สองพี่น้องเดินไปนั่งร่วมวงสนทนาอย่างรู้สึกกระดากในตอนแรก แต่พอฟังไปนาน ๆ เข้า สีหน้าและท่าทางของทั้งคู่ก็เริ่มคล้ายที่รักไปทุกที
คชาภัทรกัดซาลาเปาไปด้วยฟังเรื่องเล่าไปด้วยอย่างออกรสจนซาลาเปาในมือหายหมดเกลี้ยง เด็กชายมองซาลาเปาที่ยังคงมีอยู่เต็มมือของที่รักพลางถอนหายใจอย่างเสียดาย เขาน่าจะไหวตัวทันหยิบมาอีกลูกเหมือนเด็กอ้วนนั่น การนั่งฟังโดยไม่มีของกินในมือมันดูเหมือนจะทำให้ความสนุกลดทอนลงไปไม่ใช่น้อย
โฮ่ง ๆ ๆ
ระหว่างนั้นเอง ตรงหน้าร้านมีเสียงสุนัขเห่ากันขรม ที่รัก คชาภัทร อลิสรา รีบวิ่งออกมาดูในทันที
“จิ๊ดริด ระวังหมานะลูก” วรรณารีรีบวิ่งตามไปสีหน้าตื่น
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพาเอาวรรณารีใจตกมาอยู่ที่ตาตุ่ม เด็กชายวัยเจ็ดถึงแปดขวบคนหนึ่งกำลังล้มกลิ้งอยู่กลางวงล้อมของสุนัขและกำลังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว วรรณารีหันไปคว้าไม้ที่วางแถวนั้นแต่ก็ดูเหมือนจะช้ากว่าที่รัก
“จิ๊ดริด!” วรรณารีตะโกนเรียกเสียงหลงเมื่อเห็นที่รักวิ่งจี๋เข้าหาสุนัขนับสิบตัว
แล้วภาพที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น ที่รักใช้ขาป้อม ๆ ของตัวเองเตะไปที่สุนัขซึ่งอยู่ใกล้สุดจนกระเด็นไปไกล ไม่เท่านั้น เธอยังคว้าหางของสุนัขอีกตัวและกระชากอย่างแรงพร้อมเหวี่ยงมันหมุนไปรอบ ๆ จนสุนัขที่น้ำหนักอย่างน้อยห้ากิโลกรัมตัวลอยคว้างจากพื้นและโดนเหวี่ยงไปไกลหลายเมตร
สุนัขที่เหลือเมื่อเห็นคราวเคราะห์ของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ต่างพากันตาเหลือกและวิ่งหนีไปแบบไม่คิดชีวิต ทิ้งเด็กชายที่ยังคงนอนกลิ้งและร้องไห้ด้วยความตกใจไว้เพียงลำพัง
ทั้งวรรณารี คชาภัทร และอลิสราต่างวิ่งกรูไปหาที่รัก
วรรณารีมองสำรวจทั่วตัวลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เมื่อไม่เห็นความผิดปกติใดเธอก็หายใจพรูออกมา
“น้าวรรณ คนนี้จะตายไหม” อลิสรากระตุกหลังเสื้อของวรรณารีและชี้ไปยังเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นมือสั่น
วรรณารีรีบเข้าไปประคองเด็กชายร่างผอมให้ลุกขึ้นและถามด้วยความเป็นห่วง
“หนู โดนกัดตรงไหนหรือเปล่า ไหนลุกขึ้นให้น้าดูหน่อย”
เด็กชายโซเซลุกขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย” เขาพูดและไหว้ขอบคุณ สีหน้ายังคงหวาดกลัวไม่หาย
วรรณารีมองสำรวจไปทั่วตัวก็เห็นจริงอย่างที่บอกจึงโล่งใจ
“ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้จนโดนหมารุมได้ล่ะ”
“ผมกับปู่มาอยู่ที่กระท่อมร้างตรงริมคลองครับ” เด็กชายชี้ให้ดูกระท่อมที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของคลอง “ผมเดินเก็บหาของเก่าไปขายแล้วเจอหมาพวกนั้นพอดี” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เด็กชายก็เนื้อตัวสั่นเทาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัว” วรรณารีพูดปลอบ “แล้วปู่...”
จ๊อกก…
ไม่ทันได้พูดจบ เสียงท้องร้องของเด็กชายได้ดังขึ้นมาเสียก่อน เด็กชายร่างผอมหน้าแดงด้วยความอาย
“พี่หิว” ที่รักยื่นหน้าเข้ามาบอก
วรรณารีจึงประคองเด็กชายให้เข้ามานั่งในร้านและเดินไปตักข้าวราดหมูทอดมาให้
“กินสิ กำลังร้อน ๆ”
เด็กชายกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่ยังมีท่าทีลังเลอยู่
“กินเถอะ หิวมากเดี๋ยวจะเป็นลมไปเสียก่อน” วรรณารีคะยั้นคะยอ
เขายื่นมือรับและยกมือไหว้ แต่กลับไม่ยอมกินอย่างใจอยาก เขาเงยหน้ามองวรรณารีอย่างลังเล “ผม...ผมขอเอาไปให้ปู่ได้ไหมครับ ปู่ไม่มีข้าวกินมาหลายวันแล้ว”
วรรณารีได้แต่มองอย่างเวทนา “ได้สิ แล้วปู่อยู่ไหนล่ะ”
เด็กชายชี้ไปที่กระท่อมอีกครั้งและตอบเสียงเครือ “ปู่ป่วยหนัก ลุกไม่ได้มาหลายวันแล้ว ผมกำลังจะเก็บของเก่าไปขายหาเงินมารักษาปู่” ระหว่างพูดน้ำตาของเด็กชายก็ไหลเป็นทาง
“โธ่เอ๋ย...หนูพาน้าไปหาปู่หน่อยสิ”
เขาเงยหน้ามองวรรณารีอย่างแปลกใจ
“น้าจะช่วยพาปู่หนูไปโรงพยาบาลเอง”
“เป็นอะไรกันไหม เห็นคนไปบอกว่าวรรณและเด็ก ๆ กำลังโดนหมารุม” สายเดินกระหืดกระหอบเข้ามา
“จิ๊ดริดเตะหมาไปหมดแล้ว” ที่รักส่งเสียงแจ้วรายงาน
“เตะ?”
“ใช่ค่ะยาย จิ๊ดริดไล่ไปหมดเลย จิ๊ดริดแข็งแรงยังกับป๊อปอายเลย” อลิสราพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
สายรีบมองสำรวจทั่วตัวหลาน นอกจากเหงื่อที่ออกมากแล้วก็ไม่เห็นความผิดปกติอันใด เธอเหลียวไปมองวรรณารีเป็นเชิงถาม
วรรณารีนิ่วหน้าน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ยังไม่มีเวลาไล่เลียงถามลูกสาวเพราะตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนตรงหน้าต้องจัดการ
“ป้ามาก็ดีแล้วค่ะ ฝากดูทั้งสามคนด้วยนะคะ วรรณจะตามเด็กคนนี้ไปดูปู่ของแกที่กระท่อม”
สายเหลียวไปมองเด็กชายร่างผอมที่ตามเนื้อตัวมีแต่ฝุ่นอย่างสังเกตสังกา เธอถึงกับชะงักนิ่งเมื่อเห็นดวงตากลมของเขาที่คล้ายกับดวงตาของใครคนหนึ่ง เธอยืนมองเด็กชายคนนี้อยู่นาน
“เด็กคนนี้เป็นใคร”
“แกเพิ่งมาอยู่ที่กระท่อมนั้นกับปู่ค่ะ เห็นว่าตอนนี้ปู่ป่วยหนัก วรรณเลยจะไปดูหน่อย ถ้าหนักหนาจริง ๆ จะได้พาไปหาหมอ สงสารเด็ก”
สายเหลียวไปมองเด็กชายคนนี้อีกครั้ง “ป้าไปด้วยดีกว่า เผื่อช่วยอะไรได้ อุไร ดูเด็ก ๆ ด้วยนะ” สายสั่งการอุไรก่อนเดินตามวรรณารีและเด็กชายที่ชื่อหนึ่งไปยังกระท่อมร้างที่อยู่อีกฝั่งของคลอง
สายนิ่วหน้ามองกระท่อมที่มีแต่รอยผุ ไม่มีหน้าต่างหรือประตูแม้แต่บานเดียวอย่างไม่ชอบใจ หญิงสูงวัยมองเด็กชายตัวผอมที่เดินนำหน้าอย่างเห็นใจนิด ๆ
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด