Home / ระบบ / ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60 / ตอนที่10 หลานของย่าอย่าหลับไปนานแบบนี้อีกนะ

Share

ตอนที่10 หลานของย่าอย่าหลับไปนานแบบนี้อีกนะ

สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด

            “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง

            ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก

            “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก

            ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม

            “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแล้ว และยังมีลูกไม้ที่พี่ของหลานได้ไปเก็บมาเมื่อวันก่อนด้วย

            ผู้เป็นย่าพูดพร้อมกับหยิบห่อแป้งทอดกับลูกไม้ดังกล่าวออกมาให้คนตัวเล็ก “หลานเม่ย[1]” น้ำเสียงของฟางซินพูดไม่ชัดนักยามเมื่อเห็นลูกไม้สีน้ำเงินอมม่วง “หลานรู้จัก” นางโม่ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

            ฟางซินตอบรับในลำคอพลางเคี้ยวแป้งทอดตุ้ย ๆ จนแก้มสั่น โม่โฉวยกมือขึ้นลูบผมดำเป็นเงาของหลานสาวสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข (หลานของฉันต้องเป็นเทพธิดาน้อยมาเกิดแน่ ๆ) เจ้าตัวคิด

            หากว่าฟางซินรู้ความคิดนี้ของผู้เป็นย่าเธอคงจะบอกว่า ย่าของเธอช่างมโนเก่งกาจยิ่ง หนึ่งคนตัวเล็กหนึ่งคนตัวใหญ่นั่งพักและกินแป้งทอดอยู่พักใหญ่ นางโม่จึงได้ถามหลานสาวออกมา “ไปต่อไหวไหม”

            “ไหว” เจ้าตัวเล็กตอบพร้อมกันนั้นก็ลุกขึ้นยืน นำมือ  น้อย ๆ ของตนไปปัดฝุ่นที่ก้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน” นางโม่จับมือเล็กขาวนุ่มของหลานสาวก่อนที่หล่อนจะเดินไปยังจุดหมายที่ต้องการ

            “ย่า ไหน” น้ำเสียงไม่ชัดของหลานตัวน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อพวกเธอเริ่มเดินเข้ามาลึกมากกว่าทุกครั้ง

            “ย่าจะพาหลานไปดูต้นนุ่น เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนย่าเคยเก็บฝักของมันมาแกะนุ่นด้านในออก และนำมาเย็บเสื้อบุนวมและผ้าห่มอย่างไรเล่า”

            ฟางซินฟังที่ย่าพูดออกมาอย่างตั้งใจ จากนั้นเธอก็เดินตามการจับจูงของย่าไปเรื่อย ๆ บริเวณนี้แม้จะลึกมากกว่าทุกครั้งแต่ก็ยังไม่ถือว่าอันตรายจากสัตว์ร้าย เนื่องจากสัตว์ใหญ่มักจะอยู่ลึกเข้าไปอีก

            เด็กหญิงเดินไปก็กินผลหลานเม่ยไป น้ำผลไม้ของมันนั้นให้รสชาติหวานสดชื่นฟางซินจึงค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษ

            “อยู่ตรงนั้น” นางโม่พูดขึ้นก่อนที่ใบหน้าของนางจะหม่นลง “ดูท่ามันคงจะไม่รอด ต้นเริ่มแคระแกร็นขนาดนี้” น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

            ฟางซินมองไปยังต้นไม้สูงตรงหน้าแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา “ย่านั่ง” น้ำเสียงเล็กของหลานทำให้โม่โฉวมองใบหน้าน้อยของเธอก่อนที่จะหย่อนก้นลงนั่งเนื่องจากหล่อนคิดว่าหลานคงจะเหนื่อย

            นางโม่กำลังจะส่งน้ำในกระบอกให้หลานสาวก็เห็นว่าเจ้าตัวเดินเตาะแตะไปยังต้นนุ่นต้นหนึ่ง “เป่าเป้ย หลานจะทำอะไร” นางโม่ถามหลานสาวด้วยความสงสัย

            ฟางซินทำเพียงหันใบหน้ากลมกลับมามองพร้อมกับฉีกยิ้มจนตาปิดโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเด็กน้อยก็ทดลองทำในสิ่งที่ตนเองรู้สึก (จะได้ผลหรือเปล่านะไม่ลองไม่รู้)

            สองมือเล็กของเจ้าตัววางทาบลงไปกับต้นนุ่นจากนั้นเธอก็หลับตาตั้งสมาธิผ่านฝ่ามือน้อยของตนไปยังลำต้นของต้นนุ่นเบื้องหน้า

            แสงสีเขียวได้ปรากฏออกมาให้นางโม่เห็นและยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยทักท้วงก็ต้องตกตะลึงดวงตาเบิกกว้างให้กับภาพตรงหน้า “เป่าเป้ย!” นางโม่รีบวิ่งเข้าไปรับร่างเล็กของหลานสาวที่ตัวอ่อนยวบด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว

            ฟางซินคล้ายรู้สึกว่าตัวของเธอนั้นเบาเหมือนนุ่นไม่มีผิด “เด็กน้อยเจ้าใช้พลังเกินตัวเกินไปแล้ว” น้ำเสียงของเทพสาวฉายแววตำหนิ

            “เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะคะ ก็ท่านไม่ได้บอกนี่ว่าพลังลับคืออะไรและต้องใช้ยังไง” ฟางซินกล่าวแก้ตัวยังไม่ทันจบ

            “ก็ข้าไม่รู้นี่ว่าเธอจะใจกล้าบ้าบิ่นทดลองเสียจนตัวเองถึงกับเป็นลม อีกทั้งยังต้องล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้”

            “เอ๋! ท่านว่าอะไรนะคะ ล้มหมอนนอนเสื่ออย่างนั้นหรือ ตายแล้ว! ป่านนี้คนในครอบครัวของฉันไม่ทุกข์ร้อนใจกันแย่แล้วหรอกหรือ” เด็กน้อยในความฝันถามขึ้นอย่างตกใจ

            “เธอยังไม่ตาย หากแต่ถ้าเกิดใช้พลังไม่ระวังเหมือนครั้งนี้อีกก็ไม่แน่” คำพูดของเทพสาวทำให้คิ้วของฟางซินกระตุก

            (ก็ไม่ใช่เพราะท่านบอกไม่กระจ่างหรอกหรือถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ขึ้น แต่เอาเถอะจะโทษท่านเทพฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เรื่องมันก็เป็นเพราะตัวเราด้วยนั่นแหละ เฮ้อ! ซวยจริง) เจ้าตัวคิด

            ทางด้านนอก ภายในบ้านสามของครอบครัวกู้ “เป็นเพราะแม่เองที่ไม่ดูแลเป่าเป้ยให้ดี” นางโม่กล่าวโทษตัวเองยามเมื่อเห็นดวงตาของหลานสาวยังคงปิดสนิท

            “แม่อย่าโทษตัวเองเลยครับ หากหลานรู้เธอจะไม่สบายใจเอาได้นะ ว่าแต่เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่

ทำไมจู่ ๆ เป่าเป้ยถึงนอนหลับไม่ได้สติมาสามวันแล้วได้กัน ไปหาหมอเขาก็พูดว่าร่างกายปกติดีเพียงหลับไปเฉย ๆ” ซานไห่ปลอบมารดาพลางถามขึ้นอย่างสงสัย

            ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะตั้งแต่มารดาอุ้มเป่าเป้ยกลับลงมาจากภูเขาผู้เป็นแม่ก็ไม่ปริปากพูดอะไร

            อีกทั้งยังคงเฝ้าโทษตัวเองอยู่ทุกวันและมาเฝ้าดูแลหลานอยู่ไม่ห่างจนถึงขนาดเอามานอนด้วย

            โม่โฉวมองใบหน้าอ้วนกลมหลับตาพริ้มขนตาเป็นแพหนา หน้าอกของหลานสาวสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ

            บางคราก็มีเสียงกรนออกมาให้ได้ยิน นางก็พลอยคลายความกังวลลงได้บ้างแต่กระนั้นก็หาได้ปล่อยวาง “เรื่องนี้แม่ก็ไม่เข้าใจมากนักแต่จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” คำพูดของแม่สามีได้ทำให้ลี่จินละจากใบหน้าเล็ก ๆ ของลูกสาวมองมาทางนางด้วยความอยากรู้

            สองตาของลี่จินแดงช้ำ ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มานานมาก อีกทั้งมือของเธอก็ยังคงกอบกุมมืออวบอูมของลูกน้อยอย่างทะนุถนอมไม่ปล่อย

            “เรื่องมันเป็นอย่างนี้.....แกคิดว่ายังไง แม่คิดว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวข้องกันแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกี่ยวตรงไหนหรือว่าต้นไม้ดูดกลืนพลังชีวิตของหลาน” นางโม่เล่าเรื่องที่ตนประสบออกมาอย่างละเอียดก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังอย่างหวาดหวั่น

            “แม่ ใจเย็นก่อนครับ ที่แม่เล่าออกมาไม่ใช่ว่าเป็นความฝันแน่นะ ผมว่ามันออกจะเหลือเชื่อเกินไป” ซานไห่ทักท้วงสีหน้าฉายแววกลัดกลุ้ม

            “สามีคะ ฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียว คุณจำเรื่องผิงกั่วไม่ได้หรือเพียงแต่ตอนนั้นต้นผิงกั่วไม่ได้กำลังจะตายเหมือนกับต้นนุ่น” ลี่จินพูดออกมาโดยมีน้ำตาไหลออกมาด้วย (หากเป็นอย่างที่แม่สามีว่า ท่านเทพได้โปรดมาเอาชีวิตของฉันไปแทนเป่าเป้ยเถิด)

            ทางด้านพี่ชายของเจ้าตัวเล็ก ในตอนนี้เด็กทั้งห้าก็หาได้มีความสุขพวกเขาต่างนั่งอยู่ด้วยกันด้านนอกคอยเงี่ยหูฟังว่าเมื่อไหร่น้องสาวจะตื่นขึ้นมาวิ่งเล่นกับพวกตนด้วยใจจดจ่อ

            ส่วนหยูเซียนกับสามีก็ต่างพากันกังวลไม่แพ้คนบ้านสามเลย แม้ว่าเป่าเป้ยจะไม่ใช้สายเลือดของตนก็ตาม

            แต่ทว่าหลานสาวคนนี้นั้นเป็นเด็กรู้ความช่างออดอ้อนเอาใจเก่งทำให้ทั้งลุงกับป้าต่างก็รักใคร่เอ็นดู

            “สามี เป่าเป้ยจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ ฉันคิดถึงแกเหลือเกิน เวลาฉันทำอะไรให้กินหล่อนก็กินอย่างเอร็ดอร่อยแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงมันเผาหรือแป้งทอดที่แสนจะธรรมดา” หยูเซียนยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา

ในขณะนั่งอยู่ในครัวบ้านสามเนื่องจากนางได้เป็นคนอาสาทำอาหารเอง

            “ผมเชื่อว่าหลานจะต้องไม่เป็นอะไร คุณจำไม่ได้หรือว่าตั้งแต่เป่าเป้ยเกิดจนกระทั่งถึงตอนนี้บ้านอื่นต่างก็ประหยัดกินแค่พออิ่มแต่สำหรับบ้านเรากลับมีเนื้อกินวันเว้นวัน

ผมเชื่อว่าสวรรค์จะต้องคุ้มครองหลานสาวคนนี้อย่างแน่นอน” แม้ในตอนนี้จะเป็นสังคมใหม่

            เรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่าเหลวไหลไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงมีคนเชื่ออยู่ไม่มากก็น้อยเช่นเดียวกับเอ๋อกั๋ว

            เช้ามืดวันต่อมายังไม่ทันที่ฟ้าจะสว่าง นางโม่ผู้นอนเฝ้าหลานสาวตัวน้อยก็รู้สึกคล้ายกับว่าได้ยินเสียงดังออกมาจากปากเล็ก ๆ ของเด็กตัวกลม

            “หิว” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบามาก ทว่านางโม่ผู้มีหูดีกลับลืมตาตื่นและมองไปทางต้นเสียงผ่านแสงสลัวไปทางหลานสาวที่เปิดเปลือกตาของตนขึ้นอย่างงุนงงปากเล็กสีแดงอ้าปากหาว

            “เป่าเป้ย! หลานตื่นแล้ว” นางโม่ร้องเรียกหลานสาวด้วยความดีใจระคนยินดี

            เจ้าของชื่อฉีกยิ้มจนตาปิด “ย่า หิว” เด็กน้อยพยายามลุกขึ้นพูดออกมาในขณะเดียวกัน

            “ได้ ๆ ย่าจะรีบไปต้มโจ๊กมาให้หลานกินเดี๋ยวนี้เลยหรือว่าหลานจะไปกับย่าดี” โม่โฉวเกิดอาการลังเลด้วยเกรงว่าหากตนเดินหายไปและเดินกลับมาหลานรักจะยังคงหลับสนิทเหมือนทุกวัน

            ฟางซินนิ่งไปชั่วครู่ “ไป” คำตอบรับของเด็กน้อยทำให้หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะอ้าแขนอุ้มหลานสาวตัวนุ่มนิ่มเข้าสู่อ้อมกอด

            “หลานย่า ต่อไปอย่าหลับแบบนี้อีกนะย่าใจคอไม่ดี” ฟางซินฟังเสียงสั่น ๆ ของผู้เป็นย่าด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษ” เจ้าตัวยังคงพูดไม่ชัดนักกระนั้นหญิงวัยกลางคนก็ยังคงฟังเข้าใจ

            “ไม่ต้องขอโทษ หลานไม่ได้ผิด เป็นย่าไม่ดีเองที่อยากได้นุ่น” โม่โฉวยังคงโทษตัวเองแต่ทว่าฟางซินกลับกอดย่าของตนแน่น “ย่า ดีที่สู๊ด” เจ้าตัวพูดเสียงสูง

            เมื่อนางโม่เปิดประตูห้องของตนเดินออกมาก็เห็นลูกชาย ลูกสะใภ้รวมถึงหลานชายทั้งสองคนพากันยืนอยู่หน้าห้องตนอย่างพร้อมเพรียง “เป่าเป้ย/น้องสาว” พ่อแม่ลูกชายต่างพากันเรียกเด็กหญิงตัวกลมออกมาพร้อมกัน

            “ถึง” ฟางซินหันใบหน้ามาตามเสียงเรียกพูดพลางยิ้มหวานออกมาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาทางคนตัวเล็กพอดิบพอดี ทำให้ร่างกายเล็กจ้อยของนางคล้ายเปล่งประกายสีทอง

            รอยยิ้มแห่งความอบอุ่นและสดใสของครอบครัวได้คืนกลับมาแต่งแต้มให้กับทุกคนอีกครั้ง

            เช่นเดียวกับบ้านรองเมื่อได้ทราบว่าหลานสาวผู้เป็นดวงใจของคนทั้งครอบครัวฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว อีกทั้งเจ้าตัวยังคงกินเก่งเหมือนเดิมอีกด้วย

            “เป่าเป้ย หลานอยากกินอะไรอีกป้าสะใภ้รองจะไปทำมาให้” หยูเซียนถามอย่างเอาใจหลานคนโปรด

            “อิ่ม” คนตัวเล็กพูดพลางส่งยิ้มออกไปอย่างน่ารัก ทำให้หยูเซียนอยากจะเข้าไปฟัดแก้มกลมของเธอเป็นอย่างมากด้วยความมันเขี้ยว

[1] ผลบลูเบอร์รี่

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่10 หลานของย่าอย่าหลับไปนานแบบนี้อีกนะ

    สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่9 เป่าเป้ยของย่าดีที่สุด

    “พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่8 หลานสาวของฉันชื่อกู้ฟางซิน

    นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่7 นี่คือเงินหลานรักของฉัน

    “น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่6 หลานของฉันต้องอายุยืน

    ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่5 หลานรักเจ้ายังกินไม่ได้

    หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status