หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
“ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง
“ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว
สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า
“เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”
คำพูดอันไร้เดียงสาของพี่ชายทำให้ฟางซินหันศีรษะเล็กจ้อยมองไปยังกิ่งของต้นผิงกั่วที่ตนเห็น
ก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตาเพื่อลองในสิ่งที่ฝันถึงอีกครั้ง เวลาเพียงไม่นานหลังจากฟางซินลืมตาขึ้นกิ่งของผิงกั่วที่มีผลดิบในบัดนี้ผลของมันได้เติบโตอีกทั้งยังลูกใหญ่พร้อมกิน
ลูกบางส่วนของมันหล่นลงใต้ต้น ซีซวนมองความอัศจรรย์ตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง
ในระหว่างที่เด็กชายยังไม่สามารถจับต้นชนปลายได้กิ่งของต้นผิงกั่วได้ยืดลงมาทางน้องสาวตัวน้อยพร้อมกับผลมากมายหลายลูก
ฟางซินส่งเสียงอื้ออ้าเรียกซีซวนเพื่อให้เก็บผลของมัน ผู้เป็นพี่รีบเก็บผลผิงกั่วสีแดงลูกใหญ่ด้วยความเร็วเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเห็น
และหลังจากที่เขาเก็บผลผิงกั่วกิ่งนี้หมดกิ่งต่อไปก็โน้มตัวลงมาหาเขาอีกซึ่งเป็นอย่างนี้อยู่สี่ครั้ง
จากนั้นต้นผิงกั่วก็มีผลดิบติดที่กิ่งเช่นเดิมก่อนที่ซีซวนจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน
น้ำเสียงของผู้เป็นย่าก็ดังขึ้นเรียกสติของเขาขึ้นเสียก่อน “เสี่ยวซวน หลานไปเอาผิงกั่วมาจากไหนมากมาย” นางโม่มอง ผลไม้ราคาแพงหลายลูกที่กองอยู่กับพื้นถามหลานชายอย่างตกใจ
“พี่ใหญ่ กินได้ไหม” ซีห่าวถามออกมาบ้างอย่างคาดหวังซึ่งน้ำลายของเจ้าตัวสออยู่ในปากเช่นเดียวกับซานเหมา
“ย่า ผมมีเรื่องจะบอกอาห่าวไปปิดประตูบ้านก่อน” ความสุขุมของเด็กชายทำให้ฟางซินรู้สึกประหลาดใจ (พี่ชายคนนี้ใช้ได้ทีเดียวหรือว่าเขาจะย้อนกลับมาเกิดใหม่เหมือนเรา)
ซีห่าววิ่งไปทำตามคำสั่งของพี่ชายอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ได้มีผลมากนัก เนื่องจาก ฟางซินได้ใช้พลังจิตของตนสำรวจจนทั่วบริเวณแล้วว่าไม่มีคนอื่น
“พูดมาเร็วเข้าว่าผลผิงกั่วมากมายเหล่านี้มาจากไหน” นางโม่เร่ง “คืออย่างนี้ครับ......” ซีซวนเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าออกมาอย่างละเอียด
สายตาของนางโม่ย้ายไปมองหลานสาวที่กำลังนอนหัวเราะคิกคักทันทีพร้อมกับรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเด็กหญิงตัวน้อย
“เป่าเป้ยเป็นฝีมือหลานอีกแล้วอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของนางโม่อ่อนใจ ฟางซินทำเพียงส่งยิ้มหวานพร้อมกับน้ำลายไหลยืดออกมาอย่างน่ารัก (ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้จะให้คนนอกรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด)
“หลานทั้งสามคนฟังย่าให้ดีนะ เรื่องในวันนี้ทั้งหมดห้ามบอกใครอย่างเด็ดขาด แม้แต่พ่อแม่ของหลานด้วยเอาไว้ย่าจะเป็นคนจัดการเอง หากมีคนอื่นรู้เข้าน้องสาวของพวกหลานจะไม่ปลอดภัยเข้าใจไหม”
“ครับ” เด็กชายทั้งสามคนรับคำเสียงหนักออกมาพร้อมเพรียง เพราะถึงแม้ว่าผู้เป็นย่าจะไม่สั่ง
พวกเขาก็ตั้งใจจะไม่บอกกับใครอยู่แล้ว ในเมื่อน้องสาวเป็นเทพธิดาและมีอาหารให้กินหากคนอื่นรู้จะต้องมาลักพาตัวน้องน้อยไปแน่ ๆ โม่โฉวยังคงหวาดวิตกจนกระทั่งหลงลืมในสิ่งที่ตัวเองกำลังต้มในกระทะ
จนกระทั่งกลิ่นหอมชวนกินลอยเข้าจมูกนั่นแหละนางจึงได้รู้ว่าตัวเองทำสิ่งใดค้างไว้ “แย่แล้ว! ปลาต้มผักกาดดองของฉัน พวกหลานรีบเก็บผิงกั่วซ่อนเอาไว้ในบ้านก่อนเก็บให้หมดนะเอาไว้ย่าจะมาผ่าให้กิน”
นางโม่ร้องขึ้นเสียงดังก่อนที่จะสั่งความหลานชายทั้งสามคนจากนั้นร่างกายผอมบางของเจ้าตัวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางครัวที่อยู่ด้านหลังอย่างว่องไว
ฟางซินกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยินคำว่าปลาต้มผักกาดดอง (ฉันอยากกินบ้างจัง) เด็กตัวเล็กทว่าจิตวิญญาณเป็นผู้ใหญ่ได้แต่คิดก่อนที่ท้องน้อย ๆ ของเจ้าตัวจะส่งเสียงร้องออกมา
“พี่ใหญ่ น้องเล็กน่าจะหิว” ซีห่าวบอกกับพี่ชายเพราะเจ้าตัวอยู่ใกล้น้องสาวมากที่สุดจึงได้ยินเสียงท้องร้องของคนที่นอนอยู่ในห่อผ้า
ฟางซินใบหน้าแดงด้วยความอาย (ไม่น่าคิดแต่จะกินเลยเรา อับอายชะมัด) หลังความคิดนี้จบลงเจ้าตัวก็ทำในสิ่งที่ต้องอับอายกว่าออกมา
เมื่อตัวเธอได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากตัวเอง (กลิ่นนี้ไม่นะ ฮือ ๆ เมื่อไหร่ฉันจะโตกัน) เด็กหญิงส่งเสียงร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“น้องสาวเป็นอะไรร้องไห้ทำไม” ซีห่าววางตะกร้าหวายที่ใส่ผลผิงกั่วลงบนพื้นวิ่งไปดูน้องสาวอย่างตกใจเช่นเดียวกับพี่ชายอีกสองคน
“อาห่าว ให้พี่ดูน้องเอง” ซีซวนเอามือตบเบา ๆ ไปยังห่อผ้าของน้องสาวสิ่งที่ติดมาก็คือน้ำแฉะ ๆ และกลิ่นที่ไม่ค่อยดีนัก
“น้องถ่าย พี่ซานเหมาไปตามย่า อาห่าวไปเอาผ้าอ้อมกับผ้าห่อตัวผืนใหม่มา” ซีซวนพูดในขณะที่มือเล็กของตนแกะห่อผ้าของน้องออก
นางโม่ผู้กำลังตักน้ำแกงใส่ในกล่องข้าวเมื่อหลานชายไปตามเจ้าตัวจึงได้วางงานในมือลง อีกทั้งยังล้างมือหลายครั้งจนมั่นใจว่าสะอาดและจะไม่ทำให้หลานสาวแสบตัวหล่อนจึงได้เดินออกมา
เมื่อเห็นว่าหลานชายคนที่สี่จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย นางก็พออกพอใจ “ย่า น้องถ่ายตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว” ซีซวนพูดเมื่อเห็นว่าน้องสาวหยุดร้องไห้แล้วคงเหลือไว้เพียงหยดน้ำที่หางตาเท่านั้น
“หลานสามคนช่วยเหลือย่าเลี้ยงน้องได้ดีมาก หลังจากกลับจากส่งอาหารกลางวันย่าจะให้ทุกคนกินผิงกั่วคนละลูกเป็นรางวัล
เด็กชายสามคนยิ้มแย้มออกมาอย่างถูกใจ ครั้นแล้วพวกเขาก็ส่ายหัวออกมาพร้อมกัน “ทำไม” นางโม่ถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นอาการของหลานชาย
“คนละครึ่งผลก็พอครับ เอาไว้ให้พี่ใหญ่ พี่รอง พ่อกับแม่กินด้วย ที่เหลือให้ย่าเอาไปขายเพื่อจะได้มีเงินมาซื้อผ้าตัดเสื้อให้เป่าเป้ย” คำตอบของซีซวนได้รับการสนับสนุนจากพี่ชายน้องชายทำให้นางโม่หัวใจพลันหวานล้ำด้วยความรู้สึกตื้นตัน
ฟางซินที่ได้ยินก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเป็นอย่างมาก (ฉันสาบานเลยเมื่อไหร่ที่โตขึ้นพี่ ๆ จะได้กินอิ่มจนเดินไม่ไหวเลยคอยดู)
“ได้ ย่าจะทำตามที่หลานต้องการ” นางโม่พูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่นางจัดการทำความสะอาดร่างกายของหลานสาวเรียบร้อย หญิงวัยกลางคนก็พาหลานทั้งสี่เดินไปทางทุ่งข้าวโพดโดยในมือของหลานชายทั้งสามมีกล่องข้าวกับกล่องใส่ปลาต้มผักกาดดองรสเผ็ดถึงสองกล่องเนื่องจากนางโม่กับหลานต้องการมากินข้าวพร้อมกับลูกสะใภ้
เด็กชายสามคนเดินท่องตัวอักษรที่พี่ชายสองคนสอนให้มาตลอดทางรวมถึงแบบเรียนอย่างอื่นด้วยซึ่งฟางซินก็นอนฟังอย่างใคร่รู้
จนกระทั่งถึงประโยคหนึ่งที่พี่ใหญ่ของตนกล่าวถึงท่านผู้นำขนหัวบนศีรษะเล็กของเจ้าตัวก็ลุกชัน (ไม่จริงฉันคงไม่ได้มาเกิดในยุค60-70 หรอกนะ) คนตัวเล็กเริ่มหน้าเบ้คล้ายจะร่ำไห้
โม่โฉวมองใบหน้าหลานสาวด้วยความเป็นห่วง “เป่าเป้ย หลานเป็นอะไรทำไมถึงทำหน้าจะร้องไห้กันล่ะ” น้ำเสียงอ่อนโยนของย่าทำให้ฟางซินปรับอารมณ์ของตนก่อนที่จะส่ายใบหน้าเล็กไปมา
“หิวอย่างนั้นหรือ” นางโม่ถามออกมาอีก
ฟางซินจึงส่งเสียงออกมาสามครั้ง “อีกไม่นานก็ถึงทุ่งข้าวโพดแล้วอดทนหน่อยนะ” เสียงอื้ออ้าจากฟางซินทำให้โม่โฉววางใจลง
เสียงสัญญาณพักกลางวันดังขึ้น ก็พอดีกับห้าคนของบ้านกู้เดินมาถึงร่มไม้ใหญ่ต้นเมื่อเช้า
“อาจิน รีบไปล้างมือมาให้นมเป่าเป้ยก่อน” นางโม่รีบตะโกนบอกลูกสะใภ้เมื่อเห็นว่านางจะเดินตรงมาทางที่เธอกับหลาน ๆ นั่งอยู่ “ค่ะแม่” ลี่จินรีบเดินไปล้างมือล้างเท้าอย่างรวดเร็ว
โดยมีหยูเซียนเดินไปล้างมือกับน้องสะใภ้ของตนด้วย สองสะใภ้บ้านกู้ต่างมีความรักและสามัคคีกันเป็นอย่างดี
แม้ว่าบ้านรองจะแยกบ้านออกไปแล้วก็ตาม กระนั้นนางกู้ก็ยังคงทำอาหารกลางวันให้กับทั้งสองบ้านด้วยความเต็มใจ
“แม่คะ วันนี้มีอะไรกินอย่างนั้นหรือเหมือนว่าฉันจะได้กลิ่นคล้ายกับปลาต้มผักกาดดองเผ็ดเลย” หยูเซียนพูดขึ้นหลังจากนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ร่มไม้ โดยที่มืออีกข้างก็จับผ้าขึงให้ ลี่จินให้นมบุตร
“จมูกดีนะเธอ ใช่แล้วละวันนี้แม่ไปที่ลำธารก็เลยจับปลามาได้หลายตัวก็เลยเอามาทำปลาต้มผักกาดดองสามตัวอีกสองตัวขังเอาไว้ก่อนเอาไว้ทำกินวันพรุ่ง” น้ำเสียงของนางโม่แม้จะไม่ดังแต่ก็ไม่เบา
จึงได้ทำให้คู่ปรับเก่ารู้สึกอิจฉาทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะนางโม่ไม่มีแม่สามียังอยู่เหมือนกับตน
แม้แม่สามีของตัวเองนั้นปีนี้จะอายุย่างเข้าแปดสิบแต่ทว่ากลับแข็งแรงอีกทั้งยังปากจัดด่าหล่อนไม่เว้นวัน
“บ้านกู้นี่กินดีอยู่ดีเหลือเกินนะ ฉันชักอิจฉาหล่อนขึ้นมาแล้วสิลี่จิน พี่หยูเซียนที่มีแม่สามีแบบป้าโม่” น้ำเสียงนี้เป็นของสหายวัยเยาว์ของลี่จินที่เติบโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน
“หล่อนอิจฉาก็บอกให้สามีไปทำงานโรงงานสิจะได้มีเนื้อกินหรือไม่ก็ไปหัดจับปลาเอาเองมีใครบ้างไม่รู้ปลาในลำธารจับยากจะตาย” สหายอีกคนพูดขึ้น
“แหม ๆ ฉันก็พูดเอาสนุกแค่นั้นแหละลี่จิน พี่หยูเซียนอย่าถือสาฉันเลยนะ” สหายหญิงคนนั้นส่งยิ้มไปทางคนบ้านกู้
“ฉันรู้ ว่าแต่เธออย่าพูดเสียงดังเกินไปนักเล่าแม่สามีของเธอเดินหน้าตึงมานู่นแล้ว” หยูเซียนพยักพเยิดไปทางด้านหลังของหญิงสาวรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม
หลังจากฟางซินตัวน้อยดื่มนมจากอกของมารดาจนอิ่มตาก็เริ่มปรือ แต่แล้วเจ้าตัวก็หลับไม่ลงเมื่อได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอของปลาต้มผักกาดดองที่ย่าเป็นคนทำ
(ไม่ต้องกินแค่กลิ่นก็รู้ว่าต้องอร่อย) เด็กหญิงคิดพลางถอนใจ
“ฮ่า ๆ เป่าเป้ยของย่าหลานยังกินไม่ได้ เอาไว้หลานโตมากกว่านี้ก่อนนะย่าจะทำให้กิน” นางโม่หัวเราะร่วนยามเมื่อเห็นท่าทางของหลานสาวที่อยู่บนตักของตน
ฟางซินได้แต่กลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะหลับตา ลมหายใจของคนบนตักเริ่มสม่ำเสมอโม่โฉวจึงได้กินแผ่นแป้งกับน้ำแกงปลาต่ออย่างวางใจ ภายในห้วงฝันของคนตัวเล็ก
“ครอบครัวของเจ้าเป็นคนดีใช่ไหมล่ะ ไม่ผิดหวังใช่ไหมที่ข้าให้เจ้ามาเกิดใหม่” น้ำเสียงของผู้พูดดังขึ้นก่อนปรากฏกาย
“ค่ะ ขอบคุณนะคะท่านเทพว่าแต่ฉันมาอยู่ในยุคไหนกันแน่ เพราะสิ่งของที่ท่านให้มานั้นฉันคิดว่าหากแค่สำหรับครอบครัวคงมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ” คำถามตรงไปตรงมาของฟางซินทำให้เทพสาวยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น
“เธอเกิดในปี1960 ของในห้างเหล่านั้นจะเติมเต็มตัวเองภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งหน้าที่ของเธอก็คือนำสิ่งของเหล่านั้นไปช่วยคนเท่าที่จะทำได้ อ๊ะ! อย่าเพิ่งถามในอนาคตเธอจะรู้คำตอบเองทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลไม่ต้องกลัวว่าครอบครัวจะเดือดร้อนเพราะฉันรู้ว่าเธอทำได้”
เทพสาวรีบพูดหยุดความคิดเมื่อเห็นว่าฟางซินกำลังจะอ้าปากถามซึ่งเธอเข้าใจดีว่าคนตรงหน้าจะถามอะไร
“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วพลังจิตนี่ล่ะคะเกี่ยวกันไหม” ฟางซิน อดถามออกมาอีกไม่ได้
“ก็มีส่วน ทุกวันเกิดของเธอพลังจิตจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นส่วนจะเป็นแบบไหนนั้นเธอต้องเรียนรู้เอาเอง ฉันต้องไปแล้วนะหวังว่าเธอจะมีความสุข”
คล้อยหลังเทพสาวฟางซินก็ยังจมอยู่กับความคิดของตนเพราะแม้ว่าเธอจะคาดเดาเอาไว้แล้วว่าตนน่าจะอยู่ในยุคไหนแต่ไม่คิดว่าจะเป็นช่วงก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรมเพียงหกปี (เอาเถอะ ยังพอมีเวลาในการวางแผนการใช้ชีวิต)
[1] ต้นแอปเปิ้ล
สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ
“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 
นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ
“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง
ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง
หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&