เช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่ฟ้าจะสว่างผู้คนมากมายแต่ละครัวเรือนก็เริ่มทยอยเดินออกจากบ้าน การกินข้าวของคนในยุคนี้จะกินกันช่วงเที่ยงจากนั้นก็จะกินอีกครั้งหลังเลิกงาน
สาเหตุที่พวกเขาต้องรีบไปลงไร่ลงนาแต่เช้าเนื่องจากอากาศยังไม่ร้อนหากสายกว่านี้ก็จะต้องใช้แรงมากขึ้น
เพราะแสงแดดระหว่างวันเริ่มสาดแสงถึงแม้ว่าช่วงนี้จะยังมีลมเย็นพัดมาก็ตาม กระนั้นสำหรับคนทำงานกลางแจ้งย่อมต้องเหนื่อยล้ากว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
คนบ้านกู้ในตอนนี้ทั้งซานไห่กับเอ๋อกั๋วต่างแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีเข้มรองเท้าหนังซึ่งเป็นคู่เก่าเก็บที่คนทั้งสองต่างทะนุถนอมมาอย่างดีเพราะรองเท้าคู่นี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของพี่ชายคนโตที่ใช้เลือดเนื้อแลกกับเงินส่งมาให้ทางบ้าน
กล่าวถึงบุตรชายคนโตของนางโม่กับสามีผู้ตายจาก บุตรคนนี้ได้สมัครเข้าร่วมกองทัพเมื่อปี1950 ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีเต็ม สิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้รับหลังจากบุตรชายจากไปสามปีคือจดหมายรวมถึงเงินที่เขามักจะส่งมาทุกเดือนไม่เคยขาด
แม้นางโม่จะดีใจที่ได้รับจดหมายจากลูกทว่าสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดก็คือหวังให้ลูกชายกลับมาหาตนอย่างปลอดภัยโดยเร็ววันอย่าได้โชคร้ายตายจากเหมือนกับผู้เป็นพ่อ
ย้อนกลับไปในวันที่นางได้ทราบข่าวถึงการเสียชีวิตของสามี จำได้ว่าตอนนั้นนางแทบล้มทั้งยืนแม้ว่าจะทำใจไว้บ้างแล้วก็ตามเช่นเดียวกับลูกชายทั้งสาม
และยังไม่ทันที่ความเสียใจต่อจากการจากไปของผู้เป็นพ่อจะคลายลงพี่ชายผู้ที่แก่กว่าซานไห่ถึงห้าปีก็ไปแอบสมัครเข้าร่วมกับกองทัพในปีถัดมา ซึ่งในตอนนั้นเขากับพี่รองยังเรียนหนังสืออยู่
“อาไห่ แกคิดอะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานก็ไม่ขาน” เอ๋อกั๋วยกมือจับบ่าของน้องชายพลางถามออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรครับ พวกเรารีบไปกันเถอะหากไปช้ามากกว่านี้ได้เดินเข้าเมืองกันแน่” ซานไห่ส่ายศีรษะตอบปฏิเสธ
“อืม แต่ก่อนไปพี่ขอเข้าไปบอกหลานสาวตัวน้อยก่อนนะ รับรองพวกเราย่อมโชคดีตลอดวัน” เอ๋อกั๋วไม่รอให้น้องชายตอบรับ เจ้าตัวก็รีบสาวเท้ามุ่งไปทางห้องของมารดาเสียแล้วโดยมีซานไห่มองตามด้วยรอยยิ้มขัน
“ไปหอมแก้มลูกน้อยบ้างดีกว่า” เขาพึมพำพลางเดินตามพี่คนรองไปติด ๆ
“แม่ครับ หลานน้อยตื่นหรือยัง” เอ๋อกั๋วส่งเสียงออกไปก่อนตัว “จะเสียงดังทำไม หากหลานสาวของฉันตกใจขึ้นมาละก็ฉันจะตีแก” โม่โฉวกล่าวขู่ออกมาจากภายในห้อง
ฟางซินส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ผู้เป็นย่าถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“อาไห่ อากั๋ว แกรีบเปิดประตูเข้ามาเร็วเข้า เป่าเป้ย” น้ำเสียงอันแตกตื่นของผู้เป็นแม่ยังพูดไม่ทันจบ
เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น “แม่ เป่าเป้ยเป็นอะไร” น้ำเสียงของซานไห่เริ่มร้อนรน
“เธอหัวเราะ” “ห๊ะ! แม่ว่าอะไรนะ เป่าเป้ยหัวเราะไม่ใช่ว่าแม่หูฝาดหรอกหรือ” จบคำของลูกชายคนรอง เสียงเพียะ! ก็ดังขึ้นที่ต้นแขนของเขาทันที
“แม่ตีผมทำไม” เอ๋อกั๋วถามขึ้นสีหน้าแหยเก
“ก็สมควรไหมล่ะ จู่ ๆ มาหาว่าแม่หูฝาด แกลองไปดูที่เตียงสิอาไห่ยังหยอกล้อกับลูกอยู่เลย”
เอ๋อกั๋วจึงได้เดินเข้าไปและก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของหลานตัวน้อยเข้าจริง ๆ เด็กหญิงหัวเราะเริงร่าตีแขนขา ป้อม ๆ ไปมาอย่างถูกใจยามพ่อของตนแลบลิ้นปลิ้นตา
“แม่ หลานน้อยหัวเราะ”
นางโม่ส่งค้อนให้บุตรชายคนกลางก่อนมองเมินไม่สนใจเขาอีก “เป่าเป้ย หลานหิวหรือยัง” ฟางซินส่งเสียงร้องออกมาสามครั้ง “หิวแล้วสินะ ย่าจะพาหลานไปกินนม ว่าแต่แกสองคนไม่รีบไปรายงานตัวอย่างนั้นหรือ”
คำถามของผู้เป็นแม่ได้ทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา “ไปครับ แต่จะมาขอโชคจากหลานน้อยก่อน” เอ๋อกั๋วยกมือลูบท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อเขิน
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกกับหลานสิ” โม่โฉวอุ้มเด็กตัวเล็กเข้าไปใกล้ใบหน้าของลูกชายทั้งสองคน “เป่าเป้ยอวยพรให้พ่อกับลุงโชคดีด้วยนะครับ” ซานไห่พูดกับลูกสาวเสียงนุ่ม
“เป่าเป้ย หากลุงกับพ่อทำงานได้ราบรื่นได้เงินมาเมื่อไหร่ลุงจะซื้อไก่มาตุ๋นให้กินนะ” หลังเอ๋อกั๋วพูดจบประโยคชายหนุ่มก็ถูกสายตาพิฆาตของมารดามองแรง
“หลานยังกินได้แต่นมเผื่อแกลืม” โม่โฉวพูดดักคอ ฟางซินหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายร้องไห้ของคนเป็นลุง เสียงคิกคักของเด็กหญิงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามพากันอารมณ์ดี
“ไปได้แล้ว แม่ก็ขอให้แกสองคนโชคดีเช่นกัน หากพี่ใหญ่ของแกได้กลับมาก็คงดี” นางโม่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทว่าน้ำเสียงตอนท้ายค่อนข้างแผ่วเบาจนทำให้คนฟังรู้สึกเศร้า
“แม่ครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานพี่ใหญ่จะต้องได้กลับมาแน่” ซานไห่กล่าวปลอบใจมารดาก่อนที่จะหันไปทางลูกน้อยที่นิ่งคล้ายฟังการสนทนาของพวกเขารู้เรื่อง “หากลุงใหญ่ของลูกรู้ว่าตัวเองมีหลานสาวเขาจะต้องรีบกลับมาดูหนูเป็นแน่”
โม่โฉวดวงตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว แม่ยังไม่ได้ให้แกเขียนจดหมายถึงพี่เลยนี่ อาไห่แกรีบไปเขียนจดหมายส่งไปบอกข่าวดีนี่กับเจ้าใหญ่ด้วย ทำไมแม่ลืมเสียสนิท”
“ครับ ผมจะรีบทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้เลย” คำตอบอันแสนทะเล้นของบุตรชายคนเล็กทำให้เกิดเสียงหัวเราะภายในห้องขึ้นอีกครั้ง
คล้อยหลังสองพี่น้องเดินออกจากบ้านไปไกลแล้ว นางโม่ก็หันมากล่าวกับเด็กน้อยในอ้อมแขน “พวกเราไปทุ่งนากันเถอะ แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รองรวมถึงพี่ ๆ ต่างก็ไปที่นั่นกันนานแล้ว”
คำพูดของคนเป็นย่าทำให้ฟางซินรู้สึกสะดุดใจแบบแปลก ๆ (คงไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรอกใช่ไหม)
สายตากลมดำราวเมล็ดองุ่นของหลานสาวที่จ้องตาของตนทำให้นางโม่หัวใจอ่อนยวบ “หลานหิวมากไหม อดทนหน่อยนะย่าจะรีบเดิน”
ฟางซินพยายามส่งเสียงอ้อแอ้ (แปลได้ว่าย่าไม่ต้องรีบ หนูทนได้) ทว่าเสียงนี้กลับไปไม่ถึงหูของผู้เป็นย่า นางโม่รีบเดินไปทางไร่ข้าวโพดโดยไม่หยุดพัก
เมื่อเจ้าตัวมาถึงก็เห็นหลานชายสามคนยกเว้นต้าโถวกับกู้เอ่อที่ไปโรงเรียน “ต้าซวนแม่ของหลานอยู่ตรงไหน”
“ย่า น้องหิวหรือครับผมจะไปตามแม่ให้” เจ้าของชื่อหยุดขีดเขียนบนพื้นดินแหงนหน้าพลางถามคนเป็นย่า
“ใช่ น้องสาวของหลานหิวแล้วว่าแต่พวกหลานหิวกันไหม เมื่อย่ากลับไปย่าจะเผามันให้กิน” โม่โฉวตอบพร้อมกับถามหลานชายทั้งสามคนที่มีรูปร่างผอมอย่างเป็นห่วง
แม้ยุคนี้จะต้องประหยัดอาหารแต่กับหลาน ๆ นั้นนางไม่อยากให้พวกเขาอยู่อย่างลำบากและทนหิวเช่นผู้ใหญ่
“หิวครับ” สามเด็กชายเอามือลูบท้องตอบออกมาพร้อมกัน
ฟางซินฟังบทสนทนาด้วยหัวใจอันหวาดหวั่น (ในตอนนี้ฉันอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดถึงต้องกินมันเทศเผาแทนข้าว) คำถามซึ่งไร้คำตอบทำให้ใบหน้าของเด็กน้อยเริ่มไม่น่าดู
“ได้ หลังจากน้องสาวของหลานกินนมอิ่มย่าจะกลับไปเผามันเทศให้คนละหัว” นางโม่ตอบรับหลานชายโดยไม่เกี่ยงงอน
“อัยย๊ะ! คนบ้านกู้นี่ช่างน่าอิจฉาเสียจริงลูกชายคนโตก็ได้เป็นทหารมีเงินส่งมาทุกเดือน
ส่วนคนรองกับคนเล็กก็ยังได้ทำงานโรงงานอีก ถึงว่าในยุคที่ผู้คนกำลังประหยัดหล่อนยังกล้าเผามันให้หลาน ๆ ได้กินคนละหัว
เป็นฉันละคงไม่กล้าหรอกทำเพียงต้องนำมาหั่นต้มรวมกับข้าวเท่านั้นแหละช่างมือเติบเสียจริง” น้ำเสียงแสดงความอิจฉาดังออกมาจากปากของคู่ปรับเจ้าเดิมตั้งแต่สมัยที่นางโม่แต่งเข้าบ้านกู้มาใหม่ ๆ ดังขึ้น
“เสียงนกเสียงกานี่ช่างน่ารำคาญเสียจริง เป่าเป้ยหลานอย่าไปฟังนะ” นางโม่ลอยหน้าลอยตาพูดขึ้นราวชมนกชมไม้
ส่วนคนฟังก็ได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เพราะผู้ที่ตนตั้งใจต่อว่าหาได้สนใจในตัวเองไม่
และในขณะที่เจ้าตัวกำลังจะเปิดปากอีกครั้งก็มีเสียงดังของแม่สามีดังขึ้นจากด้านหลัง “หล่อนจะยืนอู้อีกนานไหม รีบไปทำงาน หากค่าแรงถูกตัดละน่าดู”
สะใภ้บ้านอู๋ที่ยังปากดีอยู่เมื่อครู่ทำท่าทางคล้ายแมวหวาดกลัวหนู เธอจึงได้รีบเดินไปทำงานของตนทันที
“ย่า พวกเราไปหาปลาได้ไหม” คำถามของซีห่าวทำให้ โม่โฉวหันมาสนใจหลานชายอีกครั้ง
“ย่าไปด้วยก็แล้วกัน เอาเป็นว่าพวกแกกลับบ้านไปกับย่าก่อนหลังจากกินมันเผาพวกเราค่อยไปจับปลา”
“ดีครับ” เด็กสองคนไม่มีใครค้าน
เวลาผ่านไปราวสิบนาที ร่างของต้าซวนก็เดินเคียงข้างมากับลี่จิน “เป่าเป้ย แม่ของหลานมาแล้ว” ลี่จินคิดจะรับตัวลูกสาวทว่าแม่สามีกลับไม่ยอมส่งให้ “ไปล้างมือก่อน จากนั้นค่อยไปหาที่ลับ ๆ ให้นมเป่าเป้ย”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย พร้อมกันนั้นก็มองมือของตนไปด้วยและเมื่อเห็นสภาพมือของตนเธอก็รู้สึกอายเพราะมันเลอะคราบดินคราบโคลนทั้งสองข้าง
หลังจากลูกสะใภ้เดินไปทางริมลำธาร นางโม่ก็พาหลานทั้งสี่คนรวมเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนไปนั่งยังร่มไม้ใหญ่
ทางด้านลี่จินหล่อนรีบล้างมือจนเจ้าตัวเห็นว่าทั้งหน้าและหลังสะอาดดี หล่อนจึงได้เดินไปหาแม่สามีกับบุตรชายหญิง “เอาละแม่กับเด็ก ๆ จะกั้นผ้าให้ลูกรีบให้นมเป่าเป้ยซะ”
แม่สามีผู้รอบคอบได้นำผ้าที่เธอนำใส่ตะกร้าหวายสะพายหลังขึงออกเป็นผืนยาวซึ่งผ้าผืนนี้เธอซื้อมาด้วยเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ลี่จินพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งในสิ่งที่แม่สามีกระทำให้กับตนเป็นอย่างมาก (จะมีสักกี่คนที่รอบคอบและดีกับลูกสะใภ้เช่นแม่สามีของหล่อนกัน) หญิงสาวคิดในขณะเปิดเต้าให้ลูกน้อยได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารของเจ้าตัว
ฟางซินดูดกลืนน้ำนมจากอกของมารดาทั้งสองข้างจนเต้าเต่งตึงของผู้เป็นแม่เริ่มแฟบเด็กหญิงจึงได้หยุดปาก
“ลูกรัก อิ่มหรือไม่” ลี่จินถามเมื่อเห็นว่าบุตรสาวปล่อยเต้าของตนออกจากปาก ฟางซินอยากจะตอบเหลือเกินว่าอิ่มมากแต่ก็ต้องจนใจ
เมื่อลี่จินไม่เห็นว่าลูกของตนจะกินอีกหล่อนจึงได้อุ้มลูกขึ้นพาดบ่าและลูบหลังให้เบา ๆ เสียงเรอของคนตัวเล็กทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข
“อิ่มแล้วสินะ” นางโม่พูด จากนั้นหล่อนจึงได้พับผ้าเก็บใส่ตะกร้าตามเดิม
“แม่ไปแล้วนะ ตอนเที่ยงจะเอาข้าวมาส่งบอกกับเสี่ยวเซียนด้วย” โม่โฉวพูดขึ้นในขณะรับหลานน้อยมาแนบอก
“ค่ะ”
เด็กชายสามคนก็เดินตามย่ากลับบ้านราวลูกเป็ดเดินตามแม่ ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
“เอาละพวกหลานดูแลน้องสาวให้ดีนะ ย่าจะไปเผามันมาให้กิน จากนั้นเราจะไปจับปลากัน” นางโม่พูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงบ้านและวางหลานสาวลงบนเก้าอี้หวายตัวเก่าซึ่งเป็นของสามีผู้ลาลับ
“ครับ” เด็กชายสามคนตอบรับเสียงดัง ในเวลานี้ฟางซินดวงตาเริ่มมองเห็นชัดขึ้น
เธอถึงกับตกใจเมื่อมองเห็นสภาพของพี่ชายทั้งสามคนที่ผอมบางราวกับกระดาษผิวของแต่ละคนก็เป็นสีทองแดง
“น้องสาว พี่คือพี่ใหญ่นะชื่อกู้ซีซวน” ต้าซวนพูดไปยิ้มไปให้น้องสาวผู้น่ารักราวตุ๊กตาในภาพวาดช่วงปีใหม่
“ผมพูดกับน้องด้วย น้องสาวพี่ชื่อกู้ซีห่าวนะครับเป็นพี่รอง” เด็กชายผู้มีใบหน้าคล้ายพี่ชายคนโตกล่าวด้วยรอยยิ้มจนตาปิด
“ให้พี่แนะนำตัวบ้าง น้องสาวพี่คือกู้ซานเหมาเป็นลูกของกู้เอ๋อกั๋วลุงรองของน้องนะพวกเราเป็นพี่น้องกัน”
ฟางซินส่งยิ้มออกมาให้พวกเขาจนน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปาก “อาห่าวไปหาผ้าเช็ดหน้ามา” ซีซวนบอกน้องชายเมื่อเห็นน้ำลายของน้องสาว “ครับ”
ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มจากมือของน้องชายส่งให้กับคนเป็นพี่ ซีซวนรับผ้ามาเช็ดน้ำลายให้น้องน้อยอย่างเบามือ
“น้องสาวพี่จะคอยดูแลน้องเอง” เจ้าตัวพูดขึ้นพลางมองใบหน้าขาวเนียนของน้องน้อยด้วยรอยยิ้มเป็นสุข
“พี่ก็ด้วย” สองเด็กชายไม่ยอมน้อยหน้าจึงได้พูดออกมาบ้าง
โม่โฉวยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความชื่นใจที่หลาน ๆ ของตนเป็นเด็กดีและรู้ความกันทุกคน
“มันเผาได้แล้วมากินก่อนเถอะ” น้ำเสียงของย่าทำให้เด็กชายทั้งสามหันไปมองพร้อมกัน “ครับ เป่าเป้ยพี่ไปกินมันเผาก่อนนะเอาไว้เมื่อไหร่น้องโตขึ้นพี่จะเผาให้น้องกินเหมือนกัน”
ฟางซินทำเพียงยิ้มหวานให้พี่ชายคนโตของตน หลังจากเด็กทั้งสามกินมันเทศเผาลงท้องเรียบร้อย นางโม่ก็เดินมาอุ้ม ฟางซินโดยมีตะกร้าสะพายหลังตามเดิม
ผู้เป็นย่าพาหลานชายทั้งสามเดินลัดเลาะไปทางป่าริมภูเขาซึ่งเป็นคนละฝั่งกับแปลงข้าวโพด “จะไปไหนกัน” เสียงทักทายจากเพื่อนบ้านถามขึ้นตามประสาคนคุ้นเคย
“ว่าจะไปจับปลา ไปก่อนนะ” นางโม่ตอบตามจริง สองเท้าของนางพาหลาน ๆ เดินลัดเลาะไปตามท้องทุ่งจนถึงริมลำธารแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างลับตา
“เอาละจับปลากันตรงนี้แหละน้ำค่อนข้างตื้นปลาก็เยอะ พวกหลานดูน้องนะย่าจะลงน้ำเอง” นางโม่ไม่พูดเปล่านางได้ส่งหลานตัวน้อยให้กับต้าซวน จากนั้นจึงได้พับขากางเกงขึ้นเหนือหัวเข่า
ฟางซินตัวน้อยนอนคิดถึงความฝันของเมื่อวานเจ้าตัวจึงได้ตั้งสมาธิและนึกถึงปลาในน้ำ
“พวกเจ้าที่คิดว่าตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ขอสักห้าตัว” สิ้นคำพูดนี้ยังไม่ทันที่คนเป็นย่าจะเดินลงน้ำ
ปลาตัวใหญ่คะเนจากสายตาน้ำหนักน่าจะราวสองถึงสามชั่งก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำถึงห้าตัว “ย่า! ปะ...ปลา มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ว่าแต่ทำไมพวกมันถึงกระโดดขึ้นมาจากน้ำได้ล่ะครับ” ซีห่าวเรียกย่าเสียงดังพร้อมกับถามขึ้นอย่างตกใจ
“ย่าเองก็ไม่รู้” นางโม่พูดขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นต้าซวนก็พูดขึ้นเมื่อมองเห็นใบหน้าแย้มยิ้มของน้องสาวในอ้อมแขน “ย่า น้องสาวยิ้ม”
นางโม่รีบเดินเข้าไปหาหลานตัวน้อยก่อนถามขึ้นอย่างโง่งม “เป่าเป้ยเรื่องนี้เกิดเพราะหลานหรือไม่” นางคิดว่าตัวเองช่างเหลวไหลไปใหญ่แล้ว
แต่ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอืออาของคนตัวเล็กนางก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตระหนก
“รีบไปหาเถาวัลย์มาร้อยปลาเตรียมกลับบ้าน จำไว้ว่าปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับและห้ามพูดเรื่องของน้องสาวออกไปโดยเด็ดขาด เพราะหากมีคนรู้พวกเราจะไม่ได้เห็นหน้าน้องสาวอีกเข้าใจไหม” นางโม่รีบกล่าวกำชับหลานชายทั้งสามเสียงเครียด
“ครับ ปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับ” เด็กทั้งสามกล่าวออกมาพร้อมกันเพียงแค่พวกเขาคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของน้องสาวตัวน้อยอีกเด็กทั้งสามก็พากันตัวสั่น
“เป่าเป้ยหากหลานจะทำอะไรแบบนี้อีกหลานต้องระวังให้มากอย่าให้คนอื่นเห็นนะเข้าใจไหม” แม้ว่าโม่โฉวจะยังไม่มั่นใจในเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะหลานสาวคนเล็ก ก็ตามแต่นางจำต้องกล่าวเตือนออกมาก่อน ฟางซินกะพริบตาส่งเสียงอื้ออ้ารับคำ
(หลานสาวของฉันน่าทึ่งเกินไปหรือไม่) นางโม่ได้แต่คิดพลางโอบอุ้มหลานสาวแนบอกอย่างปกป้อง
หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นโดนแม่ทำโทษแน่” เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวคลี่กระดาษที่ถูกม้วนเข้าหากันให้คลายออกอย่างทะนุถนอม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น “แม่แน่ ๆ” เจ้าตัวคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าเสร็จสรรพ “น้าเสี่ยวเซิงว่าอะไรนะคะ น้ารอหนูอยู่ข้างล่างเหรอ เอ๋! น้าพาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วยหนูจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวคนสวยกดวางสายก่อนหย่อนมือถือรุ่นล่าสุดที่บริษัทขอ
สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกผมก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าและตอบแทนเธอไปจนกว่าชีวิตจะดับสูญ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวกู้จะมีความรักให้ผมอย่างท่วมท้นทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่บุญธรรมที่คิดว่าตัวผมนั้นคือเลือดเนื้อในอกของตนอย่างแท้จริง ซึ่งยิ่งเมื่อผมได้ฟังเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าเธอมีน้ำนมให้ผมดื่มกินตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้น หากไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวรวมถึงพี่สาวสุดที่รักของผมยืนยันผมคงคิดว่าเรื่องเล่านี้คงเป็นเรื่องโกหก 
“พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเป็นเพราะเขามองท่าทางของศิษย์คนโปรดออก “แหะ ๆ ผมก็ลืมไปมักจะคิดว่าพ่อยังหนุ่มอยู่เรื่อย” คำแก้ตัวของเจียอินทำให้ชายชรามองเขาตาเขียว “แกเอาตาไหนดูว่าฉันยังหนุ่มเห็นทีว่าสายตาของแกคงจะยิ่งแย่กว่าคนแก่อย่างฉันเสียอีก หล่อนเห็นด้วยไหมศิษย์รัก” ถ้อยคำจิกกัดของอู๋เหยียนหาได้ทำให้เจียอินรู้สึกอันใดไม่ ตรงกันข้ามเขายังแย้มยิ้มยอมรับอีกต่างหาก “ฉันว่าที่พี่เจียอิน
ความนัยใจของผมถึงภรรยาสุดที่รัก ในช่วงเย็นของทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นอย่างแรกและทุกครั้งก็คือการมองหาภรรยาเช่นเดียวกับวันนี้เมื่อผมถามหาเธอจากเด็กรับใช้ สองเท้าของผมเดินมาทางห้องครัว ผมจึงได้เร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นหลังจากได้กลิ่นหอมซึ่งผู้ที่กำลังทำอาหารอยู่นั้นจะต้องเป็นสุดที่รักของผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อสองสายตามองเห็นหญิงสาวร่างบางรวบผมเป็นหางม้ากำลังยืนหันหน้าเข้าหาเตา ขาทั้งสองข้างของผมยังไม่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาหล่อนในทันทีแม้ว่าใจอยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ทั้งนี้เป็นเพราะผมกำลังยืนนิ่งมองผู้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำด้วยค
หลายวันผ่านไปข่าวคราวของพวกเขายังคงเงียบงัน ฟางซินเองแม้อยากจะไปดูให้เห็นกับตาทว่าก็จนใจด้วยสถานที่แห่งนั้นเธอกับเสี่ยวหม่าวยังไม่เคยไปมาก่อน ‘ท่านเทพได้โปรดอย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ’ ฟางซินอ้อนวอนร้องขอเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายของตนกับคนรักกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหนานเสิ่นกับมู่เฉินได้ย้อนกลับมาช่วยคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะความโลภคนกลุ่มนี้จึงได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำตัวเป็นโจรหมายจะปล้นชิงสิ่งของมีค่าของผู้อื่นแต่ทว่าเป็นพวกเขาเองที่โดนคนประเภทเดียวกันเล่นงาน “อาเสิ่นนายหนีไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นมีอาวุธร
ฟางซินเริ่มฝึกงานหลังวันปีใหม่ บริษัทแห่งนี้เป็นอาคารสูงห้าชั้น ซึ่งในยุคนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ยังไม่มีมีลิฟท์ หญิงสาวจึงรู้สึกทดท้อเป็นอย่างมากหากจะต้องให้เธอเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสุดท้าย “เอ๋! ที่นี่สมกับเป็นบริษัทข้ามชาติมีลิฟท์ด้วย” ฟางซิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารแล้วมองเห็นประตูลิฟท์ที่กำลังปิดแม้ว่าจะมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ตาม หลังจากเจ้าตัวกดลิฟท์รออยู่สักพักในที่สุดประตูของมันก็เปิดออก ฟางซินก้าวเท้าของตนเข้าไปอย่างไม่รอช้า ชุดที่หญิงสาวสวมมาวันนี้ค่อนข้างเรียบร้อยดูดีมากว่าทุกวัน อีกทั้งยังค่อนข้างทันสมัยมีเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนสวมอยู่ภายนอก จึงยิ่งเพิ