ฉันนั่งบนเตียงมองออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฉันเห็นต้นไม้เริ่มผลิใบแล้ว ฉันรักฤดูใบไม้ผลิฉันดูเวลาและพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้วฉันสวมแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อของฉันและเดินออกจากห้อง มันเป็นนิสัยของฉันตั้งแต่วัยเด็กที่จะไปเดินเล่นทุกเย็น มันช่วยทำให้จิตใจของฉันสงบลงฉันเดินออกจากบ้านและเดินไปตามเส้นทางเดิมที่ฉันใช้ทุกวัน เป็นพื้นที่ป่าไม้ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งขณะนี้กำลังผลิใบ ใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงบนพื้นปกคลุมพื้นดินเหมือนกับผ้าปูที่นอน ฉันเดินย่ำบนใบไม้ ชมทิวทัศน์ที่สวยงามเมื่อเห็นแสงตะวันกระทบใบไม้ทำให้ดูเป็นสีทองฉันจำได้ว่าบางครั้งพ่อของฉันจะมาเดินเล่นด้วยกัน เขาจะพูดถึงวันเวลาเก่าๆของเขาและเราก็จับมือกัน เดินไปด้วยกันฉันกำลังเดินอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่จู่ๆก็หยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก ฉันหันไปมองรอบๆไม่เห็นใครเลย แต่ฉันถูกฝึกมาให้เชื่อหูมากกว่าเชื่อสายตา“ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นั่น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ออกมาซะ ไม่ต้องซ่อนตัว” ฉันพูดและรอให้บุคคลนั้นออกมาฉันแน่ใจว่าตาของฉันแทบจะหลุดออกจากเบ้าเมื่อเห็นบุคคลผู้นั้น ดีแลนเขาออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ฉ
ฉันร้องบ่น เมื่อพบว่าโทรศัพท์ส่งเสียงร้องดัง ฉันเหยียดแขนออกไปหยิบโทรศัพท์และเช็คดูว่าใครส่งข้อความมาข้อความมาจากหมายเลขที่ไม่รู้จักเหมือนเช่นเคย ข้อความแจ้งว่า "รอบต่อไปจะจัดขึ้นในเดือนหน้า ให้อยู่ที่นั่น เป็นงานที่ใหญ่มาก”ฉันลบข้อความแล้วนั่งลงเอนพิงหัวเตียงฉันช่างมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ฉันสาปแช่งชะตากรรมของตัวเองที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ดีใจที่ได้ใช้ชีวิตที่สวยงาม ฉันมองไปทางซ้ายของเตียงเพื่อดูรูปครอบครัวและเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูป“ฉันคิดถึงแม่ พ่อและแนนซี่ ฉันอยากเจอทุกคนจัง” ฉันพึมพำและจูบลงบนกรอบรูปและเหลือบมองครั้งสุดท้าย ฉันวางเก็บมันไว้ข้างๆฉันลุกขึ้นจากเตียง จัดเตียงให้เรียบร้อยและเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ฉันใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานเพราะฉันไม่มีอะไรต้องทำ และบรรจงเทแชมพูใส่มือและค่อยๆสระผม ฉันห่อผ้าเช็ดตัวไว้รอบตัว ยืนอยู่หน้ากระจกและใช้ฝ่ามือเช็ดละอองน้ำที่ก่อตัวบนกระจกออกอย่างอ่อนโยน“อืม ฉันคงต้องตัดผมซะแล้ว” ฉันกระซิบกับตัวเอง เอานิ้วมือสางผมที่เปียกไปมาฉันเดินออกจากห้องน้ำและเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ฉันเลือกใส่กางเกงยีนส์สีดำขาดๆ กับเส
เราเดินข้ามลำธารและฉันก็จ้องมองไปที่สถานที่นั้น มันสวยมาก ห่างไกลจากมลภาวะและเสียงรบกวน เงียบสงบแต่ยังสวยงาม รายรอบไปด้วยธรรมชาติ ในที่สุดเราก็เจอทุ่งหญ้าและหลังจากเดินไปอีกสิบห้านาที เราก็เจอจุดสิ้นสุดและเราก็มาถึงถนนคอนกรีต เราเดินไปตามทางนั้นและพบว่ามีรถวิ่งผ่านเราไปบนถนนสายนั้น ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองเล็กๆ"เมืองเหรอ?" ฉันถามงงๆ“ใช่ค่ะ และมันอยู่ภายใต้พื้นที่ของเรา” เบลล์พูดยิ้มๆ กับการแสดงออกของฉัน“มันเป็นของอัลฟ่าของคุณด้วยเหรอ?” ฉันถามและเธอก็พยักหน้าเราเดินเข้าไปในเมือง ฉันมองดูเด็กๆกำลังเล่นยางและผู้คนกำลังเดินกันเป็นกลุ่ม ร้านค้า บ้านเรือน และทุกสิ่งที่เมืองหนึ่งต้องการจะมี"เราจะไปที่ไหนคะ?" ฉันถาม และเธอมองกลับมาที่ฉัน และพูดว่า "ไปช้อปปิ้งมอลล์ค่ะ""อะไรนะ? มีห้างสรรพสินค้าที่นี่ด้วยหรือ” ฉันถามอย่างแปลกใจ"ใช่ค่ะ!" เธอตอบและเราเดินต่อไปที่ห้างที่เธอพูดถึงเราไปถึงที่นั่นและใช่แล้ว มันคือห้างสรรพสินค้าแต่ไม่ใช่ห้างใหญ่ ฉันยิ้มพอใจเมื่อเห็นห้างสรรพสินค้า“เข้าไปกันเถอะ” เธอพูดอย่างตื่นเต้น และฉันก็ยิ้มตามเธอเข้าไปในห้าง“ก่อนอื่น ไปที่แผนกเสื้อผ้ากันเถอะค่ะ” เธอพูดอย่างย
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?” ฉันถามพลางหรี่ตาลง“ผมพูดอะไร” ดีแลนตอบอย่างเงียบๆ และกินพาสต้าไก่ของเขาต่อไปอย่างไร้เดียงสาฉันแน่ใจว่าฉันได้ยินเขาพูดว่า "เธอเป็นสาวพรหมจารี ฉันได้กลิ่นมัน" กับเบลค“คุณก็เห็นว่าฉันไม่ได้หูหนวกนี่ เข้าใจไหม” ฉันกัดฟันพูดฉันตกใจมากที่เขารู้ว่าฉันเป็นเป็นสาวบริสุทธิ์? และคำว่า "ฉันได้กลิ่นมัน" มันหมายความว่ายังไง?ฉันจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน ถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป อีกแค่สามสัปดาห์เท่านั้น แล้วฉันจะไปจากที่นี่ ฉันจะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมา ท่องเที่ยวไปอย่างสนุกสนาน และแน่นอน ฉันจะคิดถึงเบลล์ เบลค และโคล ถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะยังคงติดต่อกับพวกเขาต่อไปพวกเขาใกล้ชิดกับฉันมากในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ฉันจึงตัดสินใจจะรักษาความสัมพันธ์ ติดต่อกับพวกเขาต่อไป แต่ไม่ใช่กับดีแลน ฉันจะไม่คิดถึงเขาและจะไม่ติดต่อกับเขาอีก“กินอาหารของเธอซะ แล้วก็หยุดกวนผมได้แล้ว” เขาพูดอย่างหงุดหงิดเขานี่ทำให้ฉันจะประสาทเสีย เขานี่แหละที่กำลังกวนประสาทฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่าฉันทำให้เขารำคาญ“ฉันกวนประสาทคุณเหรอ? คุณสิเป็นคนที่ทำให้ฉันรำคาญใจ คุณช่วยทำงานของคุณไป โดยไม่ต้องสนใจฉันหรือพูดถึ
ฉันยืนอยู่ที่หน้าต่าง ลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เหงื่อที่ก่อตัวบนหน้าผากทำให้ฉันรู้สึกหนาว ฉันหอบอย่างต่อเนื่องจากการฝึกฝนอย่างหนักที่ฉันเพิ่งทำไปฉันหันกลับไปและมองชิ้นส่วนต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทรายกระจายอยู่ทุกที่ สิ่งที่เคยเรียกว่ากระสอบทรายหลุดกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ ไม่มีใครอื่นนอกจากฉันที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับฉัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันหาซื้อกระสอบทรายมามากกว่าหนึ่งกระสอบ ฉันมองลงไปที่นวมและดึงมันออกฉันไม่สามารถฝึกฝนในห้องของฉันได้ ฉันต้องการสถานที่ขนาดใหญ่ ที่ไหนสักแห่งที่ใหญ่กว่าและเปิดโล่ง ฉันต้องทำความสะอาดเก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางหลังจากนี้ฉันใช้เวลาหลายนาทีและในที่สุดฉันก็ทำความสะอาดห้องเสร็จเรียบร้อย เมื่อเก็บกระสอบทรายที่ไร้ประโยชน์แล้ว เก็บรวมมันไว้ในถุงที่มี ฉันจะเอาไปทิ้งในภายหลังฉันฝึกซ้อมตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ฉันหิวและเหงื่อออกซกไปหมดฉันใช้เวลาอาบน้ำอยู่นาน และเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู ฉันสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีดำและออกจากห้องน้ำไปที่ห้องของฉันฉันกำลังจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และตาของฉันก็เหลือบไปสังเกตเห็นลิ้นชักที่เปิด
ในที่สุด เราก็มาถึงห้องยิม ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน เป็นเสียงคนต่อยกระสอบทราย เสียงรองเท้ากระทบพื้น เสียงตะโกน และการนับเลขเราเปิดประตูเข้าไป และสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือสนามมวยที่อยู่กลางห้อง มีชายร่างใหญ่สองคนสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อแขนกุดกำลังต่อสู้กันอยู่ มีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิด ชายสองคนที่กำลังต่อสู้ทำเสียงดังในขณะสู้กัน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงเหล่านั้น ฉันเคยได้ยินเสียงแบบนั้นจากสุนัข ครั้งเมื่อตอนที่ฉันฝึกกับสุนัข ปกติแล้วมันจะส่งเสียงแบบนั้นเวลาโกรธทำไมพวกเขาจึงมีท่าทางเหมือนสุนัข?“โอเค พอแล้ว” เราได้ยินเสียงพูดแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นชายที่มีหนวดเคราและรอยสักที่แขนยืนอยู่ใกล้สนามมวย และสั่งให้ชายทั้งสองหยุดต่อสู้ชายสองคนโค้งคำนับและกระโดดออกจากสนามชกมวยทันที“ไปกันเถอะค่ะ” เบลล์บอกฉันอย่างไม่สบายใจที่จะเข้าไปข้างใน“ใจเย็นๆจ้ะแม่เสือ” ฉันบอกเธอ และเราทั้งคู่ก็เดินไปที่สนาม ทางผู้ชายคนนั้นฉันรู้สึกได้ถึงการที่ทุกคนจ้องมองมาที่ฉัน เหมือนว่าทุกคนที่อยู่ในยิมจะหยุดทำสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และตอนนี้พวกเขากำลังทำสิ่งเดียวกันคือจ้องมองเราด้วยความสับสนที่แสดงชัดบนใบหน้าของพวก
ผมสามารถสาบานต่อพระเจ้าว่านั่นคือทั้งหมดที่หมาป่าอย่างผมต้องทำ ผมเหนื่อยจากการทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน จนในที่สุดก็จะได้พักผ่อน แต่การนอนหลับของผมถูกรบกวนโดยมีคนมาเคาะประตูห้องผมบ่นพึมพำ ลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่สนใจว่าตัวเองใส่อะไรอยู่ และเมื่อเปิดประตูก็พบว่าน้องสาวของโคลยืนอยู่ตรงหน้าบานประตูด้วยรอยยิ้มเล็กๆ จากนั้นเธอก็เริ่มพูดติดๆขัดๆและจิตใจของผมก็ไม่สามารถสนใจในสิ่งที่เธอกำลังพูดได้ เพราะผมง่วงมากและต้องการนอนน้ำเสียงที่เซ็กซี่ทำให้ผมกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งทันที ผมมองไปทางขวาก็พบกับ เอเดอริน ยืนอยู่ตรงมุมห้องสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นและเสื้อสีดำ เธอดูร้อนแรงและเซ็กซี่มากเวรกรรม “ทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงไม่ได้กลิ่นของเธอ” ผมคิดในใจแล้วขมวดคิ้ว เป็นคู่กันก็ควรจะรู้สึกและได้กลิ่นของกันและกันอย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ?คำถามยังคงค้างอยู่ในใจผม และผมก็จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เธอกำลังพูด พบว่าทั้งคู่กำลังจะออกไปซื้อของ ผมเกลียดที่จะยอมรับเท่ากับที่ไม่ชอบให้เธอไปซื้อของตามลำพังแน่นอนว่าเบลล์อยู่กับเธอ และผมรู้ว่าเบลล์ก็เหมือนกับโคลที่เป็นนักรบที่กล้าหาญและแข็งแกร่ง แต่ผมก็ยังไม่กล้าเสี่ยงกับเธอ ดังนั
ฉันนอนอยู่บนเตียง รู้สึกหนาวสั่น ฉันลุกขึ้นจากเตียงขึ้นมาปิดแอร์ ฉันกลับไปที่เตียงแล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้น เตียงส่งเสียงดังเอี๊ยดเนื่องจากน้ำหนักของฉันฉันพลิกตัวและหลับตา ฉันหลับตาไปไม่รู้กี่นาที แต่ไม่นานนักฉันก็หลับลึกทันใดนั้นฉันก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่ง ป่า? ฉันมาทำอะไรที่นี่?ฉันมองไปรอบๆ พบต้นไม้ พุ่มไม้ และกอหญ้ามากมาย ฉันขมวดคิ้ว คิดว่าจะเดินเข้าไปในป่า ฉันจึงเดินเข้าไปในป่า ทุกอย่างดูพร่ามัวไปหมด ฉันมองย้อนกลับไปและเห็นที่ที่ฉันเดินจากมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเริ่มกลายเป็นน้ำ“อะไรนะ” ฉันพึมพำไม่เชื่อสายตาตัวเองฉันหันหลังและเริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่ง ขาของฉันเริ่มเจ็บจากการวิ่ง แต่ฉันก็ยังไม่หยุด ฉันวิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีฉันได้ยินเสียงน้ำ เป็นเหมือนเสียงคลื่นไล่ตามฉันมา มันจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไงฉันพยายามไม่สนใจ เอาแต่วิ่งหนี อยากจะหนีไปจากตรงนี้ ฉันเริ่มช้าลงบ้างเมื่อได้ยินเสียง ฉันเหนื่อยหอบ เหงื่อออกที่หน้าผากของฉัน และฉันก็ถอนหายใจหายใจเข้าลึกๆ ฉันมองย้อนกลับไปและพบว่าไม่มีน้ำหรือคลื่นอีกต่อไป มีแต่ป่าเท่านั้น ฉันหายใจออกโดยเอามือแตะที่หน้าอกเพื่อพยายามทำให้หัวใจ