“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน”
“ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้
ทั้งแม่สามีกับลูกสะใภ้ต่างช่วยกันเก็บผักป่าที่เห็น เช่นเดียวกับหลานชายตัวน้อยทั้งห้าคน “พี่ใหญ่ ลูกไม้นี่กินได้หรือเปล่า” ซีห่าวถามพี่ชายท้องเดียวกันเมื่อเห็นลูกไม้สีม่วงอมน้ำเงิน
“พี่เองก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่ามันน่าจะกินได้นะ ดูเจ้าตัวเล็กนั่นสิมันยังหยิบกินเลย” ต้าโถวพูดขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังกระแตตัวเล็กที่ไม่กลัวคน
“จริงด้วย แต่ผมจะหยิบไปถามย่าดูก่อน หากว่าย่าบอกกินได้พวกเราค่อยเก็บดีไหม” ซีซวนพูดพลางเด็ดลูกไม้ที่ตนไม่รู้จักไปสองสามผล
“ก็ดีเหมือนกัน” พี่กับน้องไม่มีใครคัดค้าน
ซีซวนหายไปเพียงไม่นานก็วิ่งกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “กินได้ละ แต่ย่าบอกว่าต้องเก็บเฉพาะผลสีม่วงน้ำเงินแบบนี้นะ ส่วนสีม่วงแดงยังไม่สุก” เจ้าตัวพูดพลางชูลูกไม้ผลที่กินได้ตามที่ย่าบอกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาช่วยกันเก็บเถอะ” ต้าโถวเป็นคนพูดออกมา จากนั้นเด็กชายทั้งห้าคนก็ช่วยกันเก็บลูกไม้ที่ตัวเองเห็น ยกเว้นต้นสูงกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึง
“เก็บแค่นี้ก็พอเอาไว้วันหลังค่อยมาเก็บไหม หากกินไม่หมดน่าเสียดาย” ต้าโถวพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาเก็บลูกไม้ที่ว่าได้มากพอสมควร
“ครับ” น้องชายทั้งสี่ไม่มีใครไม่เชื่อฟัง ในขณะที่เด็ก ๆ หยุดมือผู้ใหญ่ทั้งสามของบ้านก็พากันหยุดมือเช่นเดียวกัน
“กลับกันได้แล้ว” นางโม่ตะโกนเรียกหลานชายทั้งห้า
ในระหว่างการเดินลงจากภูเขาคนบ้านกู้ไม่เจอใครแล้วเนื่องจากเวลานี้ค่อนข้างสาย “โชคดีนะไม่เจอใคร” โม่โฉวพูดขึ้นหลังจากกลับเข้ามาภายในลานบ้านสาม
“นั่นสิคะ ไม่อย่างนั้นหากมีคนรู้ว่าเราจับไก่ได้ไม่รู้ว่าจะมีคนเอาไปพูดกันแบบไหนอีก” หยูเซียนพูดขึ้นในขณะนำตะกร้าหวายที่มีเห็ดหูหนูสีดำอยู่เต็ม
“แม่ว่าพวกลูกเอาเห็ดไปล้างและแบ่งตากแห้งเถอะ ส่วนแม่จะไปทำอาหารก่อนวันนี้พวกเราจะได้กินไก่ตุ๋น” จบคำพูดของผู้เป็นย่าเด็กชายทั้งห้าคนต่างยิ้มแก้มปริ
“เอาตัวนี้ก็แล้วกัน นอกนั้นเลี้ยงเอาไว้ก่อนเพื่อให้มันออกไข่ โชคดีจริง ๆ ที่ได้ไก่มาเลี้ยงแทนตัวเก่า ต้าโถวดูน้องด้วยนะ” นางโม่หยิบไก่ผู้โชคร้ายตัวหนึ่งไปทางเรือนครัวโดยไม่ลืมบอกหลานชายคนโต
“แม่คะ ฉันจะไปหาบน้ำมาให้นะคะ” ลี่จินอาสาเนื่องจากช่วงหลังมานี้สามีไปทำงานข้างนอกจึงไม่มีใครหาบน้ำมาไว้ในถัง
“ไปเถอะ ระวัง ๆ ด้วยล่ะ” นางโม่ร้องบอกเมื่อเจ้าตัวเดินไปไกลแล้ว “ฉันจะไปกับน้องสะใภ้ค่ะ” หยูเซียนพูดออกมาบ้างเนื่องจากน้ำในถังบ้านของตนก็เริ่มร่อยหรอแล้วเหมือนกัน
ก่อนออกจากบ้านลี่จินจึงได้หันมาสั่งความกับหลานชายคนโตอีกครั้งเพื่อให้ช่วยดูแลลูก โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังทำก้นกระดกอยู่บนเสื่อ “ต้าโถวอาฝากดูแลน้อง ๆ ด้วยนะโดยเฉพาะเป่าเป้ย”
“ครับ อาสะใภ้วางใจผมได้เลย” เด็กชายวัยแปดปีตบอกของตนรับคำเสียงหนัก
คล้อยหลังอาสะใภ้กับแม่ของตนเดินจากไป เด็กชายทั้งห้าคนก็มองไปยังน้องน้อยผู้กำลังคุกเข่าอยู่กับเสื่อโดยที่มือทั้งสองข้างก็ท้าวอยู่กับเสื่อเช่นเดียวกัน
“พี่ใหญ่น้องทำอะไร” ซีห่าวถามกับพี่ชายผู้เกิดมาพร้อมกันเพียงต่างเวลากันเล็กน้อย
“พี่ไม่รู้ พี่ต้าโถวรู้หรือเปล่า” ซีซวนปฏิเสธก่อนหันหน้าไปถามพี่ชายลูกพี่ลูกน้องที่กำลังมองไปทางเป่าเป้ย
“น้องกำลังคลาน” ต้าโถวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องน้อยกำลังขยับตัวอย่างช้า ๆ และในตอนนี้เจ้าตัวเริ่มคลานเร็วขึ้น
“เป่าเป้ย ช้าหน่อยครับ” ซีห่าวส่งเสียงบอกน้องสาวอย่างเป็นห่วง “ใช่ ๆ ช้าหน่อยพี่วิ่งตามจนเหนื่อยแล้ว” ซานเหมาพูดออกมาบ้าง
ฟางซินจึงได้นั่งเอาก้นแปะลงกับพื้นดินหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นท่าทางของพี่ชาย แต่แล้วพวกเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของย่า
“ทำอะไรกัน แล้วทำไมน้องถึงได้มานั่งอยู่บนพื้นดินแบบนั้น” นางโม่ถามขึ้นสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
เจ้าตัวเล็กฟางซินด้วยความกลัวว่าพี่ชายทั้งห้าจะถูกดุเพราะตัวเอง ดังนั้นเจ้าเด็กจ้ำม่ำจึงได้คลานสี่เท้าด้วยความเร็วเข้าไปกอดขาของผู้เป็นย่าแน่น
พร้อมกับแหงนหน้าของตนสบเข้ากับดวงตาของหญิงวัยกลางคนกะพริบตาปริบ ๆ โม่โฉวตกใจมาก
เพราะไม่คิดว่าหลานสาวของตนจะคลานได้คล่องถึงเพียงนี้ อีกทั้งยามเมื่อนางได้สบดวงตาแสนไร้เดียงสาของคนตัวเล็กอารมณ์ของตนก็ได้กลับมาเป็นปกติ
“เป่าเป้ยของย่าเก่งที่สุด” หญิงวัยกลางคนพูดพลางยกตัวของหลานสาวขึ้นมาอุ้มโดยไม่รังเกียจสภาพของเด็กหญิงที่เลอะดินโคลน
ฟางซินส่งเสียงอื้อ ๆ อ้า ๆ พร้อมรอยยิ้มหวานอย่างประจบ ส่วนพี่ชายทั้งห้าของเจ้าตัวก็พากันยกยิ้มออกมาได้ในที่สุด (มีน้องสาวก็ดีแบบนี้ใช่ไหม) พวกเขาต่างคิดเหมือนกันโดยที่ไม่มีใครสนใจว่าตนกำลังจะถูกย่าดุเพราะใคร
“ต้าโถว หลานพาเป่าเป้ยไปอาบน้ำนะ ย่าจะเข้าไปดูไก่ส่วนเป่าเป้ยหลังจากอาบน้ำแล้วหลานห้ามเล่นซุกซนอีกเข้าใจไหม” นางโม่พูดกับหลานชายคนโตก่อนหันไปพูดกับหลานสาวในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู
เป่าเป้ยจึงได้พยักหน้าเป็นการแสดงออกให้รู้ว่าเธอเข้าใจแล้ว “เก่งมาก” นางโม่กล่าวชมพร้อมกับส่งเด็กตัวกลมให้หลานชายคนโต
ส่วนพี่ชายที่เหลือก็ไปช่วยกันหาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาสวมให้น้องสาว ในตอนแรกฟางซินก็อับอายเมื่อคนอื่นมาอาบน้ำให้ แต่หลังจากที่เจ้าตัวคิดได้ว่าตนเองเป็นเพียงเด็กทารกเธอก็สลัดความอายได้ในที่สุด
สองสะใภ้บ้านกู้เดินหาบน้ำเพื่อมาใส่ถังกว่าจะเต็มก็เดินกันอยู่ห้าหกรอบจนเหงื่อเปียกชุ่ม ฟางซินอดเห็นใจป้าสะใภ้รองกับแม่ไม่ได้ แต่การที่จะขุดบ่อน้ำเอาไว้เองภายในบ้านก็ย่อมต้องใช้เงิน
แม้ว่านางโม่จะมีเงินอยู่ในมือ กระนั้นเธอคิดว่ายังไม่น่าเพียงพอ เพราะการหาช่างที่ชำนาญการไม่ใช่เรื่องง่ายไหนจะค่าวัสดุอุปกรณ์อีก (เอาเถอะ แม่จ๋าทนอีกหน่อยให้หนูโตมากกว่านี้ก่อนนะฟางซินคนนี้จะช่วยหาทางทำเงินเข้าบ้านเอง) เด็กน้อย ตัวกลมนอนคิดไปคิดมาก็ผล็อยหลับไป
กลิ่นหอมของไก่ตุ๋นจากฝีมือของนางโม่ได้ลอยไปไกลจนถึงบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้มีแต่คนกลืนน้ำลายด้วยความอยากกิน
“บ้านกู้นี่น่าอิจฉาจริง ๆ มีเนื้อกินไม่เว้นแต่ละวัน” น้ำเสียงกึ่งอิจฉาของเพื่อนบ้านพูดขึ้น
“นั่นนะสิ แม้นางโม่จะเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวมีแต่คนคิดว่านางจะลำบากเพราะต้องเลี้ยงลูกถึงสามคน แต่ที่ไหนได้ลูกของหล่อนกลับได้ดีกันทุกคน วาสนาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแข่งได้ จริง ๆ”
คำพูดของชาวบ้านหาได้เข้ามาถึงหูของคนบ้านกู้ไม่ เนื่องจากในตอนนี้คนในบ้านกำลังซดนำแกงไก่กันจนปากมัน
ถึงแม้ฟางซินจะกินได้แต่น้ำต้มของมันกับโจ๊กเด็กน้อยก็ยังคงพอใจ “เป่าเป้ย อร่อยไหม” นางโม่ถามหลานสาวที่อ้าปากงับข้าวและเคี้ยวเพียงไม่นานก็อ้าปากรอให้ตนป้อน
ฟางซินพยักหน้าราวลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร พลางอ้าปากงับโจ๊กผสมน้ำแกงที่คนเป็นย่าป้อน
“แล้วพวกหลานล่ะอร่อยไหม” โม่โฉวเงยหน้ามาถามหลานชายทั้งห้าคนบ้าง “อร่อยครับ” ทุกคนตอบออกมาพร้อมกัน
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ ย่าตุ๋นไก่ทั้งตัวเลยละ มีไว้เผื่อพ่อของหลานด้วย อีกทั้งยังมีถั่วเขียวต้มด้วยนะ” คำพูดของย่าทำให้หลานชายยิ้มออกมาอย่างชื่นบาน
ส่วนเจ้าตัวน้อยฟางซินหลังจากกินโจ๊กเข้าไปจนหมดถ้วยเจ้าตัวก็เรอออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆ อิ่มแล้วใช่ไหม” นางโม่ หัวเราะหลานสาวตัวเล็กที่รูปร่างไม่เล็กอย่างชอบใจ
ฟางซินใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย แต่เธอก็ยังคงพยักหน้าขึ้นลงแปลได้ว่าตนอิ่มมาก
ช่วงเย็นของวันหลังจากเอ๋อกั๋วกับซานไห่กลับมายังไม่ทันถึงบ้านดีกลิ่นหอม ๆ ที่ลอยมาตามลมก็ได้กระตุ้นความหิวให้กับคนทั้งสอง “บ้านใครกันมีเนื้อกิน” ซานไห่พูดขึ้น
“อาไห่ พี่คิดว่ากลิ่นมันมาจากบ้านแกนะ พวกเรารีบเดินกันเถอะ” เอ๋อกั๋วรีบเดินจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งมาทางบ้านของน้องชาย
“พี่รองรอผมด้วย นั่นบ้านของผมนะพี่รีบยิ่งกว่าผมได้ยังไง” ซานไห่ตะโกนพลางเร่งฝีเท้าตามพี่ชายมาติด ๆ
“พี่จะไม่เข้าบ้านตัวเองก่อนหรือ” ซานไห่ถามเมื่อกำลังเดินผ่านหน้าบ้านของเอ๋อกั๋ว “เข้าทำไมแกเชื่อฉันเถอะทั้งลูกและเมียต้องอยู่ที่นี่แหละ” ชายหนุ่มผู้พี่พูดขึ้นอย่างมั่นใจ
และก็เป็นอย่างที่เขาคาดเมื่อคนทั้งสองมองผ่านประตูที่กำลังเปิดค้างเอาไว้และเห็นเด็กชายทั้งห้าคนกำลังเล่นอยู่ด้วยกัน
“พ่อ” เด็กห้าคนต่างเรียกพ่อของตัวเองออกมาด้วยความดีใจ
“วันนี้ย่าทำอะไรกินอย่างนั้นเหรอ พ่อได้กลิ่นหอมลอยมาตามลม” ซานไห่ถามออกมาด้วยความอยากรู้
“ไก่ตุ๋นครับ วันนี้พวกเราขึ้นไปบนภูเขาและจับไก่ป่ามาได้ตั้งเก้าตัว” ซีห่าวพูดขึ้นคล้ายโอ้อวดทำให้ทั้งพ่อและลุงหัวเราะท่าทางของเขาออกมาพร้อมกัน
“โอ้! ไม่น่าเชื่อนะว่าลูกหลานของพวกเราจะเก่งกาจกันมากขนาดนี้” เอ๋อกั๋วสัพยอกลูกหลานออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสิครับ นี่ถึงขนาดหาเนื้อให้พวกเรากินได้แล้วไม่ธรรมดากันจริง ๆ” ซานไห่เองก็พูดหยอกล้อผสมโรงกับพี่รองของตนออกมาด้วย
ในขณะที่พ่อลูกกำลังหยอกล้อกันไปมาน้ำเสียงของมารดาก็ดังขึ้น “กลับมากันแล้วก็รีบไปล้างมือจะได้มากินข้าวกัน หากมืดจะเปลืองเทียน” “ครับ” สองพี่น้องขานรับพร้อมกัน
โม่โฉวได้แต่ยิ้มให้กับบุตรชายทั้งสองคน “นี่ขนาดโตจนมีลูกกันแล้วนะยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ กันอีก” หล่อนพูดกับลูกสะใภ้สองคนที่อยู่ในครัว ทั้งลี่จิ่นกับหยูเซียนทำเพียงยิ้มบาง ๆ ออกมาเท่านั้น
อาหารเย็นวันนี้ก็ไม่แตกต่างจากมื้อกลางวัน เพียงแต่ได้เพิ่มเห็ดหูหนูผัดไข่ขึ้นมาอีกจาน ทำให้คนในครอบครัวรู้สึกเจริญอาหารเป็นอย่างมากแม้แต่ฟางซินเองก็ด้วย ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงกินได้แต่โจ๊กแต่ครั้งนี้ผู้เป็นย่าได้คั้นน้ำผักมาผสมให้กับเธอ
เหตุการณ์ทุกอย่างในช่วงนี้ยังคงเป็นปกติสุขจนกระทั่งฟางซินตัวน้อยมีอายุได้หนึ่งปี ซึ่งเจ้าตัวเล็กสามารถเดินได้แล้วเหลือเพียงเรื่องการพูดที่ยังคงสื่อสารออกมาไม่ชัดเจน
“หลานรัก หิวหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวหลังจากได้อยู่กันตามลำพังเนื่องจากหลานชายทั้งห้าได้ไปโรงเรียนกันหมดทุกคนแล้ว
ฟางซินพยักหน้าพยายามจะออกเสียงว่าหิวแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ดังนั้นเจ้าตัวจึงพยักหน้าแทน
“ถ้าอย่างนั้นมากินข้าวกันเถอะ จากนั้นย่าจะพาหลานขึ้นภูเขาเพื่อไปเก็บฟืน เก็บผัก” นางโม่พูดพลางตักข้าวใส่ถ้วยให้หลาน ฟางซินจึงได้ตักข้าวกินเองคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นนางโม่ก็ยังไปชงนมผงมาให้หลานสาวดื่มอีกด้วย
การกระทำของโม่โฉวนั้นหากมีคนรู้คงจะคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่า
หลังจากท้องอิ่ม ย่ากับหลานสาวก็เดินจูงมือกันเดินออกจากบ้าน ฟางซินก็ยังคงพยายามออกเสียงต่อไป
และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อสองตาและจิตสัมผัสของเด็กหญิงรับรู้ถึงอันตรายบางอย่าง
“ย่า!” ฟางซินตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ
โม่โฉวดวงตาเบิกกว้างก้มมองหลานสาวด้วยน้ำตาคลอหน่วยเมื่อได้ยินคำว่าย่าออกมาจากปากของคนตัวเล็ก
โดยที่สัตว์เดรัจฉานตัวยาวในตอนนี้ได้ถูกจิตสังหารของฟางซินเข้าควบคุม ‘ไปซะ’ เธอตวาดงูตัวนั้นด้วยความไม่พอใจ
“เป่าเป้ยเรียกย่าได้แล้ว” นางโม่ยกตัวของฟางซินขึ้นจากพื้นกล่าวขึ้นอย่างดีใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
“ย่า” ฟางซินเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ฮ่า ๆ ใคร ๆ ก็มักจะบอกว่าเด็กหัดพูดต้องเรียกหาแม่กับพ่อก่อนแต่เป่าเป้ยของย่ากับเรียกหาย่าก่อนย่าดีใจที่สุดเลย” โม่โฉวหอมแก้มกลมของหลานสาวซ้ายขวาจนทำให้ฟางซินจั๊กจี้
“ย่า ย่า พอ ฮ่า ๆ” คนตัวเล็กหัวเราะพลางเรียกย่าของตนเพื่อให้หยุด “ได้ ๆ ย่าหยุดแล้ว” สองย่าหลานหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขมากกว่าทุกวัน
หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นโดนแม่ทำโทษแน่” เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวคลี่กระดาษที่ถูกม้วนเข้าหากันให้คลายออกอย่างทะนุถนอม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น “แม่แน่ ๆ” เจ้าตัวคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าเสร็จสรรพ “น้าเสี่ยวเซิงว่าอะไรนะคะ น้ารอหนูอยู่ข้างล่างเหรอ เอ๋! น้าพาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วยหนูจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวคนสวยกดวางสายก่อนหย่อนมือถือรุ่นล่าสุดที่บริษัทขอ
สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกผมก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าและตอบแทนเธอไปจนกว่าชีวิตจะดับสูญ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวกู้จะมีความรักให้ผมอย่างท่วมท้นทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่บุญธรรมที่คิดว่าตัวผมนั้นคือเลือดเนื้อในอกของตนอย่างแท้จริง ซึ่งยิ่งเมื่อผมได้ฟังเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าเธอมีน้ำนมให้ผมดื่มกินตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้น หากไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวรวมถึงพี่สาวสุดที่รักของผมยืนยันผมคงคิดว่าเรื่องเล่านี้คงเป็นเรื่องโกหก 
“พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเป็นเพราะเขามองท่าทางของศิษย์คนโปรดออก “แหะ ๆ ผมก็ลืมไปมักจะคิดว่าพ่อยังหนุ่มอยู่เรื่อย” คำแก้ตัวของเจียอินทำให้ชายชรามองเขาตาเขียว “แกเอาตาไหนดูว่าฉันยังหนุ่มเห็นทีว่าสายตาของแกคงจะยิ่งแย่กว่าคนแก่อย่างฉันเสียอีก หล่อนเห็นด้วยไหมศิษย์รัก” ถ้อยคำจิกกัดของอู๋เหยียนหาได้ทำให้เจียอินรู้สึกอันใดไม่ ตรงกันข้ามเขายังแย้มยิ้มยอมรับอีกต่างหาก “ฉันว่าที่พี่เจียอิน
ความนัยใจของผมถึงภรรยาสุดที่รัก ในช่วงเย็นของทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นอย่างแรกและทุกครั้งก็คือการมองหาภรรยาเช่นเดียวกับวันนี้เมื่อผมถามหาเธอจากเด็กรับใช้ สองเท้าของผมเดินมาทางห้องครัว ผมจึงได้เร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นหลังจากได้กลิ่นหอมซึ่งผู้ที่กำลังทำอาหารอยู่นั้นจะต้องเป็นสุดที่รักของผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อสองสายตามองเห็นหญิงสาวร่างบางรวบผมเป็นหางม้ากำลังยืนหันหน้าเข้าหาเตา ขาทั้งสองข้างของผมยังไม่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาหล่อนในทันทีแม้ว่าใจอยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ทั้งนี้เป็นเพราะผมกำลังยืนนิ่งมองผู้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำด้วยค
หลายวันผ่านไปข่าวคราวของพวกเขายังคงเงียบงัน ฟางซินเองแม้อยากจะไปดูให้เห็นกับตาทว่าก็จนใจด้วยสถานที่แห่งนั้นเธอกับเสี่ยวหม่าวยังไม่เคยไปมาก่อน ‘ท่านเทพได้โปรดอย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ’ ฟางซินอ้อนวอนร้องขอเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายของตนกับคนรักกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหนานเสิ่นกับมู่เฉินได้ย้อนกลับมาช่วยคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะความโลภคนกลุ่มนี้จึงได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำตัวเป็นโจรหมายจะปล้นชิงสิ่งของมีค่าของผู้อื่นแต่ทว่าเป็นพวกเขาเองที่โดนคนประเภทเดียวกันเล่นงาน “อาเสิ่นนายหนีไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นมีอาวุธร
ฟางซินเริ่มฝึกงานหลังวันปีใหม่ บริษัทแห่งนี้เป็นอาคารสูงห้าชั้น ซึ่งในยุคนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ยังไม่มีมีลิฟท์ หญิงสาวจึงรู้สึกทดท้อเป็นอย่างมากหากจะต้องให้เธอเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสุดท้าย “เอ๋! ที่นี่สมกับเป็นบริษัทข้ามชาติมีลิฟท์ด้วย” ฟางซิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารแล้วมองเห็นประตูลิฟท์ที่กำลังปิดแม้ว่าจะมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ตาม หลังจากเจ้าตัวกดลิฟท์รออยู่สักพักในที่สุดประตูของมันก็เปิดออก ฟางซินก้าวเท้าของตนเข้าไปอย่างไม่รอช้า ชุดที่หญิงสาวสวมมาวันนี้ค่อนข้างเรียบร้อยดูดีมากว่าทุกวัน อีกทั้งยังค่อนข้างทันสมัยมีเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนสวมอยู่ภายนอก จึงยิ่งเพิ