“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง
“ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน
“ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก
ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่”
นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้งสองยังนิ่งอยู่กับที่โดยไร้ปฏิกิริยาตอบโต้
“นี่เธอได้ยินที่ฉันพูดไหม” แม่บ้านนำมือแตะไปยังบ่าของโม่โฉวถามขึ้นน้ำเสียงดังจากเดิมเล็กน้อย
“ห๊ะ! เอ่อ นะ..น้องสาวว่าอะไรนะ” นางโม่สะดุ้งถามขึ้นอย่างตกใจ “ฉันบอกว่าทั้งหมดห้าสิบชั่งคิดเป็นเงินสองร้อยหยวนหล่อนพอใจไหม” หัวหน้าแม่บ้านเน้นเสียงทีละคำ
“พะ...พอใจจ้ะ ฉันพอใจมากเลยขอบคุณน้องสาวและคุณนายมาก ๆ เลยนะจ๊ะ” นางโม่กล่าวประจบด้วยรอยยิ้มทั้งปากและตา
“ก็เท่านั้นให้ฉันเรียกตั้งนาน นี่เงินหล่อนลองนับดูก่อน” หัวหน้าแม่บ้านส่งธนบัตรหลายใบให้กับนางโม่
เวลาผ่านไปพักใหญ่หลังจากสองแม่ลูกเดินออกมาจากบ้านของท่านเทศมนตรี ทั้งซานไห่และนางโม่ก็ยังคงรู้สึกอยู่ในความฝันทั้งนี้ทั้งนั้นคนทั้งคู่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้จับเงินมากถึงสองร้อยหยวนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“อยากตายหรือไง เดินเหม่ออะไรไม่ดูทาง” เสียงด่าทอ ของคนขี่จักรยานทำให้คนทั้งสองคืนสติ
“แม่ครับ พวกเราออกจากบ้านยังไม่ถึงครึ่งวันเลยก็ได้เงินมามากถึงสองร้อยหยวนเลยนะครับ นี่ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย” ซานไห่กระซิบข้างหูมารดาเสียงเบา
“เงินจำนวนนี้เป็นของหลานรักของฉัน ไม่ใช่ของพวกเราดังนั้นแม่จะเก็บเอาไว้ให้เป่าเป้ย ก่อนอื่นแม่จะไปซื้อผ้าก่อนรวมถึงอาหารบำรุงให้หลานและขนมให้กับหลานทั้งห้าคนด้วยแกคงไม่ว่าอะไรนะ”
“ผมจะว่าอะไรได้ล่ะครับ แต่เรื่องผ้าไม่ใช่ว่าที่บ้านมีอยู่ตั้งหลายผืนแล้วหรอกหรือ” ซานไห่พูดขึ้นพลางถามออกมาอย่างสงสัย
“แกนี่ เรียนมาก็ตั้งสูง แค่นี้ก็คิดไม่ได้ เขาเรียกว่าซื้อเพื่อบังหน้าเข้าใจไหม หากไม่ซื้อผ้าใหม่กลับไปบ้างคนอื่น ๆ จะต้องมีคำถามกับเราเป็นแน่ ส่วนเรื่องเงินแม่ก็จะเอาเจ้าใหญ่มาอ้าง”
“แม่ฉลาดที่สุดเลยครับ”
“หากฉันไม่ฉลาดจะเลี้ยงพวกแกมาได้ยังไง เอาละแกรีบไปทำงานเถอะ แม่ก็จะไปสหกรณ์การค้าเหมือนกัน”
สองแม่ลูกจึงได้เดินไปกันคนละทิศ นางโม่ก้าวเท้าฉับ ๆ อย่างคล่องแคล่วมุ่งหน้าไปทางเหนือ ซานไห่มุ่งหน้าลงใต้
ในระหว่างทางเมื่อนางมองเห็นร้านขายเนื้อนางก็แวะเข้าไปซื้อเนื้อติดกระดูกเพื่อจะนำไปต้มกับถั่วลิสงบำรุงทั้งลูกและหลานก่อนที่จะเดินเข้าไปยังร้านค้าสหกรณ์
และเมื่อได้สิ่งของที่ต้องการครบถ้วน โม่โฉวจึงได้เดินมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านและโชคดีก็เป็นของเธออีกครั้งเมื่อเห็นรถไถของหน่วยผลิตจอดอยู่ห่างจากตนไม่ไกล
“อาลู่จะเข้าหมู่บ้านหรือยัง ป้าขอกลับไปด้วยได้หรือเปล่า”
“อ้าวป้าโม่เองหรือครับ ผมกำลังจะกลับอยู่พอดี หัวหน้าให้ออกมาเติมน้ำมันและซื้อน้ำมันกลับไปเพิ่ม ว่าแต่ป้าเข้าเมืองมาทำอะไรแต่เช้า อีกทั้งยังมีข้าวของเต็มตะกร้าด้วย” ชายหนุ่ม นามลู่หมิงถามขึ้นอย่างใคร่รู้ตามประสาคนขี้สงสัย
“ป้ามาขึ้นเงินที่ไปรษณีย์ก็เลยแวะซื้อข้าวของกลับบ้าน” โม่โฉวตอบพลางขึ้นไปนั่งบนรถ
“อ๋อ จะว่าไปพี่ใหญ่กู้ก็หายออกจากบ้านไปตั้งนานแล้วนะครับ เมื่อไหร่เขาจะได้กลับมา” การที่ลู่หมิงถามแบบนี้เพราะเจ้าตัวคิดว่าเงินดังกล่าวเป็นของกู้อี้พี่ชายที่อายุห่างจากตน
“ป้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่รู้ว่าเขาปลอดภัยดีป้าเองก็ดีใจมากแล้ว”
คนทั้งสองสนทนากันได้อีกเพียงเล็กน้อย เพราะรถไถค่อนข้างเสียงดังกลบเสียงพูดอีกทั้งลมก็แรงมากด้วย
การนั่งรถไถกลับทำให้นางโม่ประหยัดเวลาไปมากทีเดียว “นี่ค่ารถนะ ขอบใจมาก” โม่โฉวส่งเงินให้กับชายหนุ่มหลังจากลงจากรถ
จากนั้นนางก็สะพายตะกร้าหวายที่ซ้อนกันอยู่เดินตรงกลับบ้านอย่างเร่งรีบ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเธอเป็นห่วงหลานทั้งสี่คนโดยเฉพาะเป่าเป้ยที่มีน้ำหนักในใจมากกว่าหลานคนอื่น
เมื่อหญิงวัยกลางคนมองเห็นหลังคาบ้านของตนเธอก็ถอนใจออกมาพลางรีบสาวเท้าเดินไปด้านหน้าโดยไม่หยุดพัก
“ต้าซวน ย่ากลับมาแล้ว” โม่โฉวตะโกนพร้อมกับยกมือตบประตูหน้าบ้าน
ซีซวนเป็นผู้เดินมาเปิดประตู “ย่ากลับมาแล้ว ทำไมกลับมาเร็วจัง” หลานชายถามขึ้นสีหน้าแสดงความสงสัย โม่โฉว ยกมือหยาบกร้านลูบหัวของหลานชายอย่างเอ็นดู
“ย่าขายหมดแล้วก็กลับมาเร็วนะสิ ย่ามีขนมมาฝากด้วยนะ เอาไว้ค่อยเอาไปแบ่งให้กับน้องและเหมาเหมา”
“จริงหรือครับ ย่าใจดีที่สุดเลย” ซีซวนย้อนถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “ย่าเคยโกหกหรือไง เป่าเป้ยเป็นยังไงบ้าง”
สองย่าหลานพูดคุยกันในขณะเดินเข้ามาด้านใน “น้องสาวเป็นเด็กดีมาก” ซีซวนตอบตามตรง
“แล้วเป่าเป้ยได้กินนมไปหรือยัง” ผู้เป็นย่าถามออกมาอีก
ซีซวนส่ายใบหน้าไปมา เนื่องจากตั้งแต่แม่ไปทำงานเขากับพี่ชายน้องชายก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องของเป่าเป้ยเลยสักแอะ
“ถ้าอย่างนั้นย่าเอาของไปเก็บก่อน จากนั้นค่อยไปดูเธอหากว่าหิวจะได้พาไปให้แม่ของหลานให้นม” โม่โฉวพูดพลางเดินเข้าไปในห้องโถงของบ้าน จากนั้นก็หยิบลูกอมตรากระต่ายขาวที่ตนซื้อมาเพื่อจะนำมาให้หลานชายคนละสามเม็ด
ช่วงสายของวัน ย่ากับหลานหลังจากที่ฟางซินได้กินนมจากอกของมารดาจนอิ่มย่าก็ได้พาเธอกับพี่ชายทั้งสามคนเดินขึ้นภูเขา
“หลานทั้งสามคนช่วยกันเก็บฟืนอยู่ตรงนี้นะ ย่าจะเดินไปเก็บผักป่าตรงนั้นยอดกำลังสวยทีเดียว”
“ครับ” เด็กชายสามคนตอบรับออกมาพร้อมกัน เด็ก ๆ ต่างช่วยกันเก็บฟืนใส่ตะกร้าของตนกันอย่างตั้งใจ
“เป่าเป้ย หลานห้ามทำอะไรแปลก ๆ นะลูก เพราะว่าอาจมีคนมาเห็นได้” โม่โฉวพูดกับหลานสาวผู้มองตนตาแป๋วซึ่งอยู่ในห่อผ้าด้านหน้าที่เจ้าตัวผูกติดกับหน้าอก ฟางซินส่งเสียงอื้ออ้ารับคำ
“หลานของย่าทั้งน่ารักและฉลาดจริง ๆ กลับไปหลังจากย่าทำอาหารให้แม่ของหลานเสร็จย่าจะตัดเสื้อให้นะ”
ฟางซินส่งยิ้มหวานส่งเสียงตอบรับออกมาอีกอย่างเข้าใจ โม่โฉวยกยิ้มกว้างในขณะที่มือโน้มกิ่งของผักป่าเพื่อจะเก็บได้สะดวก
“ยอดสวย ๆ ก็อยู่สูงเสียเหลือเกิน” จบคำของหญิงวัยกลางคนปุ๊บ กิ่งไม้ที่มียอดผักป่าอ่อนสีเขียวสดก็โน้มตัวลงมาตรงหน้าของโม่โฉว
“นะ..นี่” นางโม่ อุทานพลางกวาดตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากหลานสาวนางก็ผ่อนคลายลง “เจ้านี่นะยังหัวเราะได้อีก” โม่โฉวพูดเชิงตำหนิออกมาอย่างไม่จริงไม่จังก่อนที่สองมือจะรีบเก็บผักป่าอย่างรวดเร็ว
ย่ากับหลานใช้เวลาอยู่บนภูเขาไม่นานก็พากันเดินกลับบ้าน เพราะนางโม่จะต้องมาทำอาหารให้ลูกสะใภ้ทั้งสองของตน
ช่วงบ่ายของวัน เมื่อเด็กทั้งสี่หลับนางโม่จึงได้มาตัดผ้าและลงมือเย็บเสื้อให้กับหลานทั้งหกคน โดยเริ่มจากเจ้าตัวเล็กเป่าเป้ยก่อน
เวลาผ่านไปจนเย็นเสียงสัญญาณบอกเวลาเลิกงานก็ดังขึ้น เมื่อลี่จินเดินใกล้จะถึงเรือนก็เห็นว่าควันไฟสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ภายในบ้านเธอจึงรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น
ซีซวนผู้กำลังนั่งขีดเขียนบนพื้นดินเมื่อเห็นว่าใครเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนเอามือปัดฝุ่นเช่นเดียวกับ ซีห่าว ซานเหมา
“แม่/อาสะใภ้” เด็กทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกัน
ลี่จินทำเพียงยิ้มให้กับพวกเขาก่อนเดินเข้าไปดูบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มทำปากขมุบขมิบ “น้องไม่ร้องหิวนมหรือ”
“หิวครับ แต่ย่ามีนมผงมาก็เลยนำมาชงให้น้องกิน” คำตอบของต้าซวนทำให้ลี่จินสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าแม่สามีเอานมผงมาจากไหน “ถ้าอย่างนั้นลูกดูน้องกันก่อนนะแม่จะเข้าไปช่วยย่าในครัว”
“ครับ” ทั้งสามรับคำพร้อมกัน
“แม่คะ มีอะไรให้ฉันช่วยบ้าง” ลี่จินถามขึ้นเมื่อเห็นแม่สามีกำลังยืนอยู่หน้าเตา “อาจินกลับมาแล้วหรือ ไปล้างไม้ล้างมือให้นมเป่าเป้ยหรือยัง วันนี้แม่เย็บเสื้อผ้าให้หลานเพลินก็เลยต้องชงนมผงให้เป่าเป้ยกินไปก่อนหนึ่งมื้อ” นางโม่ละใบหน้าจากน้ำแกงกระดูกหมูหันมาพูดกับลูกสะใภ้
“เจ้าตัวเล็กหลับค่ะ ฉันก็เลยจะเข้ามาช่วยแม่”
“ยังหลับอยู่สินะ เด็กคนนี้ไม่ร้องโยเยเหมือนเด็กคนอื่นเลย อีกทั้งยังเลี้ยงง่ายกว่าหลานของฉันทั้งหมดด้วย
วันนี้แม่ไปขายผิงกั่วได้มาสองร้อยหยวนนะ แบ่งซื้อผ้ากับเนื้อติดกระดูกและถั่วลิสงรวมถึงผ้าไปเหลือหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าหยวนเธอเก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“มะ...แม่ว่าอะไรนะคะสองร้อยหยวนอย่างนั้นหรือ” ลี่จิน ย้อนถามเสียงดังอย่างลืมตัวและเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นได้จึงได้รีบนำมือปิดปาก
“ใช่ เงินจำนวนนี้จำเอาไว้ว่าเป็นของเป่าเป้ยเธอจะต้องแยกเอาไว้ต่างหากเข้าใจไหม” โม่โฉวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันรู้แล้วค่ะ จะเก็บให้ดีเลย” ลี่จินรับคำสีหน้าหนักแน่น
กลิ่นหอมของน้ำแกงกระดูกหมูกับถั่วลิสงทำให้เด็ก ๆ ทั้งสี่รู้สึกหิวโดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กฟางซิน “แอ้ แอ้ แอ้” น้ำเสียงเล็ก ๆ ร้องขึ้นสามครั้ง
“น้องสาวหิวอย่างนั้นหรือรอก่อนนะพี่รองจะไปบอกแม่ให้” ซีห่าวนำมือตบกางเกงเพื่อไล่ฝุ่นวิ่งมาหลังจากได้ยินเสียงร้องของคนเป็นน้อง
“แอ้” คนในห่อผ้าร้องตอบพร้อมกับของเหลวที่เจ้าตัวปลดปล่อยออกมาด้วย “พี่ใหญ่น้องฉี่” ซีห่าวตะโกนบอกพี่ชายที่กำลังสอนเหมาเหมาเขียนตัวอักษรตามที่ต้าโถวสอนมา
“รู้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปล้างมือก่อนจะเอาผ้ามาเปลี่ยนให้น้อง อาห่าวดูน้องไปก่อนล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พี่จะไปตามอาสะใภ้มาให้นะ” ซานเหมาอาสาหลังจากเจ้าตัวลุกขึ้นยืน “อืม”
เด็กทั้งสามคนต่างช่วยกันดูแลน้องน้อยเป็นอย่างดี เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งฟางซินอายุครบสามเดือน ซึ่งวันนี้จะเป็นวันที่เด็กหญิงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางกา
หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นโดนแม่ทำโทษแน่” เสียงถอนหายใจของเธอดังขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวคลี่กระดาษที่ถูกม้วนเข้าหากันให้คลายออกอย่างทะนุถนอม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น “แม่แน่ ๆ” เจ้าตัวคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าเสร็จสรรพ “น้าเสี่ยวเซิงว่าอะไรนะคะ น้ารอหนูอยู่ข้างล่างเหรอ เอ๋! น้าพาเสี่ยวเสวี่ยมาด้วยหนูจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวคนสวยกดวางสายก่อนหย่อนมือถือรุ่นล่าสุดที่บริษัทขอ
สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกผมก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าและตอบแทนเธอไปจนกว่าชีวิตจะดับสูญ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวกู้จะมีความรักให้ผมอย่างท่วมท้นทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่บุญธรรมที่คิดว่าตัวผมนั้นคือเลือดเนื้อในอกของตนอย่างแท้จริง ซึ่งยิ่งเมื่อผมได้ฟังเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าเธอมีน้ำนมให้ผมดื่มกินตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้น หากไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวรวมถึงพี่สาวสุดที่รักของผมยืนยันผมคงคิดว่าเรื่องเล่านี้คงเป็นเรื่องโกหก 
“พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจเป็นเพราะเขามองท่าทางของศิษย์คนโปรดออก “แหะ ๆ ผมก็ลืมไปมักจะคิดว่าพ่อยังหนุ่มอยู่เรื่อย” คำแก้ตัวของเจียอินทำให้ชายชรามองเขาตาเขียว “แกเอาตาไหนดูว่าฉันยังหนุ่มเห็นทีว่าสายตาของแกคงจะยิ่งแย่กว่าคนแก่อย่างฉันเสียอีก หล่อนเห็นด้วยไหมศิษย์รัก” ถ้อยคำจิกกัดของอู๋เหยียนหาได้ทำให้เจียอินรู้สึกอันใดไม่ ตรงกันข้ามเขายังแย้มยิ้มยอมรับอีกต่างหาก “ฉันว่าที่พี่เจียอิน
ความนัยใจของผมถึงภรรยาสุดที่รัก ในช่วงเย็นของทุกวันหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้าน สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นอย่างแรกและทุกครั้งก็คือการมองหาภรรยาเช่นเดียวกับวันนี้เมื่อผมถามหาเธอจากเด็กรับใช้ สองเท้าของผมเดินมาทางห้องครัว ผมจึงได้เร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นหลังจากได้กลิ่นหอมซึ่งผู้ที่กำลังทำอาหารอยู่นั้นจะต้องเป็นสุดที่รักของผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อสองสายตามองเห็นหญิงสาวร่างบางรวบผมเป็นหางม้ากำลังยืนหันหน้าเข้าหาเตา ขาทั้งสองข้างของผมยังไม่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาหล่อนในทันทีแม้ว่าใจอยากจะกอดเธอให้สมกับความคิดถึง ทั้งนี้เป็นเพราะผมกำลังยืนนิ่งมองผู้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำด้วยค
หลายวันผ่านไปข่าวคราวของพวกเขายังคงเงียบงัน ฟางซินเองแม้อยากจะไปดูให้เห็นกับตาทว่าก็จนใจด้วยสถานที่แห่งนั้นเธอกับเสี่ยวหม่าวยังไม่เคยไปมาก่อน ‘ท่านเทพได้โปรดอย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ’ ฟางซินอ้อนวอนร้องขอเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายของตนกับคนรักกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหนานเสิ่นกับมู่เฉินได้ย้อนกลับมาช่วยคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะความโลภคนกลุ่มนี้จึงได้อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำตัวเป็นโจรหมายจะปล้นชิงสิ่งของมีค่าของผู้อื่นแต่ทว่าเป็นพวกเขาเองที่โดนคนประเภทเดียวกันเล่นงาน “อาเสิ่นนายหนีไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง” มู่เฉินพูดขึ้นเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นมีอาวุธร
ฟางซินเริ่มฝึกงานหลังวันปีใหม่ บริษัทแห่งนี้เป็นอาคารสูงห้าชั้น ซึ่งในยุคนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ยังไม่มีมีลิฟท์ หญิงสาวจึงรู้สึกทดท้อเป็นอย่างมากหากจะต้องให้เธอเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสุดท้าย “เอ๋! ที่นี่สมกับเป็นบริษัทข้ามชาติมีลิฟท์ด้วย” ฟางซิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารแล้วมองเห็นประตูลิฟท์ที่กำลังปิดแม้ว่าจะมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ตาม หลังจากเจ้าตัวกดลิฟท์รออยู่สักพักในที่สุดประตูของมันก็เปิดออก ฟางซินก้าวเท้าของตนเข้าไปอย่างไม่รอช้า ชุดที่หญิงสาวสวมมาวันนี้ค่อนข้างเรียบร้อยดูดีมากว่าทุกวัน อีกทั้งยังค่อนข้างทันสมัยมีเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนสวมอยู่ภายนอก จึงยิ่งเพิ