แชร์

Chapter5.ยกเว้น

ผู้เขียน: เพลงมีนา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-03 09:04:35

            หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก  ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง   บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย  โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง  นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ   ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ  ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย

            “คุณหนูเจ้าค่ะ” 

            หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ  หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม

            “อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว”

            “บ่าวมิกล้า”

            “ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?”

            “ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง” 

            หลินอวี้เจินยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่หวังหมิ่นนะ”

            “ไม่ได้เจ้าค่ะ”  นางส่ายหน้าไปมา

            “ได้ซิ ข้าจะเรียกพี่หวังหมิ่น”  นางหัวเราะเบาๆ “พี่หวังหมิ่นอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ”

            “บ่าวเป็นคนเมืองตันหยาง” นางเอ่ยเสียงเบาข่มความขื่นขมในอก “บ่าวเคยเป็นหญิงรับใช้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถูกขับไล่ออกมา คราวนั้นนายท่านซื้อตัวบ่าวไว้จึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำงานรับใช้นายท่านได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ”

            “อย่างนี้เอง”  นางพยักหน้ารับเข้าใจ “พี่หวังหมิ่น ข้าอยากเดินเล่น พี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”   

            หวังหมิ่นเคยทำงานในบ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่โตตั้งแต่เด็ก  นางเข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี คุณหนูในห้องหอหากจะออกนอกบ้านย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ติดตาม  แต่หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย นางรู้ดีว่าตระกูลหลินเพิ่งสร้างฐานะได้ไม่นาน แต่กระนั้นก็ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่มักโอ้อวด  และรังแกบ่าวไพร่  หลินเหิงอี้เป็นนายที่ดี แม้พูดจาเสียงดังและนิสัยโผงผางไปบ้าง แต่ไม่เคยดูแคลนผู้ใด หากใครทำผิดจึงลงโทษ  หากทำดีสัตย์ซื่อก็ตบรางวัลให้ทำให้ผู้ที่ทำงานด้วยล้วนทำอย่างเต็มที่

            “ถ้าแค่ใกล้ๆ ละแวกนี้ บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้เจ้าค่ะ”  นางยิ้มบางๆ อดเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้

            “ตอนที่นั่งรถม้าเข้าเมืองมา ข้าเห็นร้านขายภาพเขียนมีคนเข้าออกจำนวนมาก ข้าอยากไปร้านนั้นจะได้หรือไม่”

            หวังหมิ่นนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ  ร้านที่ว่าอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่นานก็ถึงที่หมาย ตอนนี้ยังแดดไม่ร้อนจัด ก็เหมาะสมกับการไปข้างนอกได้อยู่

            “บ่าวจะให้คนเตรียมรถม้าก่อนนะเจ้าค่ะ” 

            “ไกลมากหรือ? เราเดินกันไปได้หรือไม่”

            หวังหมิ่นมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง  หลินอวี้เจินแม้ไม่ได้งดงามปานล่มเมือง แต่นางมีโครงหน้ารูปไข่ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวขาวราวหยกใส ท่าทางกระตือรือร้นของนางดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากหญิงสาวผู้อื่น

            “เกรงว่าจะไม่เหมาะสม คุณหนูนั่งรถม้าไปเถิดเจ้าค่ะ”

            “เวลาที่ข้าอยู่ที่จู้หยาง ก็เดินจากบ้านไปดูแลร้านขายผ้าของท่านลุงใหญ่เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

            “นั่งรถม้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเตรียมรถ คุณหนูเปลี่ยนเสื้อดีไหมเจ้าคะ”

            “เปลี่ยนทำไม  ข้าแต่งแบบนี้ออกไปข้างนอกมิได้หรือ” 

            นางเบิกตากว้าง ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางสวมชุดสีเขียวบงกชแบบเรียบๆ แต่ตัดเย็บประณีต บนศีรษะประดับเพียงปิ่นหยกชิ้นเดียวแต่กระนั้นกลับขับเน้นให้นางดูงดงามน่ามองไม่น้อย

            “เช่นนั้นสวมเสื้อคลุมอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ แดดแรงนัก”

            หลินอวี้เจินเพียงแค่ยิ้มรับ นางเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น เกรงว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมจึงเอ่ยถามออกไปก่อน หวังหมิ่นเดินเร็วๆ สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมรถม้าและเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างบอบบางของหญิงสาว จากนั้นสั่งงานบ่าวรับใช้แล้วจึงพาหลินอวี้เจินขึ้นรถม้า ขณะที่รถม้าผ่านร้านรวงต่างๆ มือเรียวเล็กยื่นไปแง้มผ้าม่านมองออกไปด้านนอกด้วยความสนใจ

            “ที่นี่คึกคักยิ่งนัก”

            “เจ้าค่ะ แต่พอถึงฤดูหนาวจะเงียบเหงานัก ปิดบ้านอยู่กันเงียบเชียบ ช่วงฤดูหนาวพ่อค้ามักหยุดเดินทางที่นี่จึงไม่ค่อยมีคนอยู่”

            “แต่ท่านลุงใหญ่มิค่อยได้กลับบ้านที่จู้หยางนัก เขามิได้อยู่ที่ตันหยางหรือ?”

            “นายท่านเดินทางตลอดเจ้าค่ะ แต่ปีที่ผ่านมานายท่านอยู่ที่นี่”

            หลินอวี้เจินไม่ได้ถามอะไรอีก นางนึกถึงที่เคยพูดคุยกับบิดา บิดาเคยเล่าว่าที่ท่านลุงใหญ่มิใคร่กลับบ้านเพียงเพราะไม่อยากคิดถึงภรรยาและลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตา จึงไม่ค่อยกลับมาที่จู้หยางบ่อยนัก  นางเข้าใจดี แม้ความเจ็บปวดที่นางได้รับมิอาจเทียบกับท่านลุงใหญ่  แต่นางเองยังต้องการเวลาสำหรับรักษาบาดแผลในหัวใจ ไม่คิดถึงเรื่องราวที่จำต้องหลบหนีมาถึงที่นี่อีก

            ไม่นานนักรถม้ามาถึงที่หมาย หวังหมิ่นลงจากรถก่อนแล้วประคองหญิงสาวก้าวลงมา  วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ทำให้หลินอวี้เจินสามารถเดินดูภาพวาดในร้านได้อย่างสบายใจ  นางมักยืนมองภาพแต่ละภาพนิ่งงันและครุ่นคิด   สงบจิตใจแล้วจ้องมองรอยตวัดฝีแปรง   น้ำหนักอ่อนเบา บ่งบอกถึงจิตใจของจิตกรผู้นั้น บิดาของนางชื่นชอบการวาดภาพแต่ไม่เชี่ยวชาญนัก  จึงเชิญอาจารย์ท่านอื่นมาสอนที่สำนักศึกษาของตน  นางเองก็พลอยได้ฝึกฝนไปด้วย  นางไล่ดูแต่ละภาพ อ่านโคลงกลอนที่ปรากฏเหล่านั้น  ภาพทิวเขาสูงตระหง่านมีธารน้ำตกใส นางหมุนตัวหันไปหาหวังหมิ่น หวังจะถามหาที่ตั้งของภาพนี้  เป็นสถานที่จริงในตันหยางหรือเป็นเพียงจินตนาการของจิตกรกัน

            “พี่หวังหมิ่น อ๊ะ!”

นางหมุนตัวกลับมาโดยไม่รู้ว่าด้านหลังมีคนยืนอยู่  นางเกือบชนกับชายคนหนึ่งเขา ด้วยความไม่ต้องการแตะต้องร่างกายของฝ่ายตรงข้าม นางจึงถอยหลังหลบ แต่ไม่คิดว่าคนที่ยืนด้านหลังก็ตกใจถอยหลังเช่นกัน แต่เท้าของเขานั้นไขว้กันจนทำให้ล้มลงก้นกระแทกพื้น

            สีหน้าของอีกฝ่ายเจ็บปวดไม่น้อยแต่ไม่สงเสียงร้องสักนิด  หลินอวี้เจินตั้งสติได้จึงรีบนั่งลงยื่นมือไปแตะแขนของเขา  ดวงตาตื่นตกใจจ้องมองนางไม่ยอมกะพริบตา  หลินอวี้เจินแม้อายุสิบเจ็ดแต่นางช่วยบิดาดูแลสำนักศึกษา บ่อยครั้งที่ต้องช่วยดูแลคุณชายน้อยที่มาเรียนหนังสือ  จึงไม่รู้สึกว่าการที่ตนแตะต้องร่างกายเด็กหนุ่มคนนี้เป็นสิ่งผิด  ที่จริงนางเอกก็มีส่วนผิดที่ทำให้เขาตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 54 จบ

    ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 53.  รู้สึกเป็นหนึ่งเดียว

    เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 52 เจ้าไม่อยากได้ข้าเป็นสามีหรือไร

    นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 51 ลงอาญาใด

    “พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 50. คงได้ยินหมดแล้ว

    “อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน

  • จันทราพร่างพราว เหมันต์หวนคืน   Chapter 49.  แค่รู้สึกผิด

    “หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status