ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น
“ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน
ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน
ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว
และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก
ฟางซินแสดงสีหน้าอย่างจนใจออกมาซึ่งสีหน้าหลาก หลายของคนตัวเล็กทำให้ลี่จินมองด้วยความตื่นตะลึง
(ลูกของฉันรู้ความมากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ) เจ้าตัวคิดในขณะลุกขึ้นวางห่อผ้าของลูกน้อยลงบนเตียง “แม่ ผมช่วย” ซีซวนกล่าวอาสา
แม่กับลูกชายต่างช่วยกันเปลี่ยนผ้าให้คนตัวเล็กที่ทำตัวนิ่งด้วยความรู้สึกกระดากอาย
ในขณะเดียวกันทางห้องโถงของตัวบ้าน ในเวลานี้มีเพียงซานไห่นั่งอยู่กับซีห่าว นางโม่จึงได้นำผลผิงกั่วออกมาให้บุตรชายคนเล็กดู
“แม่กล้าซื้อผลไม้ราคาแพงแบบนี้มากินเพื่อฉลองให้ผมที่ได้ทำงานในโรงงานเลยหรือครับ แล้วพี่รองล่ะแม่ได้ให้เขาไปหรือยัง” บุตรชายคนที่สามกล่าวหยอกเย้ามารดาออกมาในขณะที่หั่นผลผิงกั่วแบ่งเป็นสองส่วน
“แม่ให้เสี่ยวเหมานำไปแล้วสามผล แต่แม่จะบอกแกว่าแม่ไม่ได้ซื้อ” นางโม่ยังพูดไม่ทันจบเสียงตะโกนจากบุตรคนรองดังขึ้นเสียก่อน
“อาไห่ แม่ครับ” ซีห่าวเป็นผู้วิ่งไปเปิดประตู “ลุงรอง” “เสี่ยวห่าว พ่อกับย่าล่ะ” เอ๋อกั๋วยกมือลูบหัวหลานชายในขณะถามถึงผู้ที่ตนต้องการพบ “อยู่ในห้องโถงครับ”
เอ๋อกั๋วจึงได้เดินตามหลานชายเข้าไปพร้อมกับผลผิงกั๋วในมือสองลูก เนื่องจากอีกผลนั้นเขาได้แบ่งคนละครึ่งให้ลูกชายคนโตกับคนรองส่วนเมียรักกับตนนั้นไม่ใช่ว่าไม่อยากกินเพียงแต่เขาสองคนคิดว่ามันมีราคาแพงมากเกินไปต่างหาก
“แก เสียงดังอะไรแล้วนี่มาทำไม จะมืดแล้วได้กินข้าวมาหรือยัง จะกินด้วยกันที่นี่ไหม” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“ผมจะเอาผิงกั่วมาคืนครับ แม่ราคาผลไม้ชนิดนี้แพงอยู่นะผมไม่กล้ารับไว้เยอะหรอกเอาไว้ให้น้องสะใภ้กินเถอะจะได้มีน้ำนมให้เป่าเป้ย” เอ๋อกั๋วพูดพลางวางผลผิงกั่วสีแดงลูกใหญ่ลงบนโต๊ะแม้ว่าเจ้าตัวจะอยากลิ้มลองรสชาติของมันมากขนาดไหนก็ตามแต่ก็ทำใจกินไม่ลง
“แกเอาไปเถอะ แม่แบ่งเอาไว้แล้ว” คำพูดของแม่ได้นำพาความสงสัยระคนใคร่รู้มาให้กับบุตรทั้งสองเป็นอย่างมาก
“มีคนรู้จักของพ่อแกมาเยี่ยม อย่าถามให้มากรีบกลับไปกินข้าวซะหากมืดจะเปลืองเทียนไขเอานะหรือจะกินที่นี่ก็ได้” นางโม่บอกปัดเพราะเรื่องนี้นางไม่คิดจะบอกลูกชายคนรอง
แม้ว่าหลานคนที่สามจะรู้เรื่องแล้วก็ตามแต่นางเชื่อมั่นในตัวของซานเหมาว่าไม่มีทางพูดเรื่องของฟางซินออกไปอย่างแน่นอน
“เป็นอย่างนั้นหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ” เอ๋อกั๋วพยักหน้าอย่างเข้าใจและได้หยิบผลผิงกั่วขึ้นมาใส่มืออีกครั้ง
“แล้วไม่กินข้าวที่นี่อย่างนั้นหรือ” คนเป็นแม่ถามออกมา เมื่อเห็นว่าลูกชายได้หยิบผลไม้ใส่มือของตน “ไม่ละครับ ผมกลับไปกินที่บ้านดีกว่าเพราะแม่ก็แบ่งให้ตั้งเยอะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
ตลอดเวลาที่แม่กับพี่ชายคนรองสนทนากันซานไห่ทำเพียงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ด้วยความสงสัย ส่วนบุตรชายของตนนั้นก็นั่งอ้าปากหาวอยู่ข้างตนนั่นเอง เมื่อเอ๋อกั๋วหันหลังเตรียมจากไป “เสี่ยวห่าวตามลุงไปปิดประตูบ้านด้วย” เด็กชายเจ้าของชื่อจึงได้เด้งตัวออกจากม้านั่ง
ในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินออกมาเอ๋อกั๋วก็ไม่ได้ถามสิ่งใดกับหลานชายอีกเนื่องจากเจ้าตัวนั้นเชื่อคำพูดของมารดาอย่างสนิทใจ
คล้อยหลังพี่คนรองกับบุตรชายจากไปซานไห่จึงได้หันหน้ามาทางผู้เป็นแม่ด้วยสายตามีคำถาม “เอาไว้ให้อาจินออกมาก่อนแม่จะเล่าทีเดียว”
ในระหว่างรอภรรยาซานไห่จึงได้ลุกเดินเข้าไปในครัวเพื่อยกอาหารเย็นออกมาโดยมีบุตรชายคนรองตามไปช่วย “เสี่ยวหาว วันนี้มีคนมาบ้านของเราหรือ”
“ย่าไม่ให้พูด” คำตอบของเด็กชายยิ่งทำให้ซานไห่สงสัยมากกว่าเดิมและต้องตกใจเมื่อสายตามองเห็นผลผิงกั่วมากมายในตะกร้าหวายที่มีถึงสอง “ลูกรัก นะ..นั่นใช่ผลผิงกั่วไหม”
“ครับ พ่อรีบออกไปกันเถอะผมหิว” ซีห่าวพยักหน้าก่อนพูดขึ้นเสียงอ่อย “ลูกไม่คิดบอกพ่อหน่อยหรือว่าผลไม้ชนิดนี้มาจากไหน” ซานไห่กล่าวตัดพ้อ “ย่าบอกว่าจะจัดการเอง” เด็กชาย ยึดคำพูดของย่าเป็นหลัก
“เฮ้อ! รอย่าก็ได้” ซานไห่จนใจที่ไม่อาจสามารถล้วงคำพูดจากปากของบุตรชายคนรองได้
ในตอนนี้ลี่จินกับซีซวนได้เดินออกมาแล้วโดยมีเป่าเป้ยในอ้อมแขนของตน “นั่งลงเถอะ วางเป่าเป้ยลงบนเก้าอี้ตัวนั้นก็ได้เธอไม่ร้องหรอก” โม่โฉวบอกลูกสะใภ้
“ค่ะ แต่เธอจะไม่ดิ้นจนตกลงมาใช่ไหมคะ” ลี่จินยังคงกังวล แต่เมื่อฟางซินได้ยินคำพูดนี้เจ้าตัวก็ส่ายหน้าไปมาส่งเสียงร้องแอ้แอ้
“หลานของย่าฉลาดขนาดนี้ หล่อนไม่เป็นอะไรหรอก” โม่โฉวไม่วายกล่าวชมหลานตัวเล็ก
“แม่ซื้อปลามาด้วยหรือครับ วันนี้ช่างเป็นวันดีของผม จริง ๆ” ซานไห่พูดขึ้นหลังจากซดแกงปลาต้มเผ็ดลงคอ
“เปล่า เอาไว้แกกับเมียกินกันอิ่มแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง”
“ครับ” แม้ซานไห่อยากรู้ใจจะขาดแต่ถ้าแม่ไม่พูดออกมาเองก็ไม่มีใครสามารถทำให้นางอ้าปากได้
ดังนั้นเจ้าตัวจึงพุ้ยข้าวเข้าปากต่อไปอีกทั้งยังซดน้ำแกงปลาอย่างมีความสุขอีกด้วย
และหลังจากกินอิ่ม ทั้งลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ยังได้กินผิงกั่วอีกคนละครึ่งผล “มื้อนี้ช่างเป็นอะไรที่ดีที่สุดเลยครับแม่” ซานไห่พูดพลางยกมือลูบท้องของตนที่ดูเหมือนจะนูนออกมาเล็กน้อย
ส่วนเด็กชายทั้งสองกับลี่จินก็กินอิ่มและมีความสุขเช่นกัน “อิ่มกันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นแกสองคนฟังสิ่งที่แม่จะพูดให้ดี ๆ นะ หลังจากฟังจบหากอยากรู้อะไรค่อยถาม”
“ครับ/ค่ะ” ทั้งสองคนตอบรับพร้อมกัน
ดังนั้นโม่โฉวจึงได้เล่าเรื่องอันน่าอัศจรรย์นี้ออกมาทั้งหมดอย่างละเอียดโดยมีสองบุตรชายฝาแฝดช่วยยืนยันคำพูดของย่าอย่างแข็งขัน
“มะ....ไม่ใช่ว่าแม่คิดไปเองหรอกนะครับจะเป็นไปได้ อยะ..” ซานไห่ยังพูดไม่ทันจบประโยค
ซีห่าวก็ส่งเสียงเรียกพ่ออย่างตื่นเต้นแม้ว่าเจ้าตัวจะเห็นตอนปลากระโดดขึ้นมาจากลำธารแล้วหนึ่งครั้งก็ตาม “พ่อ! ดูนั่น” ซานไห่หันหน้าไปตามต้นเสียงแล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้าง
“แม่ ผมฝันว่าบ้านเรามีผ้ามากมาย” จบคำพูดนี้เสียงเพี๊ยะก็ดังขึ้นจากฝีมือของมารดาที่ตีเข้ายังต้นแขนของบุตรชาย
“เจ็บไหม” ซานไห่พยักหน้า “เจ็บ ก็แสดงว่าผมไม่ได้ฝัน” ซานไห่พูดราวคนละเมอ
ในขณะนี้เจ้าตัวได้เดินไปยังผ้าสีน้ำเงิน สีดำ สีขาวและยังมีพื้นรองเท้าอีกหลายขนาด
โดยที่เจ้าตัวไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นผิดกับลี่จินที่ยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลออกมาราวทำนบแตก
“แม่ร้องไห้ทำไม” ซีซวนถามแม่ด้วยความตกใจ “แม่กลัว” นางโม่ไม่เข้าใจคำพูดของลูกสะใภ้จึงได้ถามขึ้น “กลัวอะไร”
“แม่คะ เป่าเป้ยจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม เพราะฉันเคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่ายิ่งเด็กคนนั้นมีความวิเศษมากขนาดไหนเจ้าตัวจะอายุสั้น ฉะ...ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น” ลี่จินปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นของพวกนี้ผมไม่ต้องการ แค่ขอให้ลูกสาวอยู่กับเราจนเติบใหญ่ก็พอ” ซานไห่เองก็พลอยเป็นไปด้วย
“ผม/ผม ก็ไม่เอา น้องจะต้องอยู่กับเรา” เมื่อเห็นน้ำตาของแม่ท่าทางร้อนใจของพ่อเด็กชายทั้งสองก็เบะปากร้องไห้ออกมาบ้าง
“เหลวไหล แม่เชื่อว่าจะต้องไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แกทั้งหมดหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้ หากมีคนได้ยินเรื่องของเป่าเป้ยนี่แหละหลานของฉันจะอายุสั้น” นางโม่ตวาดขึ้นเสียงดังแม้ในใจออกจะหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
สี่คนพ่อแม่ลูกหยุดเสียงสะอื้นของตนลงกระนั้นก็ยังคงมีน้ำตาไหลอาบหน้า “ที่ฉันพูดเรื่องนี้เพราะอยากให้แกช่วยกันปกป้องลูก เพราะถึงยังไงเป่าเป้ยก็เป็นสายเลือดของแกโดยตรงเข้าใจหรือไม่”
“ครับ/ค่ะ แต่แม่คะ ลูกของฉันจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ลี่จินยังคงกังวล นางโม่แม้จะหวาดกลัวแต่ถ้าหากนางแสดงความอ่อนแอออกมาลูกสะใภ้กับบุตรชายคนเล็กคงได้สติแตกเป็นแน่
“เรื่องนี้ต้องถามกับเจ้าตัว”
“แม่หมายถึงให้ถามกับเป่าเป้ยหรือครับ แต่เธอยังพูดไม่ได้” ซานไห่แย้งก่อนที่เขาจะโดนสายตาพิฆาตของมารดา
“แกนี่ยังไม่รู้จักความฉลาดของหลานสาวฉันนะสิ ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง” คำพูดนี้เจ็บจี๊ดเข้าไปถึงทรวงของคนเป็นลูกยิ่งนัก
หญิงวัยกลางคนเดินไปอุ้มคนตัวเล็กที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ตน “เป่าเป้ย การที่หลานเสกของออกมาแบบนี้จะไม่ทำให้หลานอายุสั้นใช่ไหม” คำถามของโม่โฉวทำให้คนตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ
“แม่ครับ ไม่เห็นว่าเธอจะตอบอะไรเลย”
“แกมันไม่ได้เรื่อง ลูกกะพริบตาอยู่ไม่เห็นหรือ” นางโม่ หันไปกล่าวตำหนิบุตรชายอีกครั้ง “เป่าเป้ยลูกรักช่วยพ่อด้วย หนูบอกพ่อได้ไหมครับว่าการที่ลูกทำแบบนี้จะไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง”
ฟางซินแย้มยิ้มหวานจนน้ำลายไหลย้อยลงมาจนเลอะขอบปาก “เสี่ยวซวนหาผ้าเช็ดหน้ามาให้ย่าที”
ซีซวนรีบวิ่งเข้าไปในห้องหาผ้าเช็ดหน้ามาส่งให้คน เป็นย่าโดยที่เจ้าตัวกลับใช้ชายเสื้อเช็ดน้ำหูน้ำตาอย่างลวก ๆ เช่นเดียวกับน้องชายคนรอง
“เป่าเป้ยคนดีของแม่หากลูกเป็นอันตรายแม่ก็ไม่ต้องการของเหล่านี้ ลูกจงเอากลับไปเถอะ” ลี่จินพูดออกมาบ้างยามสบตากลมโตของบุตรสาว
ฟางซินอบอุ่นในหัวใจที่คนในครอบครัวของตนไม่มีความโลภ อีกทั้งยังเป็นห่วงตนมากอีกด้วย “แอ้ แอ้”
ฟางซินรู้สึกหงุดหงิดตัวเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าทุกคนไม่ต้องห่วง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะของคนตัวเล็กจึงได้พอสบายใจขึ้นมาก่อนที่โม่โฉวจะไล่ให้พวกเขาไปนอน
“หลานไม่เป็นอะไรหรอก คืนนี้ดึกมากแล้วแยกกันไปพักผ่อนเถอะส่วนสิ่งของพวกนี้แม่จะเก็บเอาไว้ก่อน
อ๋อวันพรุ่งอาจินไม่ต้องไปลงแปลงนานะให้อยู่เลี้ยงเป่าเป้ย เพราะแม่จะนำผลผิงกั่วไปขาย”
“หากฉันไม่ไป พี่สะใภ้รองจะไม่สงสัยหรือคะ” แม้ว่าหยูเซียนจะไม่ใช่คนช่างพูดแต่เธอก็อดกังวลไม่ได้
“เอายังไงดี” นางโม่รู้สึกลังเลเพราะนางเองก็กลัวว่าสะใภ้รองจะคิดมากเหมือนกัน
“ย่าครับ ผมดูน้องได้” ซีซวนรีบพูดโดยมีซีห่าวพยักหน้าราวไก่จิกข้าวสารว่าตนเองก็อยู่กับน้องสาวได้เหมือนกัน
“เอาอย่างนั้นหรือ” หญิงวัยกลางคนมองใบหน้าของหลานชายสองคนถามย้ำ
“ครับ เป่าเป้ยไม่เคยโยเยเหมือนน้องสาวของเสี่ยวพั่งเลย เวลาหิวก็ร้องสามครั้งตามที่ย่าบอกตลอด อย่างเวลาถ่ายหนัก ถ่ายเบาก็เหมือนกันผมเลี้ยงได้” ซีซวนกล่าวชมน้องสาวอย่างเอ็นดู
“ใช่ครับ น้องสาวของเราดีที่สุดผมจะช่วยพี่ใหญ่เลี้ยงเอง” ซีห่าวยืนยันอีกเสียง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ วันพรุ่งแม่จะรีบออกเดินทางแต่เช้าเพราะไม่อยากให้คนเห็นของในตะกร้า ตอนนี้พวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอนเถอะเป่าเป้ยอ้าปากหาวหลายรอบแล้ว” จบคำของโม่โฉวทุกคนก็แยกย้ายกันอย่างเชื่อฟัง
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไปพร้อมผมเลยก็แล้วกันผมจะแบกตะกร้าให้เอง” ซานไห่พูดขึ้นเนื่องจากผิงกั่วที่ตนเห็นนั้นน่าจะมีน้ำหนักไม่น้อย
“อืม ว่าแต่แกกับเจ้ารองไปเริ่มงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง” นางโม่ถามลูกชายออกมาหลังจากนึกขึ้นได้
“ก็ปกติดีครับ ของผมได้เงิน25 หยวนต่อเดือน ส่วนของพี่รอง20 หยวนเพราะอยู่แต่ในโรงงาน”
“ก็นับว่าดีทีเดียว เงินแกก็เอามาให้แม่ห้าหยวนนอกนั้นให้อาจินเก็บไว้ทั้งหมด” สิ้นคำพูดของโม่โฉวลี่จินก็ส่งเสียงค้านออกมา
“จะได้ยังไงล่ะคะ ฉันควรจะให้แม่เก็บทั้งหมดไม่ใช่หรือ”
โม่โฉวส่ายหน้าไปมาให้กับลูกสะใภ้ “ไม่ได้ ตอนนี้แกสองคนแต่งงานกันแล้วอีกทั้งยังมีลูกตั้งสามคน ปีหน้าต้าซวนกับ เสี่ยวห่าวต้องเข้าโรงเรียนเรื่องเงินแม่จะไม่ยุ่ง เธอต้องรู้จักจดและเก็บเอาเอง”
“แม่คะ ฉัน” ลี่จินรู้สึกลังเล เนื่องจากเธอไม่คิดว่าแม่สามีของตนจะดีมากถึงเพียงนี้ “เอาตามนี้แหละ แต่แม่ขอแนะนำว่าเธอต้องแบ่งให้อาไห่ถือเงินด้วยนะเพราะเขาทำงานข้างนอกจะไร้เงินติดตัวไม่ได้”
“ฉันทราบแล้วค่ะ” ลี่จินตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“ผมขอแค่เดือนละสามหยวนก็พอครับ ข้าวในโรงงานมีให้กินราคาไม่แพง” ซานไห่พูดออกมาโดยไม่คิดอะไรมากเพราะเขาไว้ใจเมียว่าเธอจะดูแลเงินได้ดีมากกว่าตัวเอง
ส่วนบ้านรองนั้นแม้ว่าจะแยกบ้านแต่เอ๋อกั๋วก็ต้องการแบ่งเงินให้แม่ของตนเพราะเวลามีอาหารอะไรแม่ก็มักจะนำมาให้ครอบครัวของเขาอยู่เสมอ “ผมจะให้แม่ห้าหยวนนะ คุณจะว่าอะไรไหม”
“ดีแล้วค่ะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกแต่ว่ามันจะน้อยไปหรือเปล่า” หยูเซียนถามอย่างกังวล “ไม่น้อยหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมรู้จักแม่ดี” เอ๋อกั๋วกล่าวอย่างมั่นใจ
เช้ามืดวันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง ซานไห่ที่มีตะกร้าผิงกั่วแบกทั้งด้านหน้าด้านหลังก็มาเรียกพี่ชายคนรอง “พี่รอง วันนี้ผมออกไปก่อนนะพอดีจะรีบไปตรวจสินค้า”
“ได้สิ แกเดินทางระวังล่ะยังมืดอยู่เลย” เอ๋อกั๋วตะโกนกลับมาจากด้านในเนื่องจากเจ้าตัวเพิ่งตื่น
“ครับ” ซานไห่จึงได้เดินเท้าเข้าตัวอำเภอกับมารดาตามลำพังโดยในมือของแม่ได้ถือเทียนไขสูงยี่สิบเซนมีกระดาษรองน้ำตาเทียนเดินนำหน้า “แม่ครับ ผิงกั่วมากขนาดนี้จะเอาไปขายที่ไหน”
“แกตามแม่มาเถอะ แล้วจะรู้เอง” คำพูดแฝงเลศนัยของมารดาทำให้ซานไห่จำต้องเดินตามไปเงียบ ๆ
การเดินเท้าเข้าเมืองใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว กระนั้นสองแม่ลูกก็ไม่ปริปากบ่น เมื่อถึงในเมืองฟ้าก็สว่างพอดี “แกไปตรอกทางทิศตะวันออกกับแม่ที่นั่นมีแต่บ้านของคนมีเงินดีกว่าเราจะไปวางขายในตลาด”
“เขาจะไม่ไล่เราออกมาหรือครับ” ซานไห่กังวล
“ไม่หรอก แม่พูดกับหลานสาวมาแล้วว่าขอให้ขายของได้อย่างราบรื่นรับรองมีแต่ได้ไม่มีเสีย” นางโม่ตบอกของตนพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
เมื่อแม่พูดยืนยันหนักแน่นมีหรือคนเป็นลูกจะไม่ทำตาม ซานไห่จึงเดินตามแม่ของตนไปติด ๆ
จนกระทั่งถึงหน้าลานบ้านหลังหนึ่งที่ดูกว้างขวางใหญ่โต ซึ่งกำลังมีคนเดินเข้าออกกันให้วุ่นวาย โม่โฉวจึงได้เดินเข้าไปทางหญิงวัยเดียวกับตน
“น้องสาวคนสวย” ปากของนางโม่หวานล้ำราวน้ำผึ้งเนื่องจากหญิงคนนั้นดูแก่กว่าตนอย่างเห็นได้ชัดจนซานไห่ต้องมองใบหน้าของแม่สลับกับหญิงคนนั้นด้วยสีหน้าฉงน
“เธอเป็นใคร” น้ำเสียงของคนพูดค่อนข้างถือตัว
“ฉันมาจากหมู่บ้านชนบทค่ะ คือว่าพอดีที่บ้านมีผลผิงกั่วสุกเร็วก็เลยเอามาขาย น้องสาวสนใจจะดูหรือไม่”
“ผิงกั่วอย่างนั้นหรือหล่อนคงไม่ได้กล่าววาจาชุ่ย ๆ หรอกนะนี่เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ผลิมาได้เดือนกว่าจะมีผลไม้ที่ว่าได้ยังไง” หญิงคนนั้นกล่าวอย่างระแวง
“ฉันจะหยิบออกมาให้ดูจ้ะ” นางโม่ไม่พูดเปล่านางจึงได้หยิบผลผิงกั่วที่มีขนาดใหญ่เท่ากันออกมาสองลูก
“น้องสาวลองชิมได้นะหากไม่หวานฉันไม่คิดเงิน” นางโม่ ยังคงชวนเชื่อต่อไป “ไม่คิดเงินจริงนะ เธอจะหลอกลวงไม่ได้นะที่นี่เป็นบ้านของท่านเทศมนตรีเมือง” หญิงคนนั้นขู่
“ไม่หลอกจ้า ฉันนำมีดมาด้วย ลองชิมได้เลย” นางโม่ถือคติตีเหล็กต้องตีตอนร้อนดั่งนั้นนางจึงหั่นผลผิงกั่วทันที
กลิ่นอันหอมหวานของผลไม้ลอยเข้านาสิกของหัวหน้าแม่บ้านทำให้หล่อนกลืนน้ำลายลงคอหลายอึกก่อนที่จะรับชิ้นผลไม้มาจากมือของนางโม่
“หวานกรอบอร่อยมาก หล่อนขายยังไงฉันจะไปรายงานคุณนายให้” หญิงคนนั้นรีบถามออกมาทันทีเนื่องจากเย็นนี้ที่บ้านจะมีงานเลี้ยง หากคุณนายได้ผลไม้ราคาแพงขึ้นโต๊ะรับรองว่าเธอก็จะได้เงินพิเศษไปด้วย
“ชั่งละสี่หยวนค่ะ อ๊ะ! น้องสาวอย่าคิดว่าแพงเลยนะ น้องสาวก็ได้กินแล้วนี่รสชาติของมันอร่อยขนาดไหนคงไม่ต้องให้ฉันบอกหรอกใช่หรือไม่
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันผลนี้ฉันยกให้เพื่อให้น้องเอาไปให้คุณนายชิมส่วนผลนี้ในเมื่อน้องสาวได้ลิ้มลองไปแล้ว
ฉันก็ยกให้เป็นสินน้ำใจก็แล้วกัน” โม่โฉวกล่าวอย่างใจป้ำ มีหรือว่าหัวหน้าแม่บ้านจะปฏิเสธ
“ได้ หล่อนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” หัวหน้าแม่บ้านรับผิงกั่วทั้งสองลูกเดินสาวเท้าเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน
“แม่ครับ ผิงกั่วของเราหนักกี่ชั่งแม่รู้หรือ” ซานไห่ถามออกมาอย่างอดสงสัยไม่ได้ “แม่ไม่รู้ แต่คนที่นี่รู้แกคิดว่าบ้านหลังใหญ่เช่นนี้จะไม่มีตราชั่งหรือ” ไม่ผิดจากที่นางโม่คาดการณ์
เพราะในตอนนี้หัวหน้าแม่บ้านได้เดินนำสาวใช้ออกมาอีกสามคนและยังมีตราชั่งอยู่ในมือด้วย “แม่ยอดเยี่ยมที่สุด” ซานไห่กล่าวชมแม่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นโดนแม่ทำโทษแน่” เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวคลี่กระดาษที่ถูกม้วนเข้าหากันให้คลายออกอย่างทะนุถนอม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น “แม่แน่ ๆ” เจ้าตัวคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าเสร็จสรรพ “น้าเสี่ยวเซิงว่าอะไรนะคะ น้ารอหนูอยู่ข้างล่างเหรอ เอ๋! น้าพาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วยหนูจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวคนสวยกดวางสายก่อนหย่อนมือถือรุ่นล่าสุดที่บริษัทขอ
สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกผมก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าและตอบแทนเธอไปจนกว่าชีวิตจะดับสูญ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวกู้จะมีความรักให้ผมอย่างท่วมท้นทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่บุญธรรมที่คิดว่าตัวผมนั้นคือเลือดเนื้อในอกของตนอย่างแท้จริง ซึ่งยิ่งเมื่อผมได้ฟังเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าเธอมีน้ำนมให้ผมดื่มกินตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้น หากไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวรวมถึงพี่สาวสุดที่รักของผมยืนยันผมคงคิดว่าเรื่องเล่านี้คงเป็นเรื่องโกหก 
“พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเป็นเพราะเขามองท่าทางของศิษย์คนโปรดออก “แหะ ๆ ผมก็ลืมไปมักจะคิดว่าพ่อยังหนุ่มอยู่เรื่อย” คำแก้ตัวของเจียอินทำให้ชายชรามองเขาตาเขียว “แกเอาตาไหนดูว่าฉันยังหนุ่มเห็นทีว่าสายตาของแกคงจะยิ่งแย่กว่าคนแก่อย่างฉันเสียอีก หล่อนเห็นด้วยไหมศิษย์รัก” ถ้อยคำจิกกัดของอู๋เหยียนหาได้ทำให้เจียอินรู้สึกอันใดไม่ ตรงกันข้ามเขายังแย้มยิ้มยอมรับอีกต่างหาก “ฉันว่าที่พี่เจียอิน
ความนัยใจของผมถึงภรรยาสุดที่รัก ในช่วงเย็นของทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นอย่างแรกและทุกครั้งก็คือการมองหาภรรยาเช่นเดียวกับวันนี้เมื่อผมถามหาเธอจากเด็กรับใช้ สองเท้าของผมเดินมาทางห้องครัว ผมจึงได้เร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นหลังจากได้กลิ่นหอมซึ่งผู้ที่กำลังทำอาหารอยู่นั้นจะต้องเป็นสุดที่รักของผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อสองสายตามองเห็นหญิงสาวร่างบางรวบผมเป็นหางม้ากำลังยืนหันหน้าเข้าหาเตา ขาทั้งสองข้างของผมยังไม่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาหล่อนในทันทีแม้ว่าใจอยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ทั้งนี้เป็นเพราะผมกำลังยืนนิ่งมองผู้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำด้วยค
หลายวันผ่านไปข่าวคราวของพวกเขายังคงเงียบงัน ฟางซินเองแม้อยากจะไปดูให้เห็นกับตาทว่าก็จนใจด้วยสถานที่แห่งนั้นเธอกับเสี่ยวหม่าวยังไม่เคยไปมาก่อน ‘ท่านเทพได้โปรดอย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ’ ฟางซินอ้อนวอนร้องขอเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายของตนกับคนรักกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหนานเสิ่นกับมู่เฉินได้ย้อนกลับมาช่วยคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะความโลภคนกลุ่มนี้จึงได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำตัวเป็นโจรหมายจะปล้นชิงสิ่งของมีค่าของผู้อื่นแต่ทว่าเป็นพวกเขาเองที่โดนคนประเภทเดียวกันเล่นงาน “อาเสิ่นนายหนีไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นมีอาวุธร
ฟางซินเริ่มฝึกงานหลังวันปีใหม่ บริษัทแห่งนี้เป็นอาคารสูงห้าชั้น ซึ่งในยุคนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ยังไม่มีมีลิฟท์ หญิงสาวจึงรู้สึกทดท้อเป็นอย่างมากหากจะต้องให้เธอเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสุดท้าย “เอ๋! ที่นี่สมกับเป็นบริษัทข้ามชาติมีลิฟท์ด้วย” ฟางซิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารแล้วมองเห็นประตูลิฟท์ที่กำลังปิดแม้ว่าจะมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ตาม หลังจากเจ้าตัวกดลิฟท์รออยู่สักพักในที่สุดประตูของมันก็เปิดออก ฟางซินก้าวเท้าของตนเข้าไปอย่างไม่รอช้า ชุดที่หญิงสาวสวมมาวันนี้ค่อนข้างเรียบร้อยดูดีมากว่าทุกวัน อีกทั้งยังค่อนข้างทันสมัยมีเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนสวมอยู่ภายนอก จึงยิ่งเพิ