เข้าสู่ระบบสำหรับที่ดินที่ได้มาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ วรรณารีตั้งใจจะทำเช่นเดิมคือนำที่ดินไปจำนองกับทางธนาคารเพื่อเอาเงินก้อนมาลงทุน แต่ไม่ทันได้ไปติดต่อธนาคารก็มีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกเกิดขึ้นในชีวิตวรรณารีเสียก่อน
“ป้าโทรหาบริษัทปรับปรุงสวนทำไมคะ” เมื่อได้ยินสายโทรคุยกับบริษัทปรับปรุงสวน วรรณารีจึงถามด้วยความแปลกใจเพราะตามปกติสายเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบติดต่อหรือพบใครง่าย ๆ
“ฉันก็อยากปรับปรุงที่ดินอีกสี่ไร่ของฉันบ้างสิ ฉันจะปรับปรุงให้เป็นที่วิ่งเล่นของจิ๊ดริด”
“ป้าคะ อย่าเปลืองเงินเลยค่ะ” วรรณารีบอกด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
“ก็นี่มันเงินฉัน ที่ดินฉัน เธอจะมาห้ามอะไร” สายมองตาขวาง
“แต่วรรณเกรงใจ”
“แล้วมาขัดขวางความสุขของฉันแบบนี้ไม่คิดจะเกรงใจบ้างหรือไง?”
“ป้าคะ...” วรรณารีเอ่ยเสียงอ่อย
สายถอนหายใจยาว “คิดเสียว่าเห็นแก่ความสุขของคนที่เพิ่งเคยมีครอบครัวและเคยมีหลานแบบฉันเถอะนะแม่วรรณ อย่าห้ามอะไรฉันเลย เงินทองฉันมันท่วมบัญชีไปหมดแล้ว สวรรค์เลยเมตตาให้ฉันได้ใช้ก่อนตาย”
“ป้ายังไม่แก่เลยนะคะ”
“แต่กำลังจะแก่มากขึ้นถ้าเจอคนขัดคอบ่อย ๆ”
คราวนี้เป็นฝ่ายวรรณารีที่ถอนหายใจยาวแบบยอมจำนน เธอหันมามองลูกสาวที่กำลังนั่งกินขนมอยู่ด้านข้าง
“โตมาลูกต้องตอบแทนบุญคุณคุณยายให้มากนะ”
เพียะ
สายตีไปที่ต้นแขนวรรณารีหนึ่งทีจนเธอลูบป้อย
“เธอบอกลูกแบบนี้ได้ยังไง หลานฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อตอบแทนบุญคุณใครทั้งนั้น เธอเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขต่างหาก”
“หลานยายไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อใคร” หลังจากว่ากล่าวคนเป็นแม่แล้ว สายได้หันมาพูดกับหลานสาวตัวน้อยต่อ “เกิดมาทั้งทีก็ควรใช้ชีวิตตามความต้องการของเรา ไม่ใช่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น เข้าใจไหมลูก”
ที่รักเงยหน้ามองยายด้วยสีหน้างุนงงแต่เธอก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
วรรณารีมองลูกอย่างรู้สึกผิด เธอลูบศีรษะลูกเบา ๆ “แม่ขอโทษนะลูกที่สอนอะไรผิด ๆ ไป แม่จะไม่พูดแบบนี้อีกแล้วนะจ๊ะ”
ที่รักส่งยิ้มหวานให้แม่
“พรุ่งนี้เธอไปดูที่ข้างในกับฉันหน่อย ฉันอยากไปสำรวจคร่าว ๆ”
“ได้ค่ะ จะเข้าไปดูตั้งแต่กี่โมงดี”
“ตั้งแต่เช้าเลย นอกจากจะให้เขาจัดการพวกหญ้ารก ๆ แล้ว จะให้ดูบ้านไม้ซุงข้างในด้วย ถ้าปรับปรุงได้ก็ให้ปรับปรุงด้วยเลย เอาไว้พักช่วงระหว่างวัน” สายเอ่ยถึงบ้านไม้ซุงที่ตั้งอยู่ในที่ดินผืนนั้น
“วรรณว่าจะถามป้าหลายทีแล้วเรื่องบ้านนั้น เห็นผ่าน ๆ ยังสภาพดีอยู่เลยนะคะ”
“บ้านทำจากไม้เนื้อแข็งเลยอยู่ทน สภาพไม่ค่อยเปลี่ยนจากยี่สิบปีก่อนสักเท่าไรนะ”
“แล้วป้าเคยเข้าไปดูไหมคะ”
สายส่ายหน้า “ตั้งแต่ซื้อที่ผืนนี้มา ฉันก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งหรือสำรวจอะไรเลย”
ที่รักแม้จะนั่งกินขนมอยู่ แต่ใบหูระหว่างแอบฟังบทสนทนาของแม่และยายที่พูดถึงบ้านไม้ซุงหลังนั้นถ้ากระดิกได้แบบสุนัขก็คงทำไปแล้ว
“จิ๊ดริดจะไปดูบ้าน” เด็กหญิงยกแขนสั้น ๆ ขึ้นพร้อมพูดเสนอตัว
“บ้านไหน” วรรณารีหันมาถามงง ๆ
“ก็บ้านในสวน” เด็กหญิงชี้นิ้วไปตรงบริเวณหลังบ้าน
“บ้านมีแต่ฝุ่นทั้งนั้น แล้วข้างในคงไม่มีอะไรให้ดู อย่าไปเลยลูก” คนเป็นแม่ห้าม
“ไม่เอา จิ๊ดริดอยากไป ให้จิ๊ดริดไปนะ จิ๊ดริดอยากเห็น”
“เอาล่ะ อยากไปก็ไป แต่หนูสัญญากับยายก่อนนะว่าจะไม่วิ่งเพ่นพ่าน ต้องเชื่อฟังยายกับแม่นะรู้ไหม” สายตอบตกลงในทันที เด็กเล็ก ๆ ลืมง่ายอยู่แล้ว พรุ่งนี้คงจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไป
วันต่อมา สิ่งที่ผิดคาดสำหรับสายมากที่สุดนั่นคือเด็กหญิงไม่ลืมเรื่องที่เธอพูดไว้เมื่อวาน ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาประโยคแรกที่ถามคือจะไปดูที่ดินหลังบ้านตอนไหน จนสายและวรรณารีต้องหันมายิ้มให้กันอย่างอ่อนใจและยอมพาเธอไปด้วยแต่โดยดี
เพราะไม่มีใครเข้ามาในบริเวณนี้นานหลายปีจึงมีต้นหญ้าขึ้นค่อนข้างสูงสลับกับต้นไม้ใหญ่ ดีที่วรรณารีให้คนงานผู้ชายสามคนเดินนำเพื่อแผ้วถางต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นรกปิดทางจึงสามารถเดินกันต่อได้ เธออุ้มที่รักไว้ตลอดระหว่างเดินเข้ามาด้วยกลัวจะมีสัตว์หรือแมลงมากัดลูก โชคดีที่ได้ทาโลชั่นกันยุงและแมลงให้ก่อนมา ตามเนื้อตัวของที่รักจึงไม่มีรอยโดนกัดใด ๆ ให้เห็น
เดินมาได้สิบนาทีก็เจอบ้านไม้ซุงที่สายบอกไว้ บ้านนี้ตั้งอยู่ส่วนหน้าของที่ดิน ไม่ไกลจากบ้านของพวกเธอ เท่าที่ดูด้วยสายตาแล้วบ้านนี้ยังคงสภาพดีอยู่มาก แม้จะมีฝุ่นผงและเครือเถาของต้นไม้เกาะโดยรอบ แต่ไม้ซุงที่ทำเป็นผนังบ้านยังดูคงทน อาจเพราะสมัยก่อนใช้ไม้เนื้อแข็งที่แก่จัดเท่านั้นในการสร้างบ้าน อายุการใช้งานจึงยืนยาวมาถึงปัจจุบัน หากได้รับการปัดกวาดและซ่อมแซมให้ดี วรรณารีเชื่อว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านที่น่าอยู่หลังหนึ่ง
“เท่าที่ดูยังสภาพใช้ได้” สายพยักหน้าอย่างพอใจกับภาพที่เห็น
“แม่ เข้าไป” ที่รักสะกิดแม่ของตัวเองพลางชี้ไปที่ประตูบ้านไม้ซุง
“ข้างในมีแต่ฝุ่น แล้วอาจมีสัตว์มีพิษด้วย เราอย่าเพิ่งเข้าไปดีกว่านะลูก รอคนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วค่อยมาดูใหม่”
“ไม่เอา จิ๊ดริดอยากเข้า” ที่รักพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ได้ เข้าก็เข้า” สายที่ตามใจหลานสาวอยู่เป็นนิจได้ช่วยตัดสินใจให้ เธอหันไปสั่งให้คนงานเอาค้อนทุบแม่กุญแจที่ติดอยู่หน้าประตูออก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที กุญแจสนิมเขลอะก็หลุดกระเด็นออกมา
“จิ๊ดริดสวมผ้าปิดจมูกแน่น ๆ นะลูก ฝุ่นจะได้ไม่เข้า” วรรณารีเหลียวไปพูดกับลูกก่อนเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน
ภายในบ้านไม้ซุงเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ รวมถึงรอยเดินของปลวก แต่ถ้าเดินไปดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าเนื้อไม้ไม่มีรอยกัดแทะของปลวกให้เห็นเป็นสิ่งที่แสดงถึงคุณภาพอันดีเยี่ยมของไม้ที่ใช้สร้างกระท่อม
เครื่องเรือนด้านในมีไม่เยอะ ส่วนมากเป็นเก้าอี้ ตู้ไม้ และเครื่องครัวผุพังไม่กี่ชิ้น สายมองไปโดยรอบบ้านที่มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องนั่งเล่นแห่งนี้อย่างชอบใจ ตั้งแต่ซื้อที่ดินผืนนี้มาเธอไม่เคยเดินเข้ามาดูเลยสักครั้ง รู้แค่ว่ามีบ้านไม้หนึ่งหลังปลูกอยู่เท่านั้น หากรู้ว่าบ้านหลังนี้สร้างได้น่าอยู่ขนาดนี้เธอคงเข้ามาปรับปรุงไว้ใช้ประโยชน์นานแล้ว
“แม่ เอาตู้ไป” ที่รักชี้ไปยังตู้หนังสือหลังใหญ่ที่ทำจากไม้ซึ่งตั้งอยู่ริมผนังบ้าน
วรรณารีมองตามมือลูกก็เห็นตู้ไม้สีน้ำตาลที่มีหนังสือเก่าจุอยู่ทั้งสามชั้น เมื่อเดินไปมองใกล้ ๆ ก็พบว่าตู้นี้ทำจากไม้เนื้อดี มีเพียงคราบฝุ่นให้เห็นเท่านั้น แตกต่างจากหนังสือทั้งหมดที่อยู่ในตู้ซึ่งโดนปลวกแทะจนเหลือแค่ปก
“ไม่ดีหรอกลูก หนังสือด้านในก็ใช้ไม่ได้แล้วต้องทิ้งอย่างเดียว ตู้บ้านเราก็มีเยอะแยะที่ยังไม่ได้ใช้ อย่าเอาไปเลย ตั้งไว้ที่บ้านนี้แหละ ให้คนมาทำความสะอาดแล้วเอาไว้ใช้วางของเวลาเรามานั่งเล่นที่นี่”
“จิ๊ดริดอยากได้ แม่...เอาไป” เด็กหญิงทำเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมกับจับมือแม่แกว่งไปมา
วรรณารีอมยิ้มพร้อมถอนหายใจดัง ๆ “บอกแม่ก่อนว่าอยากเอาไปใส่อะไร”
ที่รักขมวดคิ้วมุ่นพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นคนงานทั้งสามยังคงเดินอยู่ใกล้ ๆ เธอก็ดึงมือแม่พร้อมกับใช้มืออีกข้างกวักเป็นสัญญาณให้แม่ค้อมต่ำลงมา
วรรณารีรู้โดยทันทีว่าลูกต้องการพูดกระซิบบางอย่างจึงก้มตัวลงและเอียงหูให้แต่โดยดี
“เอาตู้ไปแล้วดี” เด็กหญิงกระซิบบอก
วรรณารีขมวดคิ้วพร้อมกับเหลียวไปมองที่ตู้หลังนั้นอย่างฉงนก่อนหันไปสบตากับสายที่ก้มมองสองแม่ลูกอย่างสนใจตั้งแต่แรกเช่นกัน
“ทำไมหรือวรรณ” สายถามเสียงเบา
“จิ๊ดริดอยากได้ตู้นี้ไปเล่นค่ะ” วรรณารีบอกได้แค่นั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนงานจับสังเกตได้
แม้จะรับรู้เพียงแค่นั้นแต่คนที่ผ่านชีวิตหนาวร้อนมาหลายสิบปีแบบสายมีหรือจะไม่เข้าใจหญิงสูงวัยมองไปที่ตู้ใบนั้นอย่างครุ่นคิด
เมื่อเดินออกจากบ้านไม้ สายก็ไม่คิดจะสำรวจที่ดินต่ออีก เธอเพียงบอกให้คนงานช่วยกันยกตู้ไม้เจ้าปัญหาหลังนั้นกลับไปไว้ที่บ้าน และในช่วงเย็น ตู้ไม้ที่เอาหนังสือทิ้งหมดแล้วก็ได้มาตั้งตระหง่านโชว์คราบฝุ่นอยู่บริเวณหลังบ้านของสาย
“เอกสารที่ผมรวบรวมไว้ช่วงที่ท่านไม่อยู่ครับ” ไวพจน์มาหาพีรายุที่โรงพยาบาลในเช้าวันต่อมาได้หอบเอกสารเป็นตั้งมาด้วย “ในนี้เป็นสำเนาระบุสเปกวัสดุก่อสร้างที่มีลายเซ็นของจินดารากับเสี่ยทรงยศ แล้วยังมีรูปถ่ายที่ทั้งสองไปเจอกันตามที่ต่าง ๆ ด้วย ที่เหลือคือชื่อของพนักงานในบริษัททั้งหมดที่เป็นคนของจินดาราครับ”พีรายุไล่เปิดเอกสารดูหน้าเครียด “แล้วตอนนี้เริ่มทำคำสั่งซื้อพวกนี้หรือยัง”“เริ่มสั่งไปบ้างแล้วครับ รายละเอียดอยู่ด้านล่างสุด เสี่ยทรงยศจะเริ่มลงไซต์งานอาทิตย์หน้าแล้ว ผมว่าคำสั่งซื้อทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยภายในอาทิตย์นี้”“ขอบคุณคุณไวพจน์มากนะครับที่เหนื่อยมาหลายอาทิตย์ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผม ผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง คุณไม่ต้องทำอะไรแล้ว”“ให้ผมช่วยเถอะครับ ท่านออกโรงคนเดียวจะเป็นอันตรายได้”“เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียว ถ้าประธานบริษัทเป็นคนถือเอกสารไปหาผู้ใหญ่ของกระทรวงนั้นเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า”“ไม่อันตรายแน่นะครับ”“ไม่เป็นไร ผมจะระวังตัว”ไวพจน์กลับไปแล้วแต่พีรายุยังคงนั่งอ่านเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตาจนไม่
สายเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับหลาน “ตอนนี้เราปล่อยให้พ่อกับแม่พักก่อนดีกว่านะ แล้วพรุ่งนี้ยายจะพามาหาแต่เช้า”แม้ไม่เต็มใจแต่พีรายุก็ยอมคลายอ้อมกอดจากลูกแต่โดยดี เช่นเดียวกับที่รัก เธอมองมายังพีรายุอย่างเสียดาย เด็กหญิงเอียงหน้าไปหอมแก้มพีรายุฟอดใหญ่ก่อนยิ้มให้ “พรุ่งนี้จิ๊ดริดจะมาหาพ่อตั้งแต่เช้า พ่อกับแม่นอนดี ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”วรรณารีนั่งหน้าแดงมองตามสองยายหลานจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปเธอจึงได้ถอนสายตากลับเพื่อมาเจอกับแววตาลุ่มลึกของอีกคนที่ยังอยู่ในห้อง“ผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ยอมเปิดโอกาสให้ผมอีกครั้ง”“ฉันแค่อนุญาตให้ลูกเรียกพ่อ ตอนนี้ฉันยอมรับคุณแค่เป็นพ่อของลูกเท่านั้น”รอยยิ้มของพีรายุลดลง เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ “แล้วเรื่องของเราล่ะครับ”วรรณารีจ้องเขาด้วยใจที่แปลบปร่า “ฉันไม่สามารถทำใจรับคุณมาเป็นคู่ชีวิตได้อีก”“วรรณครับ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคุณก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจผมไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีแค่คุณเท่านั้น ยอมให้โอกาสเราทั้งคู่มาเป็นครอบครัวกันอีกครั้งเถอะนะครับ”วรร
“แม่วรรณ เธอมันบ้าบิ่นเกินไปนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิด...ถ้าเกิด...” สายเอ่ยตำหนิวรรณารีทันทีหลังจากที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไปแล้ววรรณารีที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ได้หลุบตานิ่งอย่างสำนึกผิด ใบหน้าและลำตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำโดยเฉพาะตรงลำคอที่แดงช้ำอย่างน่ากลัว “วรรณใจร้อนเกินไปจริง ๆ ค่ะ วรรณขอโทษ”“คนที่เธอควรจะขอโทษก็คือจิ๊ดริดกับคุณพีต่างหาก” สายชี้ไปยังที่รักซึ่งยืนสำนึกผิดอยู่ข้างเตียงและพีรายุซึ่งนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่อยู่ติดกัน“ผมไม่เป็นอะไรครับ แค่แผลถาก ๆ” พีรายุรีบพูดช่วย“แม่จ๋า จิ๊ดริดไม่ดี จิ๊ดริดช่วยแม่ไม่ได้” ที่รักน้ำตาเตรียมจะหยดแหมะออกมาเต็มที่วรรณารีรีบกอดปลอบลูก “ไม่ใช่ความผิดจิ๊ดริด แม่หาเรื่องเอง ถ้าแม่ไม่เข้าไปในนั้นแม่ก็จะไม่โดนทำร้าย”“แต่จิ๊ดริดเตือนแม่ไม่ได้ จิ๊ดริดไม่เห็นอะไรเลย”“ก็เพราะหนูไม่สบายอยู่ อย่าโทษตัวเองสิลูก แล้วแม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บเยอะแยะ อีกสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๊ดริดเสียอีกที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไข้จะได้ไม่กลับมา”“จิ๊ดริดหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว”“หายก็ก
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ที่ร้านแน่”บานชื่นถามสามีอย่างกระวนกระวายใจ ส่วนมือนั้นยังคงสาละวนดึงทองแดงจากกองใหญ่มาใส่ในรถเข็นของตัวเอง“แน่สิวะ ข้ามาแอบดูหลายคืนแล้ว ในร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน พวกคนงานไปอยู่ที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามหมด ถ้าจะมีก็มีแต่ผีเท่านั้นแหละ”“เอ็งอย่าพูดสิ ยิ่งมืด ๆ อยู่”“กลัวอะไรกับผี อย่ามัวแต่พูด รีบขนขึ้นรถเร็วเข้า เอาไปให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้เอาไปขายที่ร้านเฮียอุย คุณภาพดีแบบนี้ได้หลายหมื่นแน่มึง” โชติยิ้มย่องเมื่อเห็นทองแดงเกรดดีที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าเพราะเอาเงินไปลงทุนกับเหล็กจนหมด แต่เหล็กกลับขายไม่ออกช่วงนี้ ทำให้เขาและภรรยาอดอยากปากแห้งมาหลายสัปดาห์ กระทั่งมาได้ยินคนงานในร้านของวรรณารีคุยกันเรื่องทองแดงกองพะเนินในร้านที่มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างรายได้ให้วรรณารีเป็นล้านบาทโชติและบานชื่นแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ขณะที่พวกเขาตกต่ำจนแทบไม่มีหนทางให้เดิน แต่ศัตรูอย่างวรรณารีกลับเจริญไม่หยุด แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาต้องดึงผลประโยชน์ที่วรรณารีได้มาเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง
“แม่จ๋า อุ้ม” เมื่อเห็นวรรณารีเดินเข้าบ้าน ที่รักจึงอ้าแขนตัวเองออกเพื่ออ้อนให้คนเป็นแม่อุ้มวรรณารีเดินยิ้มตรงมาหาเธอและสวมกอดลูกเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เพราะไม่สบายแน่เลยใช่ไหมถึงอ้อนให้แม่อุ้มแบบนี้” ว่าพลางยกร่างที่ไม่เบาของลูกขึ้นมาจากที่นอนและอุ้มเอาไว้อย่างง่ายดาย “ลูกสาวแม่หนักขึ้นอีกแล้ว อีกหน่อยแม่คงอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง ตัวยังรุมอยู่เลยนะ ปวดหัวไหมลูก”“นิดนึง” ที่รักตอบพลางเงยหน้ามองแม่ “แม่จ๋า จิ๊ดริดเหมือนปวดจิ๊ด ๆ ตรงนี้” เด็กหญิงชี้ไปที่อกซ้ายของตัวเองวรรณารีมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “ปวดตรงไหน ปวดมากไหม หายใจสะดวกไหมลูก หรือจะไปหาหมอดี”ที่รักส่ายหน้า “จิ๊ดริดไม่ได้ปวดแบบนั้น จิ๊ดริดบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่จิ๊ดริดรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกำลังจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดี แต่จิ๊ดริดไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันเลยปวดจิ๊ด ๆ ตรงหน้าอก”สายที่เดินเข้ามากับพีรายุถึงกับขมวดคิ้ว เธอวางแก้วนมลงที่โต๊ะก่อนหันมาถาม “จิ๊ดริดรู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมลูก”พีรายุสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นทันตาของสายก็ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ
ที่รักลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “หนูเป็นอะไร”“จิ๊ดริดเป็นไข้ กินยาเดี๋ยวก็หายนะลูก” แม้ปากจะปลอบแต่วรรณารียังคงกังวลอยู่ไม่คลายเพราะตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวของเธอไม่เคยเป็นไข้เลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกและดูหนักหนาเอาการเลยทีเดียว“ทำไมหนูเป็นไข้”“ตอนวันเกิดเมื่อวานหนูคงวิ่งกลางแดดร้อน ๆ มากเกินไป แล้วยังกินน้ำหวานใส่น้ำแข็งมากเกินไปด้วย ต่อไปไม่ทำแบบนี้แล้วนะลูก เป็นไข้แล้วไม่สบายตัวเลยใช่ไหม”“อื้อ หนูไม่ทำแล้ว หนูไม่อยากเป็นไข้” ที่รักสะลึมสะลือตอบก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเพราะสบายตัวมากขึ้นหลังจากที่แม่เช็ดตัวให้คืนนี้ วรรณารีไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะที่รักไข้สูงเป็นระยะต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดเวลาจนอาการค่อยทุเลาในช่วงเช้ามืดของอีกวัน“ทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่า” สายถามขึ้นตอนเห็นวรรณารีเดินออกจากห้องในตอนเช้า“จิ๊ดริดเป็นไข้สูงค่ะ เลยไม่ได้นอนทั้งคืน”“อะไรนะ ลูกเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พีรายุที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาเอ่ยถามเสียงตื่นใจอยากจะมองเมิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของเขา วรรณารีจึงตอบออกไปเสียงห







