Home / ระบบ / ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60 / ตอนที่4 หลานสาวของฉันช่างน่าทึ่ง

Share

ตอนที่4 หลานสาวของฉันช่างน่าทึ่ง

เช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่ฟ้าจะสว่างผู้คนมากมายแต่ละครัวเรือนก็เริ่มทยอยเดินออกจากบ้าน การกินข้าวของคนในยุคนี้จะกินกันช่วงเที่ยงจากนั้นก็จะกินอีกครั้งหลังเลิกงาน

            สาเหตุที่พวกเขาต้องรีบไปลงไร่ลงนาแต่เช้าเนื่องจากอากาศยังไม่ร้อนหากสายกว่านี้ก็จะต้องใช้แรงมากขึ้น

            เพราะแสงแดดระหว่างวันเริ่มสาดแสงถึงแม้ว่าช่วงนี้จะยังมีลมเย็นพัดมาก็ตาม กระนั้นสำหรับคนทำงานกลางแจ้งย่อมต้องเหนื่อยล้ากว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

            คนบ้านกู้ในตอนนี้ทั้งซานไห่กับเอ๋อกั๋วต่างแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีเข้มรองเท้าหนังซึ่งเป็นคู่เก่าเก็บที่คนทั้งสองต่างทะนุถนอมมาอย่างดีเพราะรองเท้าคู่นี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของพี่ชายคนโตที่ใช้เลือดเนื้อแลกกับเงินส่งมาให้ทางบ้าน

            กล่าวถึงบุตรชายคนโตของนางโม่กับสามีผู้ตายจาก บุตรคนนี้ได้สมัครเข้าร่วมกองทัพเมื่อปี1950 ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีเต็ม สิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้รับหลังจากบุตรชายจากไปสามปีคือจดหมายรวมถึงเงินที่เขามักจะส่งมาทุกเดือนไม่เคยขาด

            แม้นางโม่จะดีใจที่ได้รับจดหมายจากลูกทว่าสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดก็คือหวังให้ลูกชายกลับมาหาตนอย่างปลอดภัยโดยเร็ววันอย่าได้โชคร้ายตายจากเหมือนกับผู้เป็นพ่อ

            ย้อนกลับไปในวันที่นางได้ทราบข่าวถึงการเสียชีวิตของสามี จำได้ว่าตอนนั้นนางแทบล้มทั้งยืนแม้ว่าจะทำใจไว้บ้างแล้วก็ตามเช่นเดียวกับลูกชายทั้งสาม

            และยังไม่ทันที่ความเสียใจต่อจากการจากไปของผู้เป็นพ่อจะคลายลงพี่ชายผู้ที่แก่กว่าซานไห่ถึงห้าปีก็ไปแอบสมัครเข้าร่วมกับกองทัพในปีถัดมา ซึ่งในตอนนั้นเขากับพี่รองยังเรียนหนังสืออยู่

            “อาไห่ แกคิดอะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานก็ไม่ขาน” เอ๋อกั๋วยกมือจับบ่าของน้องชายพลางถามออกมาด้วยความสงสัย

            “ไม่มีอะไรครับ พวกเรารีบไปกันเถอะหากไปช้ามากกว่านี้ได้เดินเข้าเมืองกันแน่” ซานไห่ส่ายศีรษะตอบปฏิเสธ

            “อืม แต่ก่อนไปพี่ขอเข้าไปบอกหลานสาวตัวน้อยก่อนนะ รับรองพวกเราย่อมโชคดีตลอดวัน” เอ๋อกั๋วไม่รอให้น้องชายตอบรับ เจ้าตัวก็รีบสาวเท้ามุ่งไปทางห้องของมารดาเสียแล้วโดยมีซานไห่มองตามด้วยรอยยิ้มขัน

            “ไปหอมแก้มลูกน้อยบ้างดีกว่า” เขาพึมพำพลางเดินตามพี่คนรองไปติด ๆ

            “แม่ครับ หลานน้อยตื่นหรือยัง” เอ๋อกั๋วส่งเสียงออกไปก่อนตัว “จะเสียงดังทำไม หากหลานสาวของฉันตกใจขึ้นมาละก็ฉันจะตีแก” โม่โฉวกล่าวขู่ออกมาจากภายในห้อง

            ฟางซินส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ผู้เป็นย่าถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

            “อาไห่ อากั๋ว แกรีบเปิดประตูเข้ามาเร็วเข้า เป่าเป้ย” น้ำเสียงอันแตกตื่นของผู้เป็นแม่ยังพูดไม่ทันจบ

            เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น “แม่ เป่าเป้ยเป็นอะไร” น้ำเสียงของซานไห่เริ่มร้อนรน

            “เธอหัวเราะ” “ห๊ะ! แม่ว่าอะไรนะ เป่าเป้ยหัวเราะไม่ใช่ว่าแม่หูฝาดหรอกหรือ” จบคำของลูกชายคนรอง เสียงเพียะ! ก็ดังขึ้นที่ต้นแขนของเขาทันที

            “แม่ตีผมทำไม” เอ๋อกั๋วถามขึ้นสีหน้าแหยเก

            “ก็สมควรไหมล่ะ จู่ ๆ มาหาว่าแม่หูฝาด แกลองไปดูที่เตียงสิอาไห่ยังหยอกล้อกับลูกอยู่เลย”

            เอ๋อกั๋วจึงได้เดินเข้าไปและก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของหลานตัวน้อยเข้าจริง ๆ เด็กหญิงหัวเราะเริงร่าตีแขนขา      ป้อม ๆ ไปมาอย่างถูกใจยามพ่อของตนแลบลิ้นปลิ้นตา

            “แม่ หลานน้อยหัวเราะ”

            นางโม่ส่งค้อนให้บุตรชายคนกลางก่อนมองเมินไม่สนใจเขาอีก “เป่าเป้ย หลานหิวหรือยัง” ฟางซินส่งเสียงร้องออกมาสามครั้ง “หิวแล้วสินะ ย่าจะพาหลานไปกินนม ว่าแต่แกสองคนไม่รีบไปรายงานตัวอย่างนั้นหรือ”

            คำถามของผู้เป็นแม่ได้ทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา “ไปครับ แต่จะมาขอโชคจากหลานน้อยก่อน” เอ๋อกั๋วยกมือลูบท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อเขิน

            “ถ้าอย่างนั้นก็บอกกับหลานสิ” โม่โฉวอุ้มเด็กตัวเล็กเข้าไปใกล้ใบหน้าของลูกชายทั้งสองคน “เป่าเป้ยอวยพรให้พ่อกับลุงโชคดีด้วยนะครับ” ซานไห่พูดกับลูกสาวเสียงนุ่ม

            “เป่าเป้ย หากลุงกับพ่อทำงานได้ราบรื่นได้เงินมาเมื่อไหร่ลุงจะซื้อไก่มาตุ๋นให้กินนะ” หลังเอ๋อกั๋วพูดจบประโยคชายหนุ่มก็ถูกสายตาพิฆาตของมารดามองแรง

            “หลานยังกินได้แต่นมเผื่อแกลืม” โม่โฉวพูดดักคอ ฟางซินหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายร้องไห้ของคนเป็นลุง เสียงคิกคักของเด็กหญิงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามพากันอารมณ์ดี

            “ไปได้แล้ว แม่ก็ขอให้แกสองคนโชคดีเช่นกัน หากพี่ใหญ่ของแกได้กลับมาก็คงดี” นางโม่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทว่าน้ำเสียงตอนท้ายค่อนข้างแผ่วเบาจนทำให้คนฟังรู้สึกเศร้า

            “แม่ครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานพี่ใหญ่จะต้องได้กลับมาแน่” ซานไห่กล่าวปลอบใจมารดาก่อนที่จะหันไปทางลูกน้อยที่นิ่งคล้ายฟังการสนทนาของพวกเขารู้เรื่อง “หากลุงใหญ่ของลูกรู้ว่าตัวเองมีหลานสาวเขาจะต้องรีบกลับมาดูหนูเป็นแน่”

            โม่โฉวดวงตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว แม่ยังไม่ได้ให้แกเขียนจดหมายถึงพี่เลยนี่ อาไห่แกรีบไปเขียนจดหมายส่งไปบอกข่าวดีนี่กับเจ้าใหญ่ด้วย ทำไมแม่ลืมเสียสนิท”

            “ครับ ผมจะรีบทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้เลย” คำตอบอันแสนทะเล้นของบุตรชายคนเล็กทำให้เกิดเสียงหัวเราะภายในห้องขึ้นอีกครั้ง

            คล้อยหลังสองพี่น้องเดินออกจากบ้านไปไกลแล้ว นางโม่ก็หันมากล่าวกับเด็กน้อยในอ้อมแขน “พวกเราไปทุ่งนากันเถอะ แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รองรวมถึงพี่ ๆ ต่างก็ไปที่นั่นกันนานแล้ว”

            คำพูดของคนเป็นย่าทำให้ฟางซินรู้สึกสะดุดใจแบบแปลก ๆ (คงไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรอกใช่ไหม)

            สายตากลมดำราวเมล็ดองุ่นของหลานสาวที่จ้องตาของตนทำให้นางโม่หัวใจอ่อนยวบ “หลานหิวมากไหม อดทนหน่อยนะย่าจะรีบเดิน”

            ฟางซินพยายามส่งเสียงอ้อแอ้ (แปลได้ว่าย่าไม่ต้องรีบ หนูทนได้) ทว่าเสียงนี้กลับไปไม่ถึงหูของผู้เป็นย่า นางโม่รีบเดินไปทางไร่ข้าวโพดโดยไม่หยุดพัก

            เมื่อเจ้าตัวมาถึงก็เห็นหลานชายสามคนยกเว้นต้าโถวกับกู้เอ่อที่ไปโรงเรียน “ต้าซวนแม่ของหลานอยู่ตรงไหน”

            “ย่า น้องหิวหรือครับผมจะไปตามแม่ให้” เจ้าของชื่อหยุดขีดเขียนบนพื้นดินแหงนหน้าพลางถามคนเป็นย่า

            “ใช่ น้องสาวของหลานหิวแล้วว่าแต่พวกหลานหิวกันไหม เมื่อย่ากลับไปย่าจะเผามันให้กิน” โม่โฉวตอบพร้อมกับถามหลานชายทั้งสามคนที่มีรูปร่างผอมอย่างเป็นห่วง

            แม้ยุคนี้จะต้องประหยัดอาหารแต่กับหลาน ๆ นั้นนางไม่อยากให้พวกเขาอยู่อย่างลำบากและทนหิวเช่นผู้ใหญ่

            “หิวครับ” สามเด็กชายเอามือลูบท้องตอบออกมาพร้อมกัน

            ฟางซินฟังบทสนทนาด้วยหัวใจอันหวาดหวั่น (ในตอนนี้ฉันอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดถึงต้องกินมันเทศเผาแทนข้าว) คำถามซึ่งไร้คำตอบทำให้ใบหน้าของเด็กน้อยเริ่มไม่น่าดู

            “ได้ หลังจากน้องสาวของหลานกินนมอิ่มย่าจะกลับไปเผามันเทศให้คนละหัว” นางโม่ตอบรับหลานชายโดยไม่เกี่ยงงอน

            “อัยย๊ะ! คนบ้านกู้นี่ช่างน่าอิจฉาเสียจริงลูกชายคนโตก็ได้เป็นทหารมีเงินส่งมาทุกเดือน

ส่วนคนรองกับคนเล็กก็ยังได้ทำงานโรงงานอีก ถึงว่าในยุคที่ผู้คนกำลังประหยัดหล่อนยังกล้าเผามันให้หลาน ๆ ได้กินคนละหัว

เป็นฉันละคงไม่กล้าหรอกทำเพียงต้องนำมาหั่นต้มรวมกับข้าวเท่านั้นแหละช่างมือเติบเสียจริง” น้ำเสียงแสดงความอิจฉาดังออกมาจากปากของคู่ปรับเจ้าเดิมตั้งแต่สมัยที่นางโม่แต่งเข้าบ้านกู้มาใหม่ ๆ ดังขึ้น

            “เสียงนกเสียงกานี่ช่างน่ารำคาญเสียจริง เป่าเป้ยหลานอย่าไปฟังนะ” นางโม่ลอยหน้าลอยตาพูดขึ้นราวชมนกชมไม้

            ส่วนคนฟังก็ได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เพราะผู้ที่ตนตั้งใจต่อว่าหาได้สนใจในตัวเองไม่

            และในขณะที่เจ้าตัวกำลังจะเปิดปากอีกครั้งก็มีเสียงดังของแม่สามีดังขึ้นจากด้านหลัง “หล่อนจะยืนอู้อีกนานไหม รีบไปทำงาน หากค่าแรงถูกตัดละน่าดู”

            สะใภ้บ้านอู๋ที่ยังปากดีอยู่เมื่อครู่ทำท่าทางคล้ายแมวหวาดกลัวหนู เธอจึงได้รีบเดินไปทำงานของตนทันที

            “ย่า พวกเราไปหาปลาได้ไหม” คำถามของซีห่าวทำให้ โม่โฉวหันมาสนใจหลานชายอีกครั้ง

            “ย่าไปด้วยก็แล้วกัน เอาเป็นว่าพวกแกกลับบ้านไปกับย่าก่อนหลังจากกินมันเผาพวกเราค่อยไปจับปลา”

            “ดีครับ” เด็กสองคนไม่มีใครค้าน

            เวลาผ่านไปราวสิบนาที ร่างของต้าซวนก็เดินเคียงข้างมากับลี่จิน “เป่าเป้ย แม่ของหลานมาแล้ว” ลี่จินคิดจะรับตัวลูกสาวทว่าแม่สามีกลับไม่ยอมส่งให้ “ไปล้างมือก่อน จากนั้นค่อยไปหาที่ลับ ๆ ให้นมเป่าเป้ย”

            “ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย พร้อมกันนั้นก็มองมือของตนไปด้วยและเมื่อเห็นสภาพมือของตนเธอก็รู้สึกอายเพราะมันเลอะคราบดินคราบโคลนทั้งสองข้าง

            หลังจากลูกสะใภ้เดินไปทางริมลำธาร นางโม่ก็พาหลานทั้งสี่คนรวมเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนไปนั่งยังร่มไม้ใหญ่

            ทางด้านลี่จินหล่อนรีบล้างมือจนเจ้าตัวเห็นว่าทั้งหน้าและหลังสะอาดดี หล่อนจึงได้เดินไปหาแม่สามีกับบุตรชายหญิง “เอาละแม่กับเด็ก ๆ จะกั้นผ้าให้ลูกรีบให้นมเป่าเป้ยซะ”

            แม่สามีผู้รอบคอบได้นำผ้าที่เธอนำใส่ตะกร้าหวายสะพายหลังขึงออกเป็นผืนยาวซึ่งผ้าผืนนี้เธอซื้อมาด้วยเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว

            ลี่จินพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งในสิ่งที่แม่สามีกระทำให้กับตนเป็นอย่างมาก (จะมีสักกี่คนที่รอบคอบและดีกับลูกสะใภ้เช่นแม่สามีของหล่อนกัน) หญิงสาวคิดในขณะเปิดเต้าให้ลูกน้อยได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารของเจ้าตัว

            ฟางซินดูดกลืนน้ำนมจากอกของมารดาทั้งสองข้างจนเต้าเต่งตึงของผู้เป็นแม่เริ่มแฟบเด็กหญิงจึงได้หยุดปาก

            “ลูกรัก อิ่มหรือไม่” ลี่จินถามเมื่อเห็นว่าบุตรสาวปล่อยเต้าของตนออกจากปาก ฟางซินอยากจะตอบเหลือเกินว่าอิ่มมากแต่ก็ต้องจนใจ

            เมื่อลี่จินไม่เห็นว่าลูกของตนจะกินอีกหล่อนจึงได้อุ้มลูกขึ้นพาดบ่าและลูบหลังให้เบา ๆ เสียงเรอของคนตัวเล็กทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข

            “อิ่มแล้วสินะ” นางโม่พูด จากนั้นหล่อนจึงได้พับผ้าเก็บใส่ตะกร้าตามเดิม

            “แม่ไปแล้วนะ ตอนเที่ยงจะเอาข้าวมาส่งบอกกับเสี่ยวเซียนด้วย” โม่โฉวพูดขึ้นในขณะรับหลานน้อยมาแนบอก

            “ค่ะ”

            เด็กชายสามคนก็เดินตามย่ากลับบ้านราวลูกเป็ดเดินตามแม่ ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน

            “เอาละพวกหลานดูแลน้องสาวให้ดีนะ ย่าจะไปเผามันมาให้กิน จากนั้นเราจะไปจับปลากัน” นางโม่พูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงบ้านและวางหลานสาวลงบนเก้าอี้หวายตัวเก่าซึ่งเป็นของสามีผู้ลาลับ

            “ครับ” เด็กชายสามคนตอบรับเสียงดัง ในเวลานี้ฟางซินดวงตาเริ่มมองเห็นชัดขึ้น

            เธอถึงกับตกใจเมื่อมองเห็นสภาพของพี่ชายทั้งสามคนที่ผอมบางราวกับกระดาษผิวของแต่ละคนก็เป็นสีทองแดง

            “น้องสาว พี่คือพี่ใหญ่นะชื่อกู้ซีซวน” ต้าซวนพูดไปยิ้มไปให้น้องสาวผู้น่ารักราวตุ๊กตาในภาพวาดช่วงปีใหม่

            “ผมพูดกับน้องด้วย น้องสาวพี่ชื่อกู้ซีห่าวนะครับเป็นพี่รอง” เด็กชายผู้มีใบหน้าคล้ายพี่ชายคนโตกล่าวด้วยรอยยิ้มจนตาปิด

            “ให้พี่แนะนำตัวบ้าง น้องสาวพี่คือกู้ซานเหมาเป็นลูกของกู้เอ๋อกั๋วลุงรองของน้องนะพวกเราเป็นพี่น้องกัน”

            ฟางซินส่งยิ้มออกมาให้พวกเขาจนน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปาก “อาห่าวไปหาผ้าเช็ดหน้ามา” ซีซวนบอกน้องชายเมื่อเห็นน้ำลายของน้องสาว “ครับ”

            ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มจากมือของน้องชายส่งให้กับคนเป็นพี่   ซีซวนรับผ้ามาเช็ดน้ำลายให้น้องน้อยอย่างเบามือ

            “น้องสาวพี่จะคอยดูแลน้องเอง” เจ้าตัวพูดขึ้นพลางมองใบหน้าขาวเนียนของน้องน้อยด้วยรอยยิ้มเป็นสุข

            “พี่ก็ด้วย” สองเด็กชายไม่ยอมน้อยหน้าจึงได้พูดออกมาบ้าง

            โม่โฉวยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความชื่นใจที่หลาน ๆ ของตนเป็นเด็กดีและรู้ความกันทุกคน

            “มันเผาได้แล้วมากินก่อนเถอะ” น้ำเสียงของย่าทำให้เด็กชายทั้งสามหันไปมองพร้อมกัน “ครับ เป่าเป้ยพี่ไปกินมันเผาก่อนนะเอาไว้เมื่อไหร่น้องโตขึ้นพี่จะเผาให้น้องกินเหมือนกัน”

            ฟางซินทำเพียงยิ้มหวานให้พี่ชายคนโตของตน หลังจากเด็กทั้งสามกินมันเทศเผาลงท้องเรียบร้อย นางโม่ก็เดินมาอุ้ม      ฟางซินโดยมีตะกร้าสะพายหลังตามเดิม

            ผู้เป็นย่าพาหลานชายทั้งสามเดินลัดเลาะไปทางป่าริมภูเขาซึ่งเป็นคนละฝั่งกับแปลงข้าวโพด “จะไปไหนกัน” เสียงทักทายจากเพื่อนบ้านถามขึ้นตามประสาคนคุ้นเคย

            “ว่าจะไปจับปลา ไปก่อนนะ” นางโม่ตอบตามจริง สองเท้าของนางพาหลาน ๆ เดินลัดเลาะไปตามท้องทุ่งจนถึงริมลำธารแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างลับตา

            “เอาละจับปลากันตรงนี้แหละน้ำค่อนข้างตื้นปลาก็เยอะ พวกหลานดูน้องนะย่าจะลงน้ำเอง” นางโม่ไม่พูดเปล่านางได้ส่งหลานตัวน้อยให้กับต้าซวน จากนั้นจึงได้พับขากางเกงขึ้นเหนือหัวเข่า

            ฟางซินตัวน้อยนอนคิดถึงความฝันของเมื่อวานเจ้าตัวจึงได้ตั้งสมาธิและนึกถึงปลาในน้ำ

            “พวกเจ้าที่คิดว่าตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ขอสักห้าตัว” สิ้นคำพูดนี้ยังไม่ทันที่คนเป็นย่าจะเดินลงน้ำ

            ปลาตัวใหญ่คะเนจากสายตาน้ำหนักน่าจะราวสองถึงสามชั่งก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำถึงห้าตัว “ย่า! ปะ...ปลา มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ว่าแต่ทำไมพวกมันถึงกระโดดขึ้นมาจากน้ำได้ล่ะครับ” ซีห่าวเรียกย่าเสียงดังพร้อมกับถามขึ้นอย่างตกใจ

            “ย่าเองก็ไม่รู้” นางโม่พูดขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นต้าซวนก็พูดขึ้นเมื่อมองเห็นใบหน้าแย้มยิ้มของน้องสาวในอ้อมแขน “ย่า น้องสาวยิ้ม”

            นางโม่รีบเดินเข้าไปหาหลานตัวน้อยก่อนถามขึ้นอย่างโง่งม “เป่าเป้ยเรื่องนี้เกิดเพราะหลานหรือไม่” นางคิดว่าตัวเองช่างเหลวไหลไปใหญ่แล้ว

            แต่ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอืออาของคนตัวเล็กนางก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตระหนก

            “รีบไปหาเถาวัลย์มาร้อยปลาเตรียมกลับบ้าน จำไว้ว่าปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับและห้ามพูดเรื่องของน้องสาวออกไปโดยเด็ดขาด เพราะหากมีคนรู้พวกเราจะไม่ได้เห็นหน้าน้องสาวอีกเข้าใจไหม” นางโม่รีบกล่าวกำชับหลานชายทั้งสามเสียงเครียด

            “ครับ ปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับ” เด็กทั้งสามกล่าวออกมาพร้อมกันเพียงแค่พวกเขาคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของน้องสาวตัวน้อยอีกเด็กทั้งสามก็พากันตัวสั่น

            “เป่าเป้ยหากหลานจะทำอะไรแบบนี้อีกหลานต้องระวังให้มากอย่าให้คนอื่นเห็นนะเข้าใจไหม” แม้ว่าโม่โฉวจะยังไม่มั่นใจในเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะหลานสาวคนเล็ก      ก็ตามแต่นางจำต้องกล่าวเตือนออกมาก่อน ฟางซินกะพริบตาส่งเสียงอื้ออ้ารับคำ

            (หลานสาวของฉันน่าทึ่งเกินไปหรือไม่) นางโม่ได้แต่คิดพลางโอบอุ้มหลานสาวแนบอกอย่างปกป้อง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่10 หลานของย่าอย่าหลับไปนานแบบนี้อีกนะ

    สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่9 เป่าเป้ยของย่าดีที่สุด

    “พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่8 หลานสาวของฉันชื่อกู้ฟางซิน

    นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่7 นี่คือเงินหลานรักของฉัน

    “น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่6 หลานของฉันต้องอายุยืน

    ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   ตอนที่5 หลานรักเจ้ายังกินไม่ได้

    หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status