LOGINวรรณารีและสายรอจนกระแต พี่เลี้ยงของที่รักกลับไปพักผ่อนยังบ้านพักคนงานที่สร้างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมายืนเมียง ๆ มอง ๆ รอบตู้ไม้อย่างสนอกสนใจ
แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนตู้ไม้ก็คือตู้ไม้ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษตรงจุดไหน เป็นเพียงตู้ไม้ที่มีชั้นสำหรับวางหนังสือทั้งสามชั้นหนากว่าตู้ปกติทั่วไปเท่านั้น คาดว่าที่ทำให้หนาก็เพื่อรองรับหนังสือซึ่งมีน้ำหนักมากนั่นเอง
“ตู้ใบนี้ดีจริงหรือลูก” วรรณารีอดถามออกมาไม่ได้
ที่รักพยักหน้าแรง ๆ ติดกันหลายทีจนไขมันตรงแก้มกลม ๆ สั่นกระเพื่อมไปมา มือวรรณารีคันยุบยิบอยากจะบีบแก้มนุ่ม ๆ นั้นใจแทบขาดแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้
วรรณารีและสายพากันเดินวนดูอีกสองรอบก็เหมือนจะไร้ผล
“ป้าว่าเรื่องดีที่จิ๊ดริดบอกอาจจะไม่เกิดขึ้นทันทีก็ได้ กลับเข้าบ้านกันดีกว่ายุงเริ่มชุมแล้ว”
วรรณารีพยักหน้าเห็นด้วย เธอให้สายพาที่รักเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองจะขอทำความสะอาดคราบฝุ่นให้หมดเพราะรู้สึกไม่สบายใจกลัวจะมีแมลงมีพิษหลงเหลืออยู่จนทำอันตรายต่อคนในบ้านได้
ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เช็ดทำความสะอาดภายนอกจนเอี่ยมอ่อง แล้วความสวยงามของตู้ก็ปรากฏให้เห็น ตู้ที่อายุยาวนานอย่างต่ำยี่สิบปีแบบนี้กลับยังดูสวยสง่าและสีน้ำตาลเข้มเสมอกัน หากว่าเรื่องคราวนี้เป็นการเข้าใจผิดของที่รัก วรรณารีก็ไม่เสียใจที่ได้ยกกลับมาที่บ้าน ของดี ๆ แบบนี้นำไปใช้ต่อถึงรุ่นหลานก็ดูไม่มีปัญหาอันใด
วรรณารีใช้มือลูบผนังตู้ที่เรียบเนียนและไร้รอยเสี้ยนอย่างชื่นชม เมื่อเคาะเนื้อไม้ก็พบว่ามีเสียงดังทึบแน่นแสดงถึงความแกร่งของเนื้อไม้ที่ใช้ทำ เอาไปตั้งโชว์และวางของกระจุกกระจิกของที่รักก็ดูเป็นความคิดที่ไม่เลว
เมื่อเห็นว่าภายนอกของตู้ดูสะอาดดีแล้ว เธอจึงหันไปทำความสะอาดด้านในต่อซึ่งใช้เวลานานพอควรเพราะมีคราบโคลนซึ่งเป็นรอยทางเดินของปลวกและคราบฝุ่นค่อนข้างมาก กว่าจะกะเทาะและเช็ดออกจนเกลี้ยงก็เล่นเอาหมดแรง
ด้านในตู้ยังคงเป็นเนื้อไม้เรียบเนียนสีน้ำตาลเข้มเสมอกันเหมือนด้านนอก วรรณารีลูบและเคาะเนื้อไม้ที่เป็นชั้นหนังสืออย่างชื่นชมอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงของเนื้อไม้ในแต่ละชั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับเธอเป็นอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ! ทำไมกลวง”
เธอลองเคาะเนื้อไม้ที่เป็นชั้นวางหนังสือทั้งสามชั้นอีกครั้งก็ได้เสียงกลวงเหมือนเดิม จะมีช่างประเภทไหนที่ทำชั้นวางของซึ่งต้องรับน้ำหนักมาก ๆ ด้วยแผ่นไม้กลวง?
ด้วยความสงสัย เธอจึงเปิดไฟฉายช่วยส่อง เมื่อลองสาดแสงไฟไปทั่ว ๆ ชั้นพร้อมกับใช้มือลูบและกดไม้ตรงชั้นดูก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเธอเพิ่มขึ้นไปอีก
“ไม้อัด?”
ทำไมถึงใช้ไม้อัดทำเป็นชั้นวางแทนไม้เนื้อแข็ง
และเมื่อเริ่มสำรวจอย่างตั้งใจอีกครั้งก็พบว่าชั้นแต่ละชั้นสร้างจากแผ่นไม้อัดต่อกันหลายแผ่น แต่เพราะฝีมือที่ดีมากของช่างทำตู้ หากมองแบบผิวเผินก็จะไม่สังเกตเห็นถึงรอยต่อของเนื้อไม้ เมื่อลองกะประมาณโดยคร่าวพบว่าความกว้างของแต่ละชั้นอยู่ที่หนึ่งเมตรตามขนาดของตู้ ส่วนความหนาของชั้นอยู่ที่ประมาณสามนิ้ว ส่วนชั้นไม้อัดชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นล่างสุดจะมีความหนาเป็นพิเศษอาจเพราะใช้เป็นฐานตู้ด้วยจึงต้องทำให้ดูหนาและแข็งแรงขึ้น กะประมาณด้วยตาน่าจะหนาประมาณสิบนิ้ว
ขณะที่วรรณารีไล้นิ้วไปทั่วแผ่นไม้อัดตรงชั้นบนสุด นิ้วมือเธอก็ไปสะดุดกับปุ่มนูนกลมตรงมุมด้านในสุดของแผ่นไม้ ปุ่มนูนนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเซนติเมตร เมื่อลองใช้เล็บจิกเบา ๆ ตรงจุดนูนสุดของปุ่ม เธอก็พบว่ามันสามารถขยับได้ เธอลองใช้นิ้วผลักปุ่มไปทางซ้ายและขวา นอกจากปุ่มสั่นไหวเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดันมาด้านหน้าและผลักไปด้านหลังก็ให้ผลคล้ายกัน หลังจากนั้นเธอก็ลองในทิศสุดท้ายนั่นก็คือกดปุ่มลงด้านล่างเบา ๆ
ผลที่ได้สร้างความอัศจรรย์ใจให้เธอเป็นอย่างมาก ปุ่มยุบตัวลงตามแรงกดและคล้ายกลับมีเสียงบานพับที่เป็นสนิมดังขึ้นเบา ๆ
วรรณารีดึงนิ้วออกอย่างตกใจ
เธอยืนมองอยู่ครู่ใหญ่ก็ตัดสินใจยื่นมือไปใกล้ปุ่มนั้นอีกครั้ง และคราวนี้เธอกดปุ่มนั้นอย่างสุดแรงจนจมมิด
ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ๊กดังขึ้น และแผ่นไม้อัดที่ทำเป็นชั้นหนังสือก็เลื่อนแยกออกจากกันตรงจุดกึ่งกลาง โดยแยกออกจากกันกว้างแค่ประมาณสองเซนติเมตรก็หยุดลง
แป้นไม้ที่หนาผิดปกตินี้คือกล่องไม้ที่ใช้เก็บของ!
กล่องไม้นี้ออกแบบเป็นพิเศษโดยใช้ไม้อัดตีประกอบ มีความสูงสามนิ้วและกว้างยาวตามขนาดของตู้ ที่น่าอัศจรรย์ไปกว่านั้นคือมีกลไกพิเศษในการเปิด ต้องกดปุ่มกลมมนเล็ก ๆ ให้จมลง ฝากล่องที่ปิดสนิทด้านบนถึงสามารถเปิดออกได้ เป็นกลไกลับที่วรรณารีเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
วรรณารีกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนจะใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างเกี่ยวฝากล่องทั้งสองฝั่งตรงรอยแยกกว้างสองเซนติเมตรนั้นแล้วงัดขึ้นเหมือนเปิดกล่องพัสดุทั่วไป ปรากฏว่าฝากล่องสามารถง้างเปิดได้โดยง่าย
หลังจากนั้นหญิงสาวก็เบิกตากว้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห







