่นนี้
“จะทำประการใดต่อไปขอรับ”
ใบหน้าคมเข้มกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก มือแกร่งโบกไปมาเหมือนต้องการตัดบท
“อ่อ! กัวอี้เซียวเข้านอนหรือยัง?”
“กำลังนั่งดูสมุดภาพของแม่นางหลินขอรับ”
กัวจื่อหรานถอนหายใจหนักๆ “ข้าไม่ชอบใจที่อี้เซียวสนิทสนมกับหญิงผู้นั้น อี้เซียวใสซื่อจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปเป่าหูอี้เซี้ยวอะไรไว้บ้าง”
“คุณชายเป็นคนฉลาด ไม่เป็นเช่นที่ใต้เท้าคิดแน่นอน” จางหยวนเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปหาอี้เซียว”
เขาปิดรายงานเกี่ยวกับหลินอวี้เจินแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมายโดยมีจางหยวนก้าวตามไปติดๆ
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ยังคงพลิกสมุดภาพดูด้วยความเพลิดเพลิน บ่าวรับใช้เห็นกัวจื่อหรานเดินตรงมาก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาเดินไปนั่งข้างน้องชายยื่นมือไปปัดรอยเลอะที่ข้างแก้ม กัวอี้เซียวมักทำหมึกเลอะหน้าตาอยู่เสมอ
“มีเรือลำใหญ่จริงๆ หรือพี่ใหญ่”
กัวอี้เซียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาอยากรู้ราวกับเด็ก อยู่กับผู้อื่นเขาเอ่ยเพียงคำสองคำ แต่กับกัวจื่อหรานแล้ว เขาพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้ แต่ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกราวกับหยุดไว้ที่อายุเจ็ดขวบเท่านั้น
“จริงซิ” กัวจื่อหรานตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ดึกแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูสมุดภาพนี้ใหม่”
กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงักปิดสมุดภาพแล้วกอดไว้แนบอกแน่นอย่างห่วงแหน แล้วเดินไปปีนขึ้นเตียงนอนโดยไม่ยอมให้สมุดภาพอยู่ห่างกาย เขายื่นมือไปหมายจะหยิบออกและจัดผ้าห่มให้น้องชายแต่อีกฝ่ายกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“ข้าจะนอนกับสมุดภาพของข้า” เด็กหนุ่มยังกอดหนังสือไม่ยอมปล่อย “ของสำคัญของข้าต้องอยู่ใกล้ตัวข้า”
“เจ้าชอบสมุดภาพเล่มนี้มาก” เขาไม่ค่อยเห็นน้องชายชื่นชอบสิ่งใดนัก จึงออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดเสียงแผ่ว
“ข้าชอบพี่สาวมาก” กัวอี้เซียวอ้ำอึ้ง “พี่ใหญ่อย่ารังแกนางนะ”
คราวนี้กัวจื่อหรานขมวดคิ้ว น้องชายจ้องตาเหมือนรอคำตอบ เขาไม่เอ่ยอะไรแต่เหน็บผ้าห่มให้น้องชาย
“พี่ใหญ่”
“หลับตาแล้วหลับเสีย”
“ท่านสัญญากับข้าก่อน”
กัวจื่อหรานรู้ดีว่าน้องชายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แม้กัวอี้เซียวจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่เขาเวทนาสงสารในชะตากรรมของน้องชายนัก จึงมักตามอกตามใจเสมอ
“ได้ พี่ไม่รักแกนาง”
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ