ทางด้านย่ากับหลานตัวน้อยเมื่อเดินเข้ามาภายในห้องอยู่ไฟ ซีห่าวรู้สึกร้อนจึงได้ถามขึ้นอย่างสงสัย “ย่าครับ ร้อนเปิดหน้าต่างได้ไหม”
“เปิดไม่ได้ แม่ของหลานต้องอยู่ไฟห้ามถูกลมถูกแดด หากหลานทนไม่ไหวก็ออกไปก่อนเถอะ หลังจากน้องกินนมเสร็จย่าก็จะพาออกไปด้านนอกเหมือนกัน” หญิงวัยกลางคนอธิบายให้หลานชายได้เข้าใจ
ซีห่าวพยักหน้ารับก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปด้านนอก โดยที่เจ้าตัวก็ยังเหลียวหน้าไปมองแม่ที่นั่งเอาหลังพิงหมอน สีหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“แม่ไม่ร้อน อาห่าวออกไปก่อนเถอะลูก” น้ำเสียงของมารดาทำให้เด็กชายใจชื้นขึ้นมาบ้างก่อนที่เขาจะยอมเดินออกไปแต่โดยดี
คล้อยหลังบุตรคนรองเดินจากไป ลี่จินก็หันมาสนใจบุตรสาวที่แม่สามีอุ้มเข้ามา
“แม่คะ เจ้าตัวเล็กหิวอย่างนั้นหรือ” เธอถามพร้อมกับยื่นมือไปรับลูกน้อยซึ่งนอนในห่อผ้าอย่างนิ่งเงียบ
“อืม เด็กคนนี้ฉลาดทีเดียวแม่จะเล่าให้ลูกฟัง....แม่ว่าบรรพบุรุษของเราคงอวยพรและใช้บุญกุศลมากมายเป็นแน่ถึงได้มีเด็กคนนี้เกิดขึ้นในครอบครัวของเรา”
“จริงหรือคะ” ลี่จินย้อนถามอย่างเหลือเชื่อพลางเปิดเสื้อของตนและอุ้มคนตัวเล็กในห่อผ้าจ่อเข้าไปใกล้กับหน้าอก
“แม่จะกล้าโกหกหรือ” โม่โฉวตอบก่อนที่เจ้าตัวจะก้มมองใบหน้าเล็กจ้อยของหลานสาวด้วยความรัก
ลี่จินดีใจที่ลูกสาวนั้นเป็นที่รักของแม่สามีซึ่งผิดกับบ้านอื่น “อ้าปากสิลูก ไม่อย่างนั้นหนูจะดูดนมได้ยังไง” หญิงสาวพูดอย่างจนใจเมื่อบุตรีไม่ยอมอ้าปาก
นางโม่เองก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อเห็นว่าหลานสาวไม่ยอมกิน
“เป่าเป้ยของย่าหากหลานไม่กินหลานจะป่วยและไม่โตนะ” หญิงวัยกลางคนนำนิ้วมือไปสะกิดแก้มของหลานตัวน้อยอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าผิวละเอียดของเธอจะเป็นรอย
แม้ฟางซินจะเข้าใจแต่กระนั้นด้วยความที่จิตวิญญาณของตนเป็นผู้ใหญ่มันก็เลยค่อนข้างกระดากอายหากจะต้องมาอ้าปากดูดนมจากอกของมารดา คิ้วน้อย ๆ เริ่มขมวดเข้าหากัน
“ลูกรักได้โปรดอ้าปากเถอะนะ หนูกินสักนิดหน่อยก็ได้ตกลงไหม” น้ำเสียงเว้าวอนของมารดาก็ทำให้ฟางซินเป็นทุกข์ไม่น้อย
(เฮ้อ! เป็นไงก็เป็นกัน ตอนนี้เราเป็นเด็กนี่นะก็จงใช้ชีวิตแบบเด็กทารกไปก่อนก็แล้วกันกินให้มากจะได้โตไว ๆ) หลังจากตกตะกอนความคิดได้
เด็กหญิงจึงหลับหูหลับตาอ้าปากสีแดงของตนก่อนที่เจ้าตัวจะออกแรงดูดตามสัญชาตญาณ แต่ไม่ว่าเธอจะออกแรงมากขนาดไหนน้ำนมก็หาได้ไหลออกมาไม่
“แม่คะ ไม่ดีแล้วน้ำนมของฉันไม่ยอมไหลหรือว่าฉันจะไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ทำยังไงดี” ลี่จินพูดไปก็คล้ายจะร้องไห้ไปด้วยความสงสารบุตรีตัวน้อยที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ
ท้องของเจ้าตัวเล็กก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด แม้จะหิวมากขนาดไหนกระนั้นเจ้าตัวกลับไม่เปิดปากร้องไห้โยเยเลยสักแอะ
โม่โฉวเองก็สงสารหลานสาวจับใจ “แม่จะให้อาซานฆ่าไก่เพื่อต้มน้ำแกงมาบำรุงให้ลูกและให้ไปหาซื้อไข่ไก่มาเพิ่ม วันนี้เห็นทีคงจะต้องให้เป่าเป้ยผู้น่าสงสารกินน้ำข้าวไปก่อน”
เมื่อฟางซินได้ยินคำพูดนี้เจ้าตัวจึงได้หลับตานึกถึงเทพผู้ชราอีกครั้ง (คุณยายคะ หากไม่มีน้ำนมฉันจะโตได้ยังไง)
โม่โฉวเพิ่งหันหลังให้กับลูกสะใภ้เจ้าตัวก็ต้องหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของสะใภ้คนเล็ก “แม่คะดูนี่” น้ำนมสีขาวปนเหลืองพุ่งออกมา
“รีบให้เป่าเป้ยกินเร็วเข้า เธอไม่รู้หรือว่าน้ำนมแรกมีประโยชน์มากขนาดไหน” สิ้นเสียงของโม่โฉว ลี่จินมีหรือจะไม่รีบทำตาม ฟางซินตัวน้อยก็อ้าปากดูดนมจากอกของมารดาเสียงดังจ๊วบ ๆ “ลูกรักเปลี่ยนมาดูดอีกข้างได้ไหมแม่เจ็บข้างนี้มากเลย” จบคำพูดนี้คนตัวเล็กก็หยุดการกระทำของตนพลางอ้าปากเล็ก ๆ ออกอย่างรู้ความ
“อาจินเห็นหรือยังว่าเป่าเป้ยฉลาดรู้ความมากขนาดไหน แม่เกิดมาจนอายุจะครึ่งคนเข้าไปแล้วไม่เคยเห็นเด็กทารกคนไหนจะฟังรู้เรื่องเหมือนเป่าเป้ยบ้านเราเลย” โม่โฉวกล่าวเยินยอหลานตัวน้อยที่หันมายิ้มหวานให้นาง
“นั่นสิคะ ฉันต้องใช้บุญที่สั่งสมมาหลายชาติหมดไปแล้วเป็นแน่ถึงได้คลอดเด็กที่ทั้งฉลาดและรู้ความแบบนี้ออกมาได้” ลี่จินกล่าวด้วยรอยยิ้มเห็นพ้องกับแม่สามี
ฟางซินซึ่งได้เปลี่ยนมาดูดนมจากอกอีกข้างของมารดา รู้สึกชื่นชอบย่าของตนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอไม่เคยได้ยินว่ามีครอบครัวใดที่แม่สามีจะรักลูกสะใภ้แบบครอบครัวของตนมาก่อน เจ้าตัวเล็กนอนดูดนมฟังการสนทนาจนท้องอิ่มตาก็เริ่มปรือ
ลี่จินเมื่อเห็นว่าปากน้อย ๆ ของบุตรสาวคายหัวนมออกแล้วเจ้าตัวก็อุ้มคนตัวเล็กพาดบ่าลูบหลังเล็ก ๆ นั้นอย่างอ่อนโยน ฟางซินเรอออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะตกใจจนลืมตาตื่น
แต่ก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวจากนั้นเธอก็พ่ายแพ้ให้กับความง่วงของร่างกายเด็กน้อยหลับปุ๋ยอย่างเป็นสุข
หนึ่งเดือนผ่านไปใบหน้าของฟางซินในขณะนี้กลมราวซาลาเปาผิวของเจ้าตัวก็ขาวราวหิมะทำให้เธอเป็นที่รักของทั้งคนในบ้านและผู้คนที่พบเห็น
วันนี้เป็นวันรับขวัญหลานสาวของบ้านกู้ทำให้ภายในลานดินค่อนข้างครึกครื้น
แม้ว่าจะขาดแคลนอาหารแต่กระนั้นนางโม่ก็ไม่ขี้เหนียวนางจึงได้ลงมือทำซาลาเปาผสมแป้งข้าวโพดสีเหลืองทองแจกจ่ายให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวตัวเล็ก
ในขณะที่ทุกคนกำลังเข้าร่วมพิธีภายในห้องโถงเล็กของตัวบ้านด้านนอกก็มีเสียงดังเอะอะจากชายคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นน้องชายของสามีนางโม่ผู้จากไปจากการพลีชีพในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
“พี่สะใภ้รอง อาซานกับเอ๋อกั๋วอยู่ไหนผมมีข่าวดีมาบอก” น้ำเสียงของคนพูดหอบเล็กน้อยเนื่องจากเจ้าตัวทั้งวิ่งทั้งเดินมาตั้งแต่กลางหมู่บ้าน
“อาสี่มีเรื่องอะไรหรือครับ เข้ามาดื่มเหล้ากินซาลาเปามงคลของหลานน้อยก่อน” ซานไห่เดินออกมาหลังจากได้ยินเสียงของชายวัยกลางคน
“ดี ดี ดี วันนี้นับว่าเป็นมงคลหลานน้อยคนนี้ต้องเป็นดาวนำโชคมาเกิดเป็นแน่ทั้งลุงรองทั้งพ่อได้เข้าไปทำงานในโรงงานทั้งคู่” เมื่อคำพูดนี้หลุดออกจากปากของเขา
ก็เกิดเสียงฮือฮาจากคนที่ได้ยินทันที โดยเฉพาะเจ้าของเรื่องอย่างซานไห่เขาแทบจะสติหลุดไปแล้ว
“อาสี่อาพูดจริงอย่างนั้นหรือเรื่องนี้พูดเล่นไม่ได้นะครับ” ซานไห่ถามย้ำเนื่องจากเขากับพี่ชายคนรองไปสมัครเข้าโรงงานผลิตน้ำมันพืชมามากกว่าครึ่งปีนับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แวว
“ไฮ! เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเอามาล้อเล่น พวกแกรีบไปรายงานตัวกันวันพรุ่งตั้งแต่เช้าได้เลย” ชายวัยกลางคนยกจอกเหล้าเหลืองที่หลานชายรินให้กระดกเข้าปากก่อนตบเข่าพูดขึ้นสีหน้าจริงจัง
ซานไห่ไม่รอช้าจึงรินเหล้าให้เขาอีกเพราะตอนนี้เจ้าตัวรีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงของบ้านอีกทั้งยังตะโกนเรียกพี่รองของตนให้ลั่นอีกด้วย “พี่รอง พวกเราได้เข้าทำงานในโรงงานแล้ว”
ฉับพลันความเงียบได้เกิดขึ้นเมื่อทุกชีวิตที่กำลังสนทนากันพร้อมใจกันหยุดปากของตนลง “ลูกสาม/น้องสาม แกพูดจริงอย่างนั้นหรือ” ทั้งแม่และพี่ต่างถามออกมาพร้อมกัน
“อาสี่เป็นคนมาบอก หากไม่เชื่อก็ถามเขาได้เลย” ซานไห่ ตอบเสียงหนักพลางชี้นิ้วไปทางชายวัยกลางคนที่เดินตามตนเข้ามา “สื่อหม่าเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ” โม่โฉวถามกับน้องชายสามีคนเล็กออกมาน้ำเสียงตื่นเต้นใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
“จริง ผมเพิ่งกลับมาจากโรงงานก็เลยแวะไปดูที่ป้ายประกาศก็เห็นชื่อหลานทั้งสองคนอยู่ในนั้น อาไห่ได้เป็นคนขับรถรับส่งน้ำมัน ส่วนอากั๋วได้อยู่แผนกผลิต”
ทันทีหลังจบประโยคของคนผู้นี้ เสียงแสดงความยินดีจากผู้คนและคนที่รู้สึกอิจฉาในวาสนาของคนในครอบครัวนี้ต่างก็กล่าวออกมากับนางโม่
ฟางซินนอนฟังน้ำเสียงอันหลากหลายจนกระทั่งเคลิ้มหลับ เจ้าตัวรู้แค่ว่าพ่อกับลุงได้เข้าทำงานในโรงงานเพียงเท่านั้นซึ่งเธอยังไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้คนดีใจอะไรกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเด็กน้อยรู้แค่ว่าตนน่าจะมาเกิดที่ไหนสักแห่งซึ่งเป็นชนบทแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้มาอยู่ในยุค1960ซึ่งเป็นปีที่ผู้คนต่างพากันรัดเข็มขัดและหลังจากปีนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายตามมา
ในระหว่างที่เด็กหญิงตัวน้อยหลับใหลปากของเธอก็ขมุบขมิบคล้ายกับว่ากำลังกินอะไรอยู่ คุณย่าผู้หลงหลานสาวก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “หลานของฉันต้องเป็นดาวนำโชคเป็นแน่”
“แม่พูดถูกทุกอย่างเลย” เอ๋อกั๋วกล่าวเสียงดังอย่างเห็นพ้อง แม้ใบหน้าของผู้เป็นแม่จะยิ้มอยู่ทว่าเจ้าตัวกลับกล่าวตำหนิบุตรชายคนรองออกมา “แกเบาเสียงหน่อย หลานหลับอยู่ไม่เห็นหรือ”
เอ๋อกั๋วรีบหุบปากของตนลงทันที สำหรับซานไห่นั้นชายหนุ่มได้เดินเข้าไปอุ้มบุตรตัวน้อยจากเมียรักขึ้นมาแนบอกพลางก้มใบหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากของบุตรตัวน้อยอย่างแผ่วเบา
ฟางซินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนที่คนตัวเล็กจะคลายใบหน้าของตนและหลับต่อไป
ภายในความฝันของเจ้าตัว ฟางซินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนลอยอยู่ยังสถานที่อันแสนคุ้นเคย “ที่นี่ในห้างไม่ใช่หรือ” เธอพึมพำพลางกวาดตามองไปจนรอบห้างแห่งนี้
“เด็กน้อย เจ้าพอใจในสิ่งที่ข้ามอบให้หรือไม่” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวรูปร่างงดงาม
“เอ๋! คุณยายหรือคะ ไม่ใช่สิท่านเทพอย่างนั้นหรือ!!” ฟางซินรู้สึกตกใจ “ใช่แล้วละ ฉันยังมีอีกอย่างมอบให้เจ้าด้วยนะ” จบคำเทพสาวได้จิ้มนิ้วชี้ลงไปยังกึ่งกลางหน้าผากของฟางซิน
ซึ่งตอนนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กน้อยวัยไม่เกินห้าปีและในขณะที่เจ้าตัวยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเทพสาวก็พูดขึ้นพร้อมกับกดนิ้วของตนลงแนบกับหน้าผากเล็กของเด็กหญิง
“พลังที่ฉันมอบให้เธอนั้นคือการรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ เด็กน้อยเจ้าจงใช้ให้ดีเพราะมันเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้าในอนาคตหลังจากเติบโต” จบคำพูดของเทพสาวร่างของ ฟางซินก็ถูกแสงอบอุ่นอันสว่างเจิดจ้าเข้าครอบคลุม
สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ
“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 
นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ
“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง
ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง
หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&