“แม่...หายาย” ที่รักเข้าไปกอดแข้งกอดขาแม่และนัวเนียอยู่แบบนั้นระหว่างที่วรรณารีเดินวนไปมาหน้าห้องของสายตั้งแต่ช่วงเย็น
วรรณารีก้มกอดลูกสาว “ยายกำลังรู้สึกไม่ดี ตอนนี้ยายอยากอยู่เงียบ ๆ จิ๊ดริดอย่าเพิ่งเข้าไปกวนนะลูก”
“ตาคนนั้นทำ จิ๊ดริดจะตี” เด็กหญิงทำแก้มปูดอย่างแสนงอน
“ไม่ได้นะลูก ถ้ายายรู้ว่าจิ๊ดริดไปทำร้ายคนแบบนั้น ยายจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ”
“แต่ตอนนี้ยายเสียใจ” ที่รักเถียง
“ถ้าอย่างนั้นจิ๊ดริดก็ต้องช่วยให้ยายอารมณ์ดีถึงจะถูก ไม่ใช่ไปคอยวิ่งตีและหาเรื่องคนอื่น ถ้ายายรู้ว่าลูกคิดแบบนี้ก็จะยิ่งไม่สบายใจจนทำให้ป่วยได้เลยนะจ๊ะ”
“ทำยังไงยายถึงหาย?” ฝ่ายลูกจึงถามแม่อย่างสงสัย
“แค่หนูเข้าไปกอดและบอกรักยายเหมือนที่เคยทำบ่อย ๆ ก็พอแล้ว”
คราวนี้ที่รักพยักหน้าอย่างเข้าใจ วรรณารีจึงหอมแก้มเป็นรางวัลไปหนึ่งทีก่อนจะเหลียวมองไปยังประตูห้องอย่างไม่สบายใจ เธอเองก็เพิ่งมีโอกาสฟังเรื่องราวของสายมาได้ไม่นานนี้จากการบอกเล่าของเจ้าตัว การเล่าของสายในครั้งนั้นไม่หลงเหลือความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจใด ๆ แล้ว แต่พอมาวันนี้ วรรณารีก็ได้รับรู้แล้วว่าความรู้สึกเสียใจของสายยังไม่ได้เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องนอนของสายค่อย ๆ เปิดออกมาอย่างช้า ๆ
ที่รักรีบวิ่งรี่เข้าหา “จิ๊ดริดรักยาย” พลางเอื้อมแขนป้อมอ้วนทั้งสองข้างไปโอบรอบต้นขาของสายไว้
สายจากที่มีสีหน้าเรียบเฉยในตอนแรกถึงกับยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แววตาแข็งกระด้างอ่อนยวบลงอย่างไม่ต้องมีใครมาบังคับ
“ยายก็รักหนูที่สุดนะลูก” สายลูบผมนิ่ม ๆ ของหลานอย่างอ่อนโยนและยิ้มเลยไปยังวรรณารีที่ยืนทำหน้าเป็นห่วงอยู่ ใช่...เธอยังมีครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเองอยู่
“พรุ่งนี้พาฉันไปพบสองปู่หลานที่โรงพยาบาลอีกที” สายสั่งเสียงเรียบ
“ได้ค่ะ ตอนนี้ป้าพักผ่อนดีกว่านะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
เมื่อดูแลสายให้เข้าพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วรรณารีก็เดินกลับห้องด้วยท่าทีกังวล ภายในห้อง ที่รักกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่กลางเตียงพอดี คนเป็นแม่ทรุดลงนั่งบนเตียงและเรียกลูกให้เข้ามาใกล้
ที่รักคลานปรู๊ดมาหาแม่แบบไม่รีรอ วรรณารีโอบกอดลูกไว้และพูดกับเธอ
“แม่ขอถามจิ๊ดริดอย่างได้ไหมลูก”
ที่รักพยักหน้าหงึก ๆ และเงยมองแม่ด้วยแววตาสงสัย
“หนูรู้ตัวว่ามีกำลังเยอะแยะตอนไหน”
ที่รักจ้องมองแม่ตาแป๋วคล้ายไม่ค่อยเข้าใจคำถามแม่นัก
“หนูมีพลังแบบป๊อปอายตอนไหน” วรรณารีเปลี่ยนคำถามใหม่
“หนูไม่รู้ มันเป็นเอง”
“ตอนที่หนูออกแรงเหวี่ยงหมาตัวใหญ่ให้ปลิวไปไกล ๆ แบบนั้น หนูไม่หนักหรือลูก แล้วเจ็บมากไหม” คนเป็นแม่ลูบแขนข้างนั้นของลูกไปด้วย
ที่รักทำท่าชูกล้ามแบบป๊อปอายและพองอกเล็ก ๆ ของเธอให้แม่เห็น “จิ๊ดริดไม่เจ็บ จิ๊ดริดแข็งแรง”
“แต่หมาตัวใหญ่มากเลยนะลูก” วรรณารีเหลือบมองไปยังโต๊ะข้างเตียงที่มีน้ำหนักพอสมควรจึงหันมาพูดกับลูก “จิ๊ดริดลองยกโต๊ะตัวนั้นขึ้นสูง ๆ ให้แม่ดูได้ไหม”
ที่รักทำตามอย่างว่าง่าย ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยกโต๊ะหนักสองกิโลกรัมขึ้นเหนือศีรษะได้อย่างสบาย
วรรณารีมีสีหน้าหนักใจ “จิ๊ดริดขึ้นมานั่งคุยกับแม่นี่มา”
เมื่อลูกสาวกลับมาอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง เธอจึงพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน “จิ๊ดริด ลูกช่วยอะไรแม่สักอย่างได้ไหมจ๊ะ” วรรณารีพูดกับลูกช้า ๆ
ที่รักเอียงหน้ามองก่อนจะพยักหน้าตกลง เด็กหญิงชอบความรู้สึกในการได้ช่วยเหลือแม่เป็นอย่างมาก
“คราวหน้าอย่าออกแรงยกของหนัก ๆ พวกนี้ให้คนอื่นเห็น ได้ไหมจ๊ะ”
“ยายก็ไม่ได้?”
“ยายเห็นได้”
“พี่ผึ้ง พี่ช้าง?”
“เอาแบบนี้นะลูก เรื่องพวกนี้ คนที่เห็นได้มีแค่แม่ ยายสาย ยายยี่สุ่น ลุงพงศ์และป้าลี รวมถึงพี่ผึ้งกับพี่ช้างเท่านั้น”
“ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหมลูก”
“ป้าหมอนกับป้าไรล่ะ” ที่รักพูดถึงสมรและอุไร ผู้ช่วยในร้านของเก่า
“ไม่ว่าใครทั้งนั้นจ้ะ แม้แต่พี่กระแตก็ไม่ได้”
ที่รักพยักหน้ารับทั้ง ๆ ที่ยังสงสัยอยู่
“แล้วก็ห้ามบอกใครว่าหนูมีน้ำลายวิเศษ ห้ามไปทำน้ำลายหยดใส่แก้วน้ำคนอื่นด้วย” คนเป็นแม่สั่งการยืดยาว
“ทำไมจ๊ะแม่”
“ถ้าคนรู้เยอะ แม่กลัวหนูโดนทำร้ายจนเจ็บและมีเลือดสีแดง ๆ ไหลออกมา” คนเป็นแม่ยกสิ่งที่เด็กหญิงเกรงกลัวมากที่สุดขึ้นมา
เด็กหญิงทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงสีแดง ๆ ของเลือด “จิ๊ดริดจะเชื่อฟังแม่”
“ลูกแม่เก่งที่สุด”
“คนเก่งต้องได้รางวัล” เด็กหญิงเอ่ยปากทวง
“ได้จ้ะ คนเก่งของแม่ต้องได้รางวัลอยู่แล้ว อยากได้อะไรเอ่ย”
“แม่กอด” ที่รักพูดเสียงอ้อน
“แค่นี้เอง?” วรรณารีถามยิ้ม ๆ พร้อมกับโอบร่างน้อย ๆ ของลูกมากอดไว้แน่น
เด็กหญิงยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก “จิ๊ดริดชอบให้แม่กอด”
“แล้วยายสายล่ะ”
“ชอบเหมือนกัน”
“ยายยี่สุ่น ลุงพงศ์ ป้าลี” คนเป็นแม่ถามต่อ
“ชอบด้วย”
“พี่ผึ้ง พี่ช้าง”
“ชอบ คิกคิก”
“ชอบตั้งหลายคน แบบนี้ใครกอดก็เหมือนกันน่ะสิ” วรรณารีพูดกระเซ้า
“ไม่เหมือน แม่กอดอุ่นที่สุด”
น้ำเสียงไร้เดียงสาของลูกทำเอาวรรณารีน้ำตาคลอ เธอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกพร้อมเอ่ยเสียงเครือ “แม่จะกอดหนูไว้นานจนชั่วชีวิตของแม่เลย”
-----
ส่วนบ้านของยี่สุ่นเองก็เอ่ยปากห้ามไม่ต่างจากวรรณารีนัก
“ผึ้ง ช้าง จำเอาไว้นะลูก อย่าไปเที่ยวพูดเรื่องที่จิ๊ดริดมีความสามารถพิเศษกับใครเป็นอันขาด ไม่งั้นน้องจะมีอันตรายได้” ยี่สุ่นเอ่ยกำชับเสียงเข้ม
“แล้วก็ช่วยกันปกป้องน้อง ห้ามไม่ให้น้องไปพูดเรื่องแบบนี้กับใครด้วย” จุลพงศ์กล่าวเสริม
“ทำไมให้คนอื่นรู้ไม่ได้” อลิสราถามด้วยความสงสัย
“เพราะคนนิสัยต่างกัน มีทั้งดีและเลว ถ้าคนเลว ๆ เผอิญรู้ว่าน้องมีความสามารถพิเศษอะไรแบบนี้ เขาอาจจะจับน้องไปทำมิดีมิร้ายหรืออาจมองน้องในแง่ไม่ดีจนไปพูดหรือทำให้น้องเสียใจได้ เพราะฉะนั้น ให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุดดีกว่า” วนาลีอธิบาย
คชาภัทรพยักหน้าอย่างขึงขัง “ช้างไม่พูด ช้างจะปกป้องน้อง”
“ผึ้งก็เหมือนกัน”
เมื่อเห็นลูก ๆ รับปาก วนาลีจึงยิ้มอย่างเบาใจ ตอนนี้ทั้งวนาลีและจุลพงศ์ถือว่าที่รักเป็นลูกสาวคนเล็กคนหนึ่งไปแล้ว เธอคือผู้มีพระคุณของครอบครัว
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด