“ปู่นอนในนี้ครับ” เด็กชายหันมาบอกด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งสายและวรรณารีต่างใช้มือปิดจมูกเมื่อกลิ่นอับและเหม็นหืนลอยออกมาจากห้อง ทั้งสองพยายามกลั้นหายใจขณะเดินไปใกล้คนป่วยที่นอนไม่ขยับบนแคร่ไม้ไผ่ผุและขึ้นรา
“ปู่ ๆ มีคนมาช่วยพาปู่ไปโรงพยาบาลแล้ว” หนึ่งเดินไปเขย่าตัวของชายชราเบา ๆ อยู่หลายที
ชายชราที่นอนนิ่งเหมือนไม่มีลมหายใจพยายามขยับมือและลืมตาขึ้นมาอย่างลำบาก “หนึ่งหรือลูก” เขาถามหลายชายด้วยเสียงแหบระโหย
สายที่เดินตามเข้ามาถึงกับชะงักนิ่งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอก้าวขายาวขึ้นเพื่อเดินมามองร่างผ่ายผอมของผู้ชายบนแคร่ เมื่อมองเห็นได้ชัด สายถึงกับยืนมองอย่างตื่นตะลึง
“สุขเกษม?”
สุขเกษมก็ตะลึงค้างไม่ต่างกัน
“ส...สายระวี” สุขเกษมมองตรงไปที่สายด้วยดวงตาพร่ามัว เขายกมือสั่น ๆ ขึ้นมาเบื้องหน้าหมายจะเอื้อมเข้าไปใกล้ “ผม...ผมขอโทษ” เขาพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยก่อนจะหมดสติไป
-----
ตอนนี้สายกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องพร้อมกับคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง
สายระวีมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนอื่นทั่วไป มีพ่อ มีแม่ และมีน้องสาวฝาแฝดอีกหนึ่งคน ไม่เท่านั้นเธอยังมีคนรักอย่างสุขเกษมซึ่งคบหากันมาตั้งแต่เรียนมัธยม สุขเกษมเป็นรุ่นพี่เธอสองปี ทั้งคู่รักกันมากและมีแผนจะแต่งงานกันทันทีหลังเรียนจบ
สุขเกษมทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง สายระวีซึ่งเรียนพยาบาลก็ตามไปทำงานที่เดียวกันหลังจากเรียนจบ ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น แสงระวี น้องสาวฝาแฝดซึ่งเรียนพยาบาลเหมือนกันก็ตามมาทำงานด้วย
หลังจากทำงานได้สองปี ทางโรงพยาบาลมีสอบชิงทุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ มีทั้งสาขาพยาบาลและสาขาวิทยาศาสตร์ของสุขเกษม สุขเกษมสมัครสอบชิงทุนและผลักดันให้สายระวีเข้าสอบด้วยเพื่อที่จะได้ไปเรียนต่างประเทศด้วยกัน สายระวีก็ตกลงทันที
ผลสอบออกมา สุขเกษมได้อันดับแรกไปแบบไม่มีปัญหา แต่สาขาพยาบาลนี่สิที่ทำให้สายระวีลำบากใจ แม้เธอจะสอบชิงทุนได้ลำดับหนึ่ง แต่แสงระวีที่เข้าสอบครั้งนี้ด้วยได้ลำดับสอง ทำให้แสงระวีเสียใจเป็นอันมาก
พ่อกับแม่ของเธอรักและตามใจลูกสาวคนเล็กเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแสงระวีอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ทั้งคู่จึงรักและผูกพันกับลูกสาวคนเล็กมากเป็นพิเศษ พ่อกับแม่เธอได้เข้ามาขอให้สายระวีสละสิทธิ์ไม่รับทุน เพื่อที่ทุนจะได้เปลี่ยนไปให้แสงระวีแทน
สุขเกษมพยายามคัดค้านอยู่หลายรอบแต่ไม่เป็นผล สายระวีรักน้องสาวมากเช่นกัน เธอจึงตัดใจสละทุนให้น้อง ในวันที่ส่งทั้งคู่ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ สายระวีไม่คิดเลยว่านั่นคือการส่งให้ทั้งคู่เดินเข้าประตูแห่งความสุขร่วมกัน
ช่วงปีแรก สุขเกษมได้ติดต่อมาหาเธออยู่ตลอดเวลาจนสายระวีรู้สึกสบายใจและมั่นใจในตัวเขายิ่งขึ้น เธอเฝ้ารอวันที่เขาเรียนจบกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
แต่พอเข้าปีที่สอง สุขเกษมเริ่มทิ้งระยะห่างในการติดต่อ กลายเป็นเธอที่เป็นฝ่ายโทรศัพท์หาเขาเอง ทุกครั้งที่โทรพูดคุยกัน สุขเกษมมักจะมีท่าทีอ้ำอึ้งและเป็นฝ่ายตัดการสนทนาอยู่ทุกครั้ง ซึ่งสายระวีไม่เอะใจอะไร คิดแค่ว่าเขาคงเร่งทำวิทยานิพนธ์เพื่อให้ทันตามระยะเวลาที่ระบุในสัญญา แต่แล้วในวันเดินทางกลับของทั้งคู่ก็กลายเป็นวันที่สายระวีใจสลาย แสงระวีได้ป่าวประกาศกับญาติ ๆ ว่ากำลังคบหากับสุขเกษม ที่สำคัญ เธอตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว
สำหรับสายระวีแล้ว สุขเกษมพูดง่าย ๆ เพียงแค่ขอโทษเท่านั้น เพราะความเหงาและคิดถึงสายระวี ทำให้เขาพลั้งพลาดไปกับแสงระวีอย่างง่ายดาย ทั้งที่ใจจริงเขารักเพียงสายระวีเท่านั้น
สายระวีเพียงแค่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตากับความเจ็บช้ำในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมความเจ็บช้ำของเธอจนยากจะทานทนอีกต่อไปก็คือการกระทำของพ่อและแม่
พ่อและแม่บอกให้เธอเสียสละให้น้อง นี่คือสิ่งที่เธอต้องเจอครั้งแล้วครั้งเล่านานเท่าอายุของตัวเอง ไม่เท่านั้น ทั้งคู่ยังใจกว้างเสนอออกทุนให้เธอไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยตัวเอง สายระวีได้แต่ยิ้มหยันมุมปาก ไม่ว่าเมื่อไหร่ พ่อกับแม่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเธอรักน้องสาวมากแค่ไหน เธอรักแสงระวีไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน และในตอนนี้ เธอก็คิดได้แล้วว่าไม่ควรนำตัวเองมาอยู่เป็นส่วนเกินของบ้านนี้อีกต่อไป
ในวันแต่งงานของทั้งคู่ สายระวีช่วยดูแลงานให้ทั้งคู่แบบไม่มีขาดตกบกพร่องโดยมีสีหน้าและแววตาหลากความรู้สึกของญาติ ๆ และเพื่อน ๆ มองมาไม่ขาดสาย แต่สายระวีไม่สนใจ ความเจ็บปวดมันหยั่งรากลึกจนกลายเป็นด้านชาไปหมดแล้ว ความตั้งใจในตอนนี้คือขอทำหน้าที่เป็นลูกกตัญญูให้กับพ่อแม่ และเป็นพี่สาวที่ดีให้กับน้องเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ สายระวีได้ถือกระเป๋าสะพายที่ในนั้นมีเพียงแค่กระเป๋าเงินเดินออกจากบ้านโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาอีก
เธอเดินอยู่ข้างทางโดยไร้จุดหมายนานนับชั่วโมงก่อนจะตัดสินใจโทรหายี่สุ่น คนไข้ที่เคยมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลและพูดคุยถูกคอจนสนิทสนมกลายเป็นเพื่อน
ยี่สุ่นและสามีก็ดีใจหาย เมื่อรู้ว่าเธออยู่ข้างทางเพียงลำพังช่วงกลางดึก ทั้งคู่จึงขับรถจากนนทบุรีมารับเธอที่ใจกลางกรุงเทพฯ โดยไม่บ่นเลยสักคำ
ทั้งคู่พาเธอมาพักที่บ้านของพวกเขาโดยไม่คิดจะถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องที่เกิดขึ้น ให้พื้นที่เธอเพื่ออยู่กับตัวเอง คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งสายระวีรู้สึกสบายใจขึ้นในที่สุด
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากสายระวีและรับรู้ถึงความตั้งใจว่าจะไม่กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลอีก ยี่สุ่นและสามีจึงได้เสนองานพี่เลี้ยงเด็กซึ่งก็คือลูกสาวของทั้งคู่ให้สายระวีช่วยเลี้ยง สายระวีตกปากรับคำอย่างไม่มีความลังเล
การได้อยู่กับธรรมชาติและการได้อยู่กับเพื่อนที่นิสัยคล้ายกันทำให้ใจของสายระวีเป็นสุขและสงบ เมื่อใจนิ่ง ความรู้สึกผิดที่หนีออกจากบ้านก็เกิดขึ้น เธอเริ่มคิดถึงพ่อและแม่ ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็คือผู้ให้กำเนิด เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกท่านคือคนที่เธอรักมากที่สุด
เพราะกระดากเกินกว่าจะโผล่พรวดเข้าบ้านไปแบบทันที สายระวีจึงคอยวนเวียนและเลียบ ๆ เคียง ๆ สืบข่าวแถวบ้าน แต่แล้วก็มีข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้กับเธออย่างที่สุด พ่อและแม่หัวใจวายตายหลังจากที่เธอออกจากบ้านไปเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์
เรื่องนี้ทำให้สายระวีสติแตก เฝ้าตีอกชกหัวโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุให้พ่อกับแม่เสียชีวิต ไม่มีใครสามารถเข้าหน้าได้นอกจากยี่สุ่น สามี และลูกของทั้งคู่
แล้วก็เป็นเรื่องน่าเสียใจยิ่งที่สามีของยี่สุ่นประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในช่วงนั้นพอดี ยี่สุ่นเหมือนคนแพแตก เมื่อเห็นเช่นนั้น สายระวีที่จิตใจไม่ค่อยดีนักได้สลับบทบาทมาเป็นผู้ปลอบและให้กำลังใจเพื่อนแทน
แม้สายระวีจะเริ่มดีขึ้นบ้างหลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับสามียี่สุ่น แต่ดีเฉพาะกับคนสนิทอย่างยี่สุ่นและวนาลีเท่านั้น คนไม่สนิทหรือคนแปลกหน้าเธอมักจะทำตาขวางใส่เพื่อกันไม่ให้ผู้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ จนผู้คนแถวนั้นค่อย ๆ ร่ำลือกันไปว่าเธอคือยายสายบ้า สายระวีก็ไม่สนใจที่จะพูดแก้ต่างให้ตัวเองเลยสักครั้ง
เมื่อยี่สุ่นตั้งหลักได้และงานในสวนเริ่มอยู่ตัว เธอจึงเริ่มศึกษาการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ โดยไม่ลืมที่จะดึงสายระวีไปร่วมด้วย
เหมือนเป็นคู่บุญหนุนกันมาตั้งแต่ชาติก่อน การลงทุนในหุ้นและทองคำของทั้งคู่ต่างเฟื่องฟู ภายในระยะเวลาสองปี พวกเธอมีกำไรในมือนับสิบล้านบาท
เมื่อมีเงินก็เริ่มหาซื้อที่ดิน บ้าน อาคารมาสะสมเพื่อเก็งกำไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในมืออยู่ไม่ขาด สามารถเรียกทั้งคู่ว่าเศรษฐินีได้อย่างสบาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมีโอกาสได้ล่วงรู้เรื่องนี้ ผู้คนรับรู้เพียงแค่ว่านี่คือยายสายบ้า ส่วนยี่สุ่นคือเจ้าของสวนผลไม้ที่กินบุญเก่าจากสามีเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าชีวิตของตัวเองเริ่มเป็นหลักเป็นฐาน สายระวีจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อและนามสกุลของตัวเอง ในเมื่อไม่มีพ่อและแม่แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้นามสกุลเดิมเพื่อร่วมวงศ์วานกับใครอีก คำว่าครอบครัวไม่มีในใจอีกต่อไป ไม่มีสายระวี รุจนันท์ อีกแล้ว ตอนนี้เธอคือสาย อิสระ เท่านั้น
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด