“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง
“ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน
“ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก
ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่”
นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้งสองยังนิ่งอยู่กับที่โดยไร้ปฏิกิริยาตอบโต้
“นี่เธอได้ยินที่ฉันพูดไหม” แม่บ้านนำมือแตะไปยังบ่าของโม่โฉวถามขึ้นน้ำเสียงดังจากเดิมเล็กน้อย
“ห๊ะ! เอ่อ นะ..น้องสาวว่าอะไรนะ” นางโม่สะดุ้งถามขึ้นอย่างตกใจ “ฉันบอกว่าทั้งหมดห้าสิบชั่งคิดเป็นเงินสองร้อยหยวนหล่อนพอใจไหม” หัวหน้าแม่บ้านเน้นเสียงทีละคำ
“พะ...พอใจจ้ะ ฉันพอใจมากเลยขอบคุณน้องสาวและคุณนายมาก ๆ เลยนะจ๊ะ” นางโม่กล่าวประจบด้วยรอยยิ้มทั้งปากและตา
“ก็เท่านั้นให้ฉันเรียกตั้งนาน นี่เงินหล่อนลองนับดูก่อน” หัวหน้าแม่บ้านส่งธนบัตรหลายใบให้กับนางโม่
เวลาผ่านไปพักใหญ่หลังจากสองแม่ลูกเดินออกมาจากบ้านของท่านเทศมนตรี ทั้งซานไห่และนางโม่ก็ยังคงรู้สึกอยู่ในความฝันทั้งนี้ทั้งนั้นคนทั้งคู่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้จับเงินมากถึงสองร้อยหยวนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“อยากตายหรือไง เดินเหม่ออะไรไม่ดูทาง” เสียงด่าทอ ของคนขี่จักรยานทำให้คนทั้งสองคืนสติ
“แม่ครับ พวกเราออกจากบ้านยังไม่ถึงครึ่งวันเลยก็ได้เงินมามากถึงสองร้อยหยวนเลยนะครับ นี่ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย” ซานไห่กระซิบข้างหูมารดาเสียงเบา
“เงินจำนวนนี้เป็นของหลานรักของฉัน ไม่ใช่ของพวกเราดังนั้นแม่จะเก็บเอาไว้ให้เป่าเป้ย ก่อนอื่นแม่จะไปซื้อผ้าก่อนรวมถึงอาหารบำรุงให้หลานและขนมให้กับหลานทั้งห้าคนด้วยแกคงไม่ว่าอะไรนะ”
“ผมจะว่าอะไรได้ล่ะครับ แต่เรื่องผ้าไม่ใช่ว่าที่บ้านมีอยู่ตั้งหลายผืนแล้วหรอกหรือ” ซานไห่พูดขึ้นพลางถามออกมาอย่างสงสัย
“แกนี่ เรียนมาก็ตั้งสูง แค่นี้ก็คิดไม่ได้ เขาเรียกว่าซื้อเพื่อบังหน้าเข้าใจไหม หากไม่ซื้อผ้าใหม่กลับไปบ้างคนอื่น ๆ จะต้องมีคำถามกับเราเป็นแน่ ส่วนเรื่องเงินแม่ก็จะเอาเจ้าใหญ่มาอ้าง”
“แม่ฉลาดที่สุดเลยครับ”
“หากฉันไม่ฉลาดจะเลี้ยงพวกแกมาได้ยังไง เอาละแกรีบไปทำงานเถอะ แม่ก็จะไปสหกรณ์การค้าเหมือนกัน”
สองแม่ลูกจึงได้เดินไปกันคนละทิศ นางโม่ก้าวเท้าฉับ ๆ อย่างคล่องแคล่วมุ่งหน้าไปทางเหนือ ซานไห่มุ่งหน้าลงใต้
ในระหว่างทางเมื่อนางมองเห็นร้านขายเนื้อนางก็แวะเข้าไปซื้อเนื้อติดกระดูกเพื่อจะนำไปต้มกับถั่วลิสงบำรุงทั้งลูกและหลานก่อนที่จะเดินเข้าไปยังร้านค้าสหกรณ์
และเมื่อได้สิ่งของที่ต้องการครบถ้วน โม่โฉวจึงได้เดินมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านและโชคดีก็เป็นของเธออีกครั้งเมื่อเห็นรถไถของหน่วยผลิตจอดอยู่ห่างจากตนไม่ไกล
“อาลู่จะเข้าหมู่บ้านหรือยัง ป้าขอกลับไปด้วยได้หรือเปล่า”
“อ้าวป้าโม่เองหรือครับ ผมกำลังจะกลับอยู่พอดี หัวหน้าให้ออกมาเติมน้ำมันและซื้อน้ำมันกลับไปเพิ่ม ว่าแต่ป้าเข้าเมืองมาทำอะไรแต่เช้า อีกทั้งยังมีข้าวของเต็มตะกร้าด้วย” ชายหนุ่ม นามลู่หมิงถามขึ้นอย่างใคร่รู้ตามประสาคนขี้สงสัย
“ป้ามาขึ้นเงินที่ไปรษณีย์ก็เลยแวะซื้อข้าวของกลับบ้าน” โม่โฉวตอบพลางขึ้นไปนั่งบนรถ
“อ๋อ จะว่าไปพี่ใหญ่กู้ก็หายออกจากบ้านไปตั้งนานแล้วนะครับ เมื่อไหร่เขาจะได้กลับมา” การที่ลู่หมิงถามแบบนี้เพราะเจ้าตัวคิดว่าเงินดังกล่าวเป็นของกู้อี้พี่ชายที่อายุห่างจากตน
“ป้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่รู้ว่าเขาปลอดภัยดีป้าเองก็ดีใจมากแล้ว”
คนทั้งสองสนทนากันได้อีกเพียงเล็กน้อย เพราะรถไถค่อนข้างเสียงดังกลบเสียงพูดอีกทั้งลมก็แรงมากด้วย
การนั่งรถไถกลับทำให้นางโม่ประหยัดเวลาไปมากทีเดียว “นี่ค่ารถนะ ขอบใจมาก” โม่โฉวส่งเงินให้กับชายหนุ่มหลังจากลงจากรถ
จากนั้นนางก็สะพายตะกร้าหวายที่ซ้อนกันอยู่เดินตรงกลับบ้านอย่างเร่งรีบ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเธอเป็นห่วงหลานทั้งสี่คนโดยเฉพาะเป่าเป้ยที่มีน้ำหนักในใจมากกว่าหลานคนอื่น
เมื่อหญิงวัยกลางคนมองเห็นหลังคาบ้านของตนเธอก็ถอนใจออกมาพลางรีบสาวเท้าเดินไปด้านหน้าโดยไม่หยุดพัก
“ต้าซวน ย่ากลับมาแล้ว” โม่โฉวตะโกนพร้อมกับยกมือตบประตูหน้าบ้าน
ซีซวนเป็นผู้เดินมาเปิดประตู “ย่ากลับมาแล้ว ทำไมกลับมาเร็วจัง” หลานชายถามขึ้นสีหน้าแสดงความสงสัย โม่โฉว ยกมือหยาบกร้านลูบหัวของหลานชายอย่างเอ็นดู
“ย่าขายหมดแล้วก็กลับมาเร็วนะสิ ย่ามีขนมมาฝากด้วยนะ เอาไว้ค่อยเอาไปแบ่งให้กับน้องและเหมาเหมา”
“จริงหรือครับ ย่าใจดีที่สุดเลย” ซีซวนย้อนถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “ย่าเคยโกหกหรือไง เป่าเป้ยเป็นยังไงบ้าง”
สองย่าหลานพูดคุยกันในขณะเดินเข้ามาด้านใน “น้องสาวเป็นเด็กดีมาก” ซีซวนตอบตามตรง
“แล้วเป่าเป้ยได้กินนมไปหรือยัง” ผู้เป็นย่าถามออกมาอีก
ซีซวนส่ายใบหน้าไปมา เนื่องจากตั้งแต่แม่ไปทำงานเขากับพี่ชายน้องชายก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องของเป่าเป้ยเลยสักแอะ
“ถ้าอย่างนั้นย่าเอาของไปเก็บก่อน จากนั้นค่อยไปดูเธอหากว่าหิวจะได้พาไปให้แม่ของหลานให้นม” โม่โฉวพูดพลางเดินเข้าไปในห้องโถงของบ้าน จากนั้นก็หยิบลูกอมตรากระต่ายขาวที่ตนซื้อมาเพื่อจะนำมาให้หลานชายคนละสามเม็ด
ช่วงสายของวัน ย่ากับหลานหลังจากที่ฟางซินได้กินนมจากอกของมารดาจนอิ่มย่าก็ได้พาเธอกับพี่ชายทั้งสามคนเดินขึ้นภูเขา
“หลานทั้งสามคนช่วยกันเก็บฟืนอยู่ตรงนี้นะ ย่าจะเดินไปเก็บผักป่าตรงนั้นยอดกำลังสวยทีเดียว”
“ครับ” เด็กชายสามคนตอบรับออกมาพร้อมกัน เด็ก ๆ ต่างช่วยกันเก็บฟืนใส่ตะกร้าของตนกันอย่างตั้งใจ
“เป่าเป้ย หลานห้ามทำอะไรแปลก ๆ นะลูก เพราะว่าอาจมีคนมาเห็นได้” โม่โฉวพูดกับหลานสาวผู้มองตนตาแป๋วซึ่งอยู่ในห่อผ้าด้านหน้าที่เจ้าตัวผูกติดกับหน้าอก ฟางซินส่งเสียงอื้ออ้ารับคำ
“หลานของย่าทั้งน่ารักและฉลาดจริง ๆ กลับไปหลังจากย่าทำอาหารให้แม่ของหลานเสร็จย่าจะตัดเสื้อให้นะ”
ฟางซินส่งยิ้มหวานส่งเสียงตอบรับออกมาอีกอย่างเข้าใจ โม่โฉวยกยิ้มกว้างในขณะที่มือโน้มกิ่งของผักป่าเพื่อจะเก็บได้สะดวก
“ยอดสวย ๆ ก็อยู่สูงเสียเหลือเกิน” จบคำของหญิงวัยกลางคนปุ๊บ กิ่งไม้ที่มียอดผักป่าอ่อนสีเขียวสดก็โน้มตัวลงมาตรงหน้าของโม่โฉว
“นะ..นี่” นางโม่ อุทานพลางกวาดตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากหลานสาวนางก็ผ่อนคลายลง “เจ้านี่นะยังหัวเราะได้อีก” โม่โฉวพูดเชิงตำหนิออกมาอย่างไม่จริงไม่จังก่อนที่สองมือจะรีบเก็บผักป่าอย่างรวดเร็ว
ย่ากับหลานใช้เวลาอยู่บนภูเขาไม่นานก็พากันเดินกลับบ้าน เพราะนางโม่จะต้องมาทำอาหารให้ลูกสะใภ้ทั้งสองของตน
ช่วงบ่ายของวัน เมื่อเด็กทั้งสี่หลับนางโม่จึงได้มาตัดผ้าและลงมือเย็บเสื้อให้กับหลานทั้งหกคน โดยเริ่มจากเจ้าตัวเล็กเป่าเป้ยก่อน
เวลาผ่านไปจนเย็นเสียงสัญญาณบอกเวลาเลิกงานก็ดังขึ้น เมื่อลี่จินเดินใกล้จะถึงเรือนก็เห็นว่าควันไฟสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ภายในบ้านเธอจึงรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น
ซีซวนผู้กำลังนั่งขีดเขียนบนพื้นดินเมื่อเห็นว่าใครเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนเอามือปัดฝุ่นเช่นเดียวกับ ซีห่าว ซานเหมา
“แม่/อาสะใภ้” เด็กทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกัน
ลี่จินทำเพียงยิ้มให้กับพวกเขาก่อนเดินเข้าไปดูบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มทำปากขมุบขมิบ “น้องไม่ร้องหิวนมหรือ”
“หิวครับ แต่ย่ามีนมผงมาก็เลยนำมาชงให้น้องกิน” คำตอบของต้าซวนทำให้ลี่จินสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าแม่สามีเอานมผงมาจากไหน “ถ้าอย่างนั้นลูกดูน้องกันก่อนนะแม่จะเข้าไปช่วยย่าในครัว”
“ครับ” ทั้งสามรับคำพร้อมกัน
“แม่คะ มีอะไรให้ฉันช่วยบ้าง” ลี่จินถามขึ้นเมื่อเห็นแม่สามีกำลังยืนอยู่หน้าเตา “อาจินกลับมาแล้วหรือ ไปล้างไม้ล้างมือให้นมเป่าเป้ยหรือยัง วันนี้แม่เย็บเสื้อผ้าให้หลานเพลินก็เลยต้องชงนมผงให้เป่าเป้ยกินไปก่อนหนึ่งมื้อ” นางโม่ละใบหน้าจากน้ำแกงกระดูกหมูหันมาพูดกับลูกสะใภ้
“เจ้าตัวเล็กหลับค่ะ ฉันก็เลยจะเข้ามาช่วยแม่”
“ยังหลับอยู่สินะ เด็กคนนี้ไม่ร้องโยเยเหมือนเด็กคนอื่นเลย อีกทั้งยังเลี้ยงง่ายกว่าหลานของฉันทั้งหมดด้วย
วันนี้แม่ไปขายผิงกั่วได้มาสองร้อยหยวนนะ แบ่งซื้อผ้ากับเนื้อติดกระดูกและถั่วลิสงรวมถึงผ้าไปเหลือหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าหยวนเธอเก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“มะ...แม่ว่าอะไรนะคะสองร้อยหยวนอย่างนั้นหรือ” ลี่จิน ย้อนถามเสียงดังอย่างลืมตัวและเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นได้จึงได้รีบนำมือปิดปาก
“ใช่ เงินจำนวนนี้จำเอาไว้ว่าเป็นของเป่าเป้ยเธอจะต้องแยกเอาไว้ต่างหากเข้าใจไหม” โม่โฉวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันรู้แล้วค่ะ จะเก็บให้ดีเลย” ลี่จินรับคำสีหน้าหนักแน่น
กลิ่นหอมของน้ำแกงกระดูกหมูกับถั่วลิสงทำให้เด็ก ๆ ทั้งสี่รู้สึกหิวโดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กฟางซิน “แอ้ แอ้ แอ้” น้ำเสียงเล็ก ๆ ร้องขึ้นสามครั้ง
“น้องสาวหิวอย่างนั้นหรือรอก่อนนะพี่รองจะไปบอกแม่ให้” ซีห่าวนำมือตบกางเกงเพื่อไล่ฝุ่นวิ่งมาหลังจากได้ยินเสียงร้องของคนเป็นน้อง
“แอ้” คนในห่อผ้าร้องตอบพร้อมกับของเหลวที่เจ้าตัวปลดปล่อยออกมาด้วย “พี่ใหญ่น้องฉี่” ซีห่าวตะโกนบอกพี่ชายที่กำลังสอนเหมาเหมาเขียนตัวอักษรตามที่ต้าโถวสอนมา
“รู้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปล้างมือก่อนจะเอาผ้ามาเปลี่ยนให้น้อง อาห่าวดูน้องไปก่อนล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พี่จะไปตามอาสะใภ้มาให้นะ” ซานเหมาอาสาหลังจากเจ้าตัวลุกขึ้นยืน “อืม”
เด็กทั้งสามคนต่างช่วยกันดูแลน้องน้อยเป็นอย่างดี เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งฟางซินอายุครบสามเดือน ซึ่งวันนี้จะเป็นวันที่เด็กหญิงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางกา
สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ
“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 
นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ
“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง
ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง
หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&