“คุณฟาง นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ เนื่องจากบริษัทมีการลดจำนวนพนักงานตามนโยบาย และผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่คุณเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนซองนี้เป็นเงินค่าชดเชยผมหวังว่าคุณจะหางานใหม่ได้ในเร็ววัน” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้ายังคงดังก้องในหัวของหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี นามของเธอคือฟางซิน ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงไปตามริมทางเท้า หลังจากเดินออกจากบานประตูกระจกหมุนซึ่งเป็นที่ทำงานของตนมาตลอดระยะเวลาสามปี
(เหอะ! ลดพนักงานลงตามนโยบายอย่างนั้นหรือ งี่เง่าสิ้นดี ไล่ฉันออกก็มีคนมาเสียบต่อทันทีอย่างนี้เขาเรียกว่าลดตรงไหน ประเทศนี้มันเป็นอะไรกันคนไม่มีเส้นสายมักจะถูกรังแกอยู่เสมออย่างนั้นหรือ) หญิงสาวคิดในระหว่างที่เดินไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ใบหน้าห่อเหี่ยวของเธอมองซองสีขาวยับยู่ยี่ในกำมือแน่น (เงินชดเชยสามเดือนแลกกับการปิดปากไม่ให้ฉันไปร้องเรียน จะว่าคุ้มก็ไม่เชิง จะว่าไม่คุ้มก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ประท้วงไปแล้ว แต่ใครใช้ให้คนนั้นเป็นฉันกันล่ะ
อยู่ตัวคนเดียวญาติพี่น้องไม่มี ชีวิตเด็กกำพร้าที่ปากกัดตีนถีบมาตลอดมันก็ต้องดิ้นกันต่อไปล่ะนะ เอาเถอะในเมื่ออยู่เมืองใหญ่ไม่ได้ก็ไปอยู่เมืองอื่นก็แล้วกัน) หญิงสาวคิดเรื่อยเปื่อยในขณะที่สองเท้าเดินไปยังจุดรอรถประจำทางเบื้องหน้า
แต่แล้วสายตาของเจ้าตัวก็มองเห็นหญิงชราท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ เดินอยู่ตรงทางข้ามแยก ซึ่งอีกไม่นานสัญญาณไฟจะเปลี่ยนสี “แย่แล้ว!”
ฟางซินไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยในการวิ่งไปช่วยหญิงชราคนนั้น “คุณยาย!” เธอตะโกนขึ้นจนสุดเสียงเมื่อมองเห็นรถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของผู้ที่ตนกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถคนนั้นกำลังจะชนเข้ากับร่างของหญิงชรา ฟางซินก็ได้ผลักร่างกายผอมบางของหญิงคนนั้นให้พ้นรัศมีของพญามัจจุราชไปได้อย่างฉิวเฉียด
แต่ทว่าผู้โชคร้ายนั้นกลับเป็นตัวของฟางซินเองที่เป็นผู้มารับเคราะห์แทนในครั้งนี้
ร่างของหญิงสาวลอยละลิ่วราวว่าวขาดออกจากเชือกก่อนที่จะตกกระแทกลงกับพื้นถนน เสียงผู้คนกรีดร้องไม่ได้เข้าหูผู้กำลังนอนมองท้องฟ้าด้วยดวงตาพร่ามัว
“เจ็บ อย่างน้อยฉันก็ได้ทำความดีก่อนตายละนะ” ถ้อยคำพึมพำแผ่วเบาผสมกับเลือดสีแดงสดก่อนดวงตาของหญิงสาวจะปิดลงตลอดกาล
วิญญาณของฟางซินมองสภาพแสนอเนจอนาถของตัวเองด้วยความรู้สึกชวนอดสู
“ความโชคร้ายนี้ช่างเป็นของฉันฟางซินคนนี้จริง ๆ ถูกเชิญออกจากงานยังไม่พอ มาช่วยคนข้ามถนนก็มาโดนรถชนตายสภาพดูไม่ได้ อ๊ะ! ว่าแต่คุณยายที่เราช่วยไว้ไปไหนแล้ว”
วิญญาณของฟางซินหันซ้ายแลขวาแต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ มีมืออันเย็นเยียบของใครบางคนจับหัวไหล่ของเธอจากทางด้านหลัง
“มองหาฉันอยู่หรือแม่หนู ขอบใจนะที่ช่วยฉันเอาไว้โดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง” น้ำเสียงของผู้พูดไม่คล้ายกับหญิงชราเฉกเช่นรูปลักษณ์ทำให้ฟางซินหัวคิ้วชนกันด้วยความสงสัย
“เธอนี่ตลกดีนะ ฉันนึกว่าจะแปลกใจเสียอีกที่เห็นฉันในสภาพเช่นนี้แต่ทว่ากลับสงสัยในน้ำเสียงของฉันแทน”
(อุ๊ต๊ะ! คุณยายอ่านใจเราได้ด้วย) เจ้าตัวคิด
“ฉันไม่ได้อ่านใจได้หรอก เพียงแต่ใบหน้าของเธอมันฉายชัดออกมาต่างหาก”
ฟางซินยิ้มแหยก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยความเสียใจ เนื่องจากเจ้าตัวคิดว่าเธอไม่สามารถช่วยหญิงชราเอาไว้ได้นั่นเอง “หนูขอโทษนะคะ ที่ไม่สามารถช่วยคุณยายเอาไว้ได้”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ความจริงแล้วรถคันนั้นมองไม่เห็นฉันตั้งแต่แรกแล้ว โน ๆ เธออย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันไม่ใช่วิญญาณหาตัวตายแทนอย่างที่เธอคิดนะ ฉันเป็นเทพต่างหาก และกำลังมองหาผู้ที่มีชะตาต้องกันไปรับทำหน้าที่บางอย่าง
ซึ่งบังเอิญว่าเป็นเธอที่มาช่วยฉันเอาไว้และมีคุณสมบัติตามที่ฉันต้องการ” ฟางซินนิ่งฟังหญิงชราก่อนที่เธอจะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี
“คุณยายคะ การที่จะหาใครสักคนให้ทำหน้าที่แทน ฉันคิดว่าอย่างน้อย ๆ คุณยายก็ควรถามความเห็นของเขาก่อนไหมคะ ไม่ใช่ว่าจะมาทำแบบนี้และดูสภาพศพของฉันสิแหลกเหลวไปทั้งร่างหาดีไม่ได้เลย แถมซ้ำผู้คนยังลือกันไปอีกว่าฉันฆ่าตัวตาย” วิญญาณสาวกล่าวตัดพ้อ
“เธออย่าได้โทษฉันเรื่องนี้เลย ความจริงคือเธอนะดวงชะตาขาดแล้วเพียงแต่ว่าได้มาเจอเข้ากับฉันจึงทำให้ยังไม่มีใครมารับต่างหาก แต่ถ้าหากเธอไม่รับข้อเสนอพวกเขาก็คงจะต้องมารับวิญญาณของเธอในไม่ช้านี่แหละ” เทพในร่างหญิงชรากล่าวตามจริง
“จริงหรือคะ แต่ฉันยังไม่ทันได้ใช้เงินที่ได้มาเลยนะ เฮ้อ! คิดแล้วก็เศร้าแปลก ๆ” ฟางซินถอนใจอย่างเสียดาย
“ไม่ต้องเสียดายไปหรอก เพราะหากเธอรับข้อเสนอของฉัน เงินรวมถึงความโชคดีจะมีต่อเธอดั่งสายน้ำไหลทีเดียว” เทพ ในร่างหญิงชรากล่าวชวนเชื่อโดยที่เจ้าตัวปิดบังความจริงไว้กึ่งหนึ่ง
“จะมีสิ่งดี ๆ อย่างนี้จริงหรือคะ ไม่ใช่ว่าคุณยายจะคุยโวให้ฉันรับปากหรอกนะ” ฟางซินหรี่ตามองผู้พูดด้วยแววตาเคลือบแคลง
“ฉันจะหลอกทำไม อีกอย่างเธออยากมีครอบครัวไม่ใช่หรือ โลกใบนั้นมีครอบครัวของเธอด้วยนะ เป็นอย่างไรเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างหรือยัง”
ฟางซินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดไปชั่วขณะหนึ่งความ คิดของเธอเริ่มที่จะเอนเอียงไปทางคำว่าครอบครัว ซึ่งตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนตกตายไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง
“แล้วหน้าที่นั้นคืออะไรหรือคะ”
“เมื่อถึงเวลาเธอจะรู้เองแต่ฉันรับรองได้ว่าไม่เกินความ สามารถของเธอหรอก และฉันจะยังมีของแถมให้ด้วย ว่าอย่างไรเวลาไม่คอยท่า หากฉันไม่ส่งเธอไปเกิดใหม่ในตอนนี้เขาจะไม่ยอมแล้วนะ”
“ตกลงค่ะ” ฟางซินตอบหลังจากเห็นท่าทางอันร้อนรนของหญิงชรา “เป็นคำตอบที่ฉลาดมาก ฉันขออวยพรให้เธอโชคดี ของแถมจะปรากฏเมื่อเธอมีอายุได้หนึ่งปีจำไว้นะจงใช้สติและสิ่งที่ได้ไปให้คุ้มค่าล่ะ เอาไว้ค่อยพบกันใหม่ในภายหลัง”
จบคำของเทพผู้อยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงชราร่างวิญญาณของฟางซินก็ถูกท้องฟ้าเบื้องบนดูดกลืนเข้าไป
โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะต้องไปเกิดยังยุคแห่งความอดยากและที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเป็นยุคแห่งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย
สายลมเย็นของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิได้นำพาความสดชื่นให้กับผู้คนใช้แรงในขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
จู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเจ็บท้องคลอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “โอ๊ย! มะ..แม่ฉันเจ็บท้อง” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นดังออกมาจากริมฝีปากขาวซีดของลูกสะใภ้คนที่สาม
ทำให้หญิงวัยกลางคนรีบลุกขึ้นเดินมาทางหล่อนด้วยความร้อนใจ
และเมื่อนางเห็นท่าไม่ดีจึงได้ตะโกนเรียกให้หลานชายคนโตวัยหกขวบไปตามลูกชายคนที่สามที่ยังอยู่ในแปลงนา
“ต้าซวนรีบไปเรียกพ่อเร็ว ส่วนเอ่อห่าวรีบไปบอกป้าสะใภ้สองให้ไปตามหมอตำแยสี่มาเร็วเข้า แม่พวกแกกำลังจะคลอดน้อง”
เด็กชายผู้มีใบหน้าคล้ายกันรีบวิ่งออกไปทำตามคำสั่งผู้เป็นย่าด้วยความรวดเร็ว
“พ่อ! แย่แล้วแม่จะออกน้อง” เด็กชายวัยหกขวบตะโกนไปพลางวิ่งไปพลาง “แกว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มผู้อยู่ห่างออกไปตะโกนกลับมาเมื่อได้ยินไม่ชัดเจน
“แม่จะออกน้อง” กู้ซีซวนหรือต้าซวนรวบรวมพละกำลังเท่าที่ทำได้ตะโกนตอบกลับ
เด็กชายงอตัวเอามือกุมเข่าท่าทางคล้ายหมดแรง กู้ซานไห่เมื่อสองหูได้ยินอย่างชัดเจน สองเท้าของเขารีบสาวเท้าเดินลุยดินโคลนมาทางบุตรชายคนโตอย่างเร่งรีบ
“มีใครไปตามป้าสี่หรือยัง” เขาถามเมื่อเดินขึ้นจากแปลงนามาได้ พร้อมกับอุ้มบุตรชายขึ้นเหน็บเอว “น้องรองไปตาม” น้ำเสียงของเด็กน้อยยังคงหอบเนื่องจากเจ้าตัววิ่งมาไกล
“แกจับตัวพ่อดี ๆ นะ” หลังซานไห่กล่าวจบเจ้าตัวก็ออกแรงวิ่งทำให้บุตรตัวน้อยหัวสั่นหัวคลอนไปตามการเคลื่อนไหวของผู้เป็นพ่อ สองแขนผอมบางโอบรอบคอของผู้เป็นพ่อแน่นด้วยกลัวตนเองจะตกลงไปยังพื้นดินแข็งเบื้องล่าง
“ซานไห่มาแล้ว แม่แกพาเมียเข้าไปภายในห้องพักของหัวหน้าหน่วยผลิตแล้ว แกรีบไปดูเถอะ” หญิงวัยเดียวกับมารดารีบบอกชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างหวังดี
ซานไห่ยังไม่ทันปล่อยลูกน้อยสองเท้าของเขาก็วิ่งมายังเรือนกระต๊อบที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบเพื่อให้หัวหน้าหน่วยได้พักเป็นการชั่วคราว
“พี่รอง เมียกับแม่ของผมล่ะ” เมื่อสองตาไม่เห็นเมียกับแม่เจ้าตัวจึงได้ถามเอากับพี่ชายที่ยืนอยู่ด้านนอกกับชาวบ้านอีกสามสี่คน “อยู่ข้างใน”
“แกเข้าไปไม่ได้ ผู้หญิงจะคลอดผู้ชายห้ามยุ่งมีลูกมาตั้งสองแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นญาติแซ่เดียวกันรีบกล่าวห้ามเมื่อเห็นว่าหลานชายทำท่าจะเข้าไปในห้องด้านหน้า
ซานไห่ชะงักฝีเท้ายกมือข้างที่ว่างลูบท้ายทอยด้วยอาการเก้อเขิน ตอนนี้ชายหนุ่มได้หลงลืมไปแล้วว่าได้อุ้มลูกชายคนโตเหน็บเอวอยู่
“พ่อ ปล่อย” ต้าซานผู้น่าสงสารส่งเสียงบอกข้างหูของบิดา ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกปล่อยให้ยืนลงกับพื้นด้วยท่าทางโงนเงน (ต่อไปนี้จะไม่ให้พ่ออุ้มอีกแล้ว) เจ้าตัวคิด
ในระหว่างที่คนทั้งหมดกำลังยืนอยู่ด้านนอก พี่สะใภ้คนที่สองของชายหนุ่มก็เดินเข้ามาโดยมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินนำหน้า “คนท้องอยู่ไหน”
ทุกคนชี้ไปทางห้องด้านหน้าพร้อมกัน หมอทำคลอดรีบเดินเข้าไปด้านในทันทีก่อนที่จะสั่งความกับคนด้านนอก “ไปต้มน้ำ” สิ้นคำสั่งนี้ซานไห่ผู้กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งรีบเดินไปหากระทะใบใหญ่เพื่อต้มน้ำร้อนตามคำสั่งของหมอหญิงโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครสั่งซ้ำ
ภายในท้องของหญิงสาวตั้งครรภ์ ฟางซินผู้กำลังรอการเกิดรู้สึกแปลกใจที่ตนเองมาอยู่ในสถานที่แคบแต่ทว่ากลับมีความอบอุ่น เธอจำได้ว่าหลังจากตนเองถูกท้องฟ้าดูดก็สลบไป
และหลังจากลืมตาตื่นก็มองเห็นเพียงแต่ความมืด อีกทั้งแขนขาของตนก็ดูไม่เหมือนเดิมทำให้เจ้าตัวรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย และไม่รู้ว่าการที่ตนถีบขาไปมานั้นทำให้แม่ของตนรู้สึกเจ็บ
(เราอยู่ที่ไหน) เธอเริ่มนิ่งเพื่อใช้ความคิด กระนั้นทุกสิ่งกลับไม่ได้เป็นดั่งที่ต้องการเมื่อเธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมาถีบก้นของตน อีกทั้งยังได้ยินเสียงจากภายนอกอีกด้วย
“เบ่ง แม่ต้าซวนออกแรงอีกหัวเด็กใกล้จะโผล่ออกมาแล้ว” หมอตำแยสี่พูดขึ้น
“อาจิน อดทนอีกหน่อยนะลูก” นางโม่ผู้เป็นแม่สามีพูดพลางซับเหงื่อให้ลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง
ตอนนี้ฟางซินรู้แล้วว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กตัวน้อยที่อยู่ในครรภ์ของมารดา (ท่านเทพอย่าให้แม่ของหนูทรมานมากกว่านี้เลยนะให้หนูคลอดออกไปเถอะ)
พรู๊ด!!! “ออกมาแล้ว คลอดง่ายเสียจริง” หมอตำแยกล่าวชม นางโม่เองก็ยิ้มออกมาบ้างนางจึงได้ถามขึ้นด้วยความอยากรู้และคาดหวัง
“ผู้ชายผู้หญิง” คำถามนี้ทำให้ฟางซินรู้สึกเย็นวาบถึงสันหลัง (หรือว่าที่นี่จะไม่ชอบเด็กผู้หญิง ไม่จริงใช่ไหม ฉันคงจะไม่ซวยซ้ำซวยซ้อนหรอกใช่หรือไม่) เด็กน้อยไม่ต้องรอให้ใครตี เธอก็แหกปากร้องออกมาเสียงดังจนคนด้านนอกได้ยินกันจนทั่ว
การเกิดของเด็กหญิงได้ทำให้ทั่วทั้งท้องทุ่งถูกแดดย้อมจนดูเหมือนสีของทองคำไม่มีผิด
“เด็กคนนี้ต้องนำโชคมาให้หมู่บ้านสือเยี่ยน กองผลิตหน่วยที่แปดของเราเป็นแน่” ชายวัยชราฟันเหลือน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเขาแหงนใบหน้ามองไปยังพระอาทิตย์เบื้องบน
สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ
“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 
นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ
“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง
ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง
หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&