นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก
“แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน
“ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน
ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข
“แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิดว่าแม่จะตั้งชื่อออกมาได้ดีขนาดนี้” ซานไห่พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเนื่องจากมารดานั้นรู้ตัวอักษรน้อยมาก
“เอาไว้ให้แขกกลับไปกันให้หมดก่อน แม่จะเล่าให้ฟังว่าชื่อของเป่าเป้ยมาจากไหน”
หลังมื้ออาหารเย็น ซึ่งในตอนนี้มีเพียงครอบครัวของ ซานไห่เพียงเท่านั้น นางโม่จึงได้เล่าเรื่องชื่อของหลานสาวตัวน้อยผู้กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่กับพี่ชายทั้งสอง
“ก่อนฟ้าจะสว่างแม่ได้ฝันถึงหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคนนั้นมีรูปร่างสวยงามอีกทั้งรอบกายยังเปล่งประกายสีทอง แม่จำได้ว่าตัวเองรู้สึกอบอุ่นยามเมื่อเห็นแสงสีทองนั้น
เธอบอกกับแม่ว่าให้ตั้งชื่อเป่าเป้ยว่าฟางซิน และให้เลี้ยงดูสั่งสอนเด็กคนนี้ให้ดี แม่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มก็สะดุ้งตื่น” นางโม่เล่าความฝันของตนออกมาอย่างละเอียด
“แม่ หรือว่าเธอคนนั้นจะเป็นเทพธิดา” คำถามของลี่จิน ได้เรียกความสนใจจากทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งลูก ๆ
“ภรรยาเรื่องนี้เราจะต้องเก็บเอาไว้เพียงในบ้านนะครับ ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจมีคนหัวเราะเยาะและมองเราเป็นตัวประหลาดเพราะตอนนี้ได้เข้าสู่สังคมใหม่แล้ว” ซานไห่กล่าวเตือนภรรยาอย่างเอ็นดูท่าทางคล้ายเด็กขี้ตกใจของหล่อน
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ลี่จินก้มหน้าตอบรับเสียงเบา
“หลานทั้งสองคนก็ฟังคำพูดของพ่อเอาไว้ด้วยนะ เรื่องของเป่าเป้ยห้ามพูดออกไปอย่างเด็ดขาด” นางโม่หันใบหน้ามาทางหลานชายทังคู่พลางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกเราเข้าใจครับ”
เช้าวันใหม่อากาศในช่วงนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าวแม้ว่าจะยังเช้าอยู่เด็ก ๆ ต่างเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าที่บางขึ้น
แต่ละคนต่างดีใจเมื่อได้สวมชุดใหม่ที่แม่กับย่าได้ลงมือตัดให้ ซึ่งผ้าที่ได้ก็เป็นผ้าที่ได้มาจากเป่าเป้ยแทบทั้งหมด แต่นางโม่ได้ปิดบังความจริงกับบ้านรองเอาไว้
ในตอนที่ได้ผ้าตัดเสื้อจากแม่สามีหยูเซียนรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากเพราะผ้าที่แม่สามีให้มานั้นจัดว่าเป็นผ้าเนื้อดี
จำได้ว่านางโม่บอกลูกสะใภ้ว่าหากหล่อนเกรงใจก็ช่วยตัดชุดให้เป่าเป้ยให้มากหน่อยดังนั้นหลังจากอากาศเย็นสิ้นสุดเป่าเป้ยตัวกลมจึงได้รับเสื้อผ้าหลายชุดทีเดียว
“พอแล้วนะ เอาไว้ให้เป่าเป้ยตัวโตมากกว่านี้ค่อยตัดใหม่” แม้ปากนางโม่จะกล่าวตำหนิแต่ทว่าใบหน้านั้นกลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันรู้แล้วค่ะ เด็กทารกโตเร็วตอนนี้เป่าเป้ยของเราก็ได้สามเดือนแล้วดูสิใบหน้าน้อย ๆ ในตอนนั้นตอนนี้กลับเต็มอิ่มคล้ายซาลาเปาไม่มีผิด” หยูเซียนพูดในขณะก้มหน้าลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของหลานสาว
ฟางซินหัวเราะชอบใจด้วยความจั๊กจี้ แขนขาของเจ้าตัวเริ่มขยับได้มากขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ธัญหารกำลังแตกหน่ออีกทั้งอากาศยังร้อน
ดังนั้นงานในแปลงนาส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ของผู้ชายเพราะเป็นงานใช้แรงเป็นหลักอย่างหาบน้ำมารดในแปลงข้าวและข้าวโพด
ส่วนงานของผู้หญิงกับเด็กเริ่มโตขึ้นมาวัยเดียวกับต้าโถว ก็คือไปตัดหญ้ามาเลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เก็บมูลของมันเพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ย
เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเป่าเป้ยตัวน้อยก็เข้าสู่วัยหกเดือน ในตอนนี้ฟางซินรู้สึกคันเหงือกเป็นอย่างมากเนื่องจากเธอคิดว่าฟันกำลังจะขึ้นอีกทั้งยังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอีกด้วย
ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้เจ้าตัวก็หาได้โยเย เนื่องจากเข้าใจสถานการณ์ของคนในครอบครัวที่ต้องตื่นแต่เช้าออกไปทำงานแม้ว่าพ่อจะทำงานในโรงงาน แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวจึงทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ
ช่วงเย็นในวันหนึ่งซานไห่กลับมาด้วยสภาพไม่ค่อยดีนัก “อาไห่งานหนักมากเลยหรือลูก” นางโม่ถามบุตรชายคนเล็กอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อของเจ้าตัว
“อากาศร้อนมากเลยครับแม่ ผมขับรถไปด้วยต้องยกลังใส่น้ำมันพืชส่งตามร้านด้วยก็เลยแย่” ซานไห่พูดไปพลางโบกมือเข้าหาตัวหวังคลายความร้อน
“จะว่าไปช่วงนี้แม่ว่าฝนน้อยมากเลยนะ ปกติจะต้องตกลงมามากกว่านี้แล้วแต่นี่ยังไม่ตกเลย” ใบหน้าของผู้พูดแหงนมองท้องฟ้าพลางกล่าวออกมา
โดยมีเจ้าตัวน้อยที่บัดนี้พลิกคว่ำได้เงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นสิครับ หากเป็นเช่นนี้จะมีน้ำให้ใช้หรือครับ ลี่จินยังบ่นเลยว่าน้ำในแม่น้ำก็เริ่มเหลือน้อยลงผิดจากทุกที”
ฟางซินตัวน้อยใจกระตุกวูบ (หากเกิดภัยแล้งคงจะแย่ แน่ ๆ ฉันยังไม่โตเลยจะช่วยได้ยังไง)
ตกดึกภายในคืนเดียวกันเสียงฟ้าร้องก็ดังติด ๆ กันอยู่หลายครั้งจนกระทั่งฟางซินต้องสะดุ้งตื่นเนื่องจากเสียงของมันและเพียงชั่วครู่ก็ตามมาด้วยเสียงของเม็ดฝนกระทบกับหลังคา
“แม่ครับ หลังคาบ้านเราจะรั่วไหม” ซานไห่ถามขึ้นอย่างกังวลแม้ว่าเขากับพี่รองเพิ่งจะซ่อมหลังคาไปเมื่อไม่นานก็ตาม
“ไม่หรอก หากว่าไม่มีลมพัดแรงหลังคาก็ยังคงแข็งแรงนั่นแหละ ฝนตกก็ดีแล้วข้าวกับข้าวโพดในแปลงจะได้ไม่ตายไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้กินดินแทะรากไม้กันแน่” เสียงของนางโม่ดังแข่งกับสายฝน
“นั่นสิครับ ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปนอนก่อนดีกว่า อากาศกำลังเย็นสบายร้อนมาหลายคืนแล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสนิทบ้าง”
“ไปเถอะ แกยังต้องไปทำงาน” โม่โฉวโบกมือไล่บุตรชายก่อนที่นางจะเดินสำรวจบ้านให้แน่ใจแล้วจึงได้เข้าห้องนอนของตนบ้างเช่นกัน
เช้าวันต่อมาหยาดน้ำฝนยังคงมีค้างตามกิ่งไม้ให้ได้เห็น แม้พื้นดินจะเฉอะแฉะจากน้ำบนฟ้ากระนั้นรอยยิ้มกลับมีเต็มใบหน้าของทุกคน เพราะการที่ฝนตกลงมานั้นย่อมเป็นเรื่องดี
วันนี้เนื่องจากฝนตกลูกสะใภ้ทั้งสองของนางโม่จึงไม่ต้องไปทำงานเนื่องจากช่วงนี้ไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำมากนัก
“แม่คะ พวกเราขึ้นเขาไปเก็บผัก หาเห็ดกันดีไหม” ลี่จิน กล่าวชวนแม่สามีหลังจากนางให้นมเป่าเป้ยจนลูกกินอิ่มแล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน แม่ว่าเราคงต้องเข้าป่าลึกหน่อยเพราะรอบนอกคงจะมีคนคิดเหมือนเราเป็นแน่”
“ผม/ผมไปด้วยครับ” สองฝาแฝดมังกรคู่พูดพร้อมกัน
“ไปสิ แต่พวกหลานห้ามเดินไปไหนกันเองตามลำพังโดยเด็ดขาดนะ” นางโม่ไม่วายกล่าวกำชับ
ไม่เพียงแต่บ้านกู้สามเท่านั้นที่คิดเช่นนี้เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดต้าโถว เอ่อเป่า ซานเหมาบ้านรองกับมารดาก็ตั้งใจจะขึ้นภูเขาเหมือนกัน ดังนั้นคนทั้งสองบ้านจึงได้เปิดประตูออกมาเจอกันเข้าพอดีอย่างบังเอิญ
“แม่/พี่สะใภ้รอง” สองสาวพูดออกมาพร้อมกัน
“อาเซียนก็จะไปบนภูเขาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” นางโม่ ถามลูกสะใภ้คนที่สองด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นตะกร้าหวายบนหลังของเธอและของหลานชายทั้งสามคน
“ใช่ค่ะ แม่ไปด้วยไหมคะ”
“ไปสิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันนี่แหละ เข้าไปลึกหน่อยหากเก็บได้เยอะก็นำมาตากแห้งเก็บไว้กินช่วงฤดูหนาว”
“ดีเลยค่ะ”
ส่วนเด็กชายห้าพี่น้องก็เดินเรียงแถวหน้ากระดานเดินตามย่ากับแม่อยู่ด้านหลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต้อย ๆ
ฟางซินเองก็มีความสุขเช่นเดียวกับคนภายในครอบครัว การเดินเท้าขึ้นเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมากเนื่องจากดินค่อนข้างลื่น ดังนั้นพวกนางจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“พวกลูกเดินกันดี ๆ นะ” ลี่จินบอกกับทั้งลูกและหลานเมื่อเห็นเด็กชายเกาะตามต้นไม้ก้าวเท้าเดินอย่างทุลักทุเล
“ครับ”
“อ้าว นางโม่หล่อนก็พาลูกสะใภ้กับหลาน ๆ มาหาผักเก็บเห็ดด้วยอย่างนั้นหรือฉันนึกว่าจะอยู่บ้านนั่งกินนอนกินเสียอีก” คำพูดเสียดสีดังขึ้นจากหญิงวัยเดียวกับโม่โฉว
นางโม่หาได้สนใจคู่ปรับเก่าของตน เธอจึงได้ทำเป็นหูทวนลมชมนกชมไม้พูดเสียงสองกับหลานสาว
“ฉันพูดกับหล่อนอยู่ไม่ได้ยินหรือ” สะใภ้บ้านอู๋ไม่พูดเปล่านางยังคิดต้องการจะเดินเข้าไปหมายจับบ่าของโม่โฉวด้วย
แต่ทว่า.....
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องได้ดังขึ้น พร้อมกับร่างของฟู่เหยาได้ถลาไปด้านหน้าและดูเหมือนความโชคร้ายของนางจะยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อเท้าเจ้ากรรมได้สะดุดก้อนหินทำให้หน้าของหล่อนทิ่มลงไปยังดินเละ แทบเท้าของนางโม่ทันที
“อุ๊ยตาย! อาเหยาหล่อนไม่ต้องคำนับฉันก็ได้นะ ฉันไม่กล้ารับหรอก พวกเราไปกันเถอะ” น้ำเสียงของนางโม่ร้องขึ้นเสียงดัง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเสแสร้ง (ชิ สมน้ำหน้าคิดจะทำร้ายฉันตัวเองกลับเจ็บตัวแทน)
“โชคดีนะที่หล่อนสะดุดลงไปก่อน หากจับแม่ได้เป่าเป้ยอาจจะเจ็บตัวไปกับแม่เป็นแน่ อย่างนี้เขาเรียกฟ้ามีตา” นางโม่ พูดกับคนในครอบครัวหลังจากเดินออกมาจากกลุ่มคนจนกระทั่งไกลพอสมควร
“นั่นสิคะ ฉันละไม่เข้าใจป้าเหยาเลยว่าทำไมหล่อนถึงไม่ชอบแม่” หยูเซียนพูดขึ้นอย่างเห็นพ้องกับแม่สามีก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้งอย่างสงสัย
“เฮ้อ! เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วนั่นแหละ ย้อนกลับไปตอนสาว ๆ หล่อนมีใจให้กับพ่อของลูกชายแม่ทั้งสามคน แต่พ่อของเด็ก ๆ ไม่ได้มีใจให้หล่อน แม่ก็เพิ่งรู้หลังจากแต่งเข้ามาไม่นานทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเวลาหล่อนเจอแม่ก็ชอบพูดจากระทบกระเทียบ จนกระทั่งถึงตอนนี้ต่างคนต่างมีลูกหลานแล้วหล่อนก็ยังผูกใจเจ็บ” นางโม่เล่าเรื่องของตนออกมาโดยเดินนำหน้าคนในครอบครัวไปด้วย
คนบ้านกู้เดินไปไกลจากคนอื่นพอสมควร หยูเซียนก็ได้ถามขึ้นมาอีก “แม่คะ เราจะไปเก็บที่ไหนกันดีตลอดทางที่ผ่านมามีคนมากมายเหลือเกินป่านนี้จะยังเหลือของดีให้เราเก็บหรือคะ” คำถามของสะใภ้รองไม่ใช่ไร้เหตุผลเนื่องจากตลอดทางพวกเขาเดินสวนกับกลุ่มคนมากมาย
“ตามแม่มาเถอะ เชื่อแม่สิเราไม่มีทางกลับบ้านมือเปล่าหรอกใช่ไหมหลานรัก” นางโม่พูดขึ้นอย่างมั่นใจ ฟางซินในวัยหกเดือนซึ่งอยู่ด้านหน้าของคนเป็นย่าจึงได้ส่งเสียงหัวเราะตอบอื้อ ๆ อ้า ๆ ออกมา
“เป่าเป้ยอารมณ์ดีน่าดู ท่าจะชอบอากาศวันนี้นะคะ” ลี่ จินยิ้มในขณะมองใบหน้าของลูกสาวที่หันข้างมาทางตน
“นั่นสิ นั่นยังไงล่ะโชคดีของเรามาแล้ว” สองตาของนางโม่ไม่ได้ละไปจากทางในขณะเดินและนางก็ชี้นิ้วไปยังขอนไม้ด้านหน้า
“แม่คะ พวกเราโชคดีจริงด้วย” หยูเซียนพูดอย่างตื่นเต้นพลางสาวเท้าเดินเข้าไปยังสิ่งที่เห็นเช่นเดียวกับลี่จิน
“พวกหลานอยู่กันแถวนี้นะ หากเจอเห็ดอะไรให้มาถามย่าก่อนแล้วค่อยเก็บกันเล่า เพราะบางอย่างมันมีพิษ” นางโม่ไม่วายกล่าวเตือนหลานชายทั้งห้าคน
เด็กทั้งห้าก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสำรวจรอบด้าน อย่างระมัดระวังและพยายามกวาดตามองจนทั่วว่าพวกเขาจะสามารถหาสิ่งกินได้อื่นหรือไม่เช่นเดียวกับเจ้าเด็กจ้ำม่ำฟางซิน
เพราะในตอนนี้เจ้าตัวได้หลับตาลงเพื่อใช้พลังจิตสำรวจไปรอบ ๆ สถานที่บริเวณนี้อย่างตั้งใจ
(โอ๊ะ! มีไก่ป่าด้วย อย่างนี้จะปล่อยไปได้ยังไง เด็ก ๆ จ๋ามาเป็นอาหารให้ฟางซินคนนี้เถอะ) เจ้าตัวคิด
“พี่ต้าโถว ได้ยินเสียงอะไรไหมครับ ผมว่าฟังดูคล้ายเสียงไก่เลย” ซีซวนพยายามเงี่ยหูฟังก่อนถามลูกพี่ลูกน้องคนโต
“พวกนายลองเงียบเสียงดูสิ” ต้าโถวพูดขึ้นก่อนที่ตนจะพยายามฟังเสียงที่เริ่มดังเข้ามาใกล้อย่างตั้งใจ
“ไม่ผิดแน่ มันอยู่ใกล้ ๆ เรานี่แหละ เจ้ารองน้องได้เอาหนังสติ๊กมาหรือเปล่า” หลังได้ยินคำถามของคนเป็นพี่ เอ้อเป่าจึงได้นำสิ่งที่ตัวเองทำขึ้นมาจากง่ามไม้ชูขึ้นสูง
“ดีมาก พวกเราเดินแยกกันไปสองทางนะ จากนั้นก็ ค่อย ๆ โอบล้อมมันให้อยู่ตรงกลางเมื่อได้โอกาสก็จับเลย” ต้าโถว ออกคำสั่ง
“อืม” น้องชายสี่คนพยักหน้าตอบรับเสียงเบาเนื่องจากกลัวไก่ป่าจะได้ยินและพากันบินหนี
โดยที่พวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่าไก่ป่ามันมากันทั้งฝูงจากการเรียกของฟางซิน “พะ..พี่ใหญ่ ผมยิงไม่ได้หรอกมันมากันทั้งฝูงแบบนี้อ่ะ” เอ้อเป่าพูดเสียงสั่นเมื่อเห็นไก่ป่าตัวใหญ่สี่ ตัวเล็กอีกห้า
“พี่เอ้อเป่าผมว่าไก่ป่ามันดูแปลก ๆ นะพี่ไม่เห็นหรือว่ามันดูไม่กลัวพวกเราเลย อีกทั้งยังเดินเข้ามาใกล้อีก” คำพูดของ ซีห่าวได้เรียกความสนใจให้กับพี่ชายทั้งสี่
“จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบจับมันเถอะ เสี่ยวเหมา เสี่ยวห่าว น้องสองคนรีบไปหาเถาวัลย์มา แม้มันจะไม่หนีแต่ก็ควรมัดขาเอาไว้ก่อน” ต้าโถวพูดขึ้นอีกครั้งโดยที่สองตายังคงจับจ้องไปยังไก่ทั้งเก้า
เสียงร้องของไก่ป่าได้เรียกความสนใจให้กับผู้ใหญ่ภายในบ้านทั้งสามคน “ต้าโถวพาน้องไปไหน” คำถามของแม่สามีได้ทำให้สะใภ้ทั้งสองหันไปสนใจลูกของตัวเอง
“คงไม่ใช่” ลี่จินยังพูดไม่ทันจบเด็กชายทั้งห้าคนก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างพร้อมกับไก่ป่าทั้งใหญ่เล็ก
โม่โฉวไม่คิดว่าตนจะโชคดีมากมายถึงขนาดนี้ จึงได้ก้มหน้ามองไปยังใบหน้าอ้วนกลมของหลานสาวตัวเล็กที่บัดนี้ยังคงหลับตาพริ้ม
(หรือเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเป่าเป้ยกัน แต่จะเป็นไปได้หรือฉันเดินขึ้นภูเขาลูกนี้จนส้นรองเท้าสึกไปหลายคู่ก็ยังไม่สามารถจับไก่ป่าได้เลย แต่ตอนนี้หลานชายของฉันกลับจับมันได้อย่างไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นเลยด้วยซ้ำ) นางโม่คิดด้วยความไม่เข้าใจ
ส่วนฟางซินผู้เป็นสาเหตุของเรื่อง ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับพลังของตนเนื่องจากหลังวันเกิดมาเธอก็สามารถใช้พลังที่มีสำรวจป่าแห่งนี้ได้กว้างขึ้น
สองย่าหลานพากันจับจูงมือเดินขึ้นภูเขา ในขณะ เดียวกันฟางซินตัวน้อยก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรอบ ๆ ด้านไปด้วยแต่สิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือว่าพลังลึกลับของตนที่เทพสาวได้ปกปิดเอาไว้นั้นคือสิ่งใด “หลานย่า เหนื่อยหรือยัง” นางโม่ถามหลานสาวตัวน้อยที่มีตะกร้าหวายใบเล็กอยู่บนหลัง ฟางซินพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือปาดเหงื่อ ขาสั้นของเจ้าตัวในตอนนี้เริ่มล้าจนก้าวแทบจะไม่ออก “หลานหิวไหม” นางโม่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตามกรอบหน้ากลมขาวที่เริ่มแดงของคนตัวเล็ก ฟางซินพยักหน้ายกมือกุมท้อง “หิว” เสียงท้องร้องดังขึ้นมาทำให้เจ้าตัวใบหน้าแดงมากกว่าเดิม “ฮ่า ๆ หิวก็กิน ย่าเอาแป้งทอดต้นหอมมาเผื่อแ
“พวกลูกจับมันได้ยังไง” หยูเซียนถามขึ้นกับบุตรชายคนโตสีหน้าของนางแม้จะยินดีแต่กระนั้นหากว่ามันไปติดกับดักของใครการที่ลูกหลานของตนไปนำมาก็คงไม่ดี “เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับแม่” ต้าโถวเป็นผู้เล่าเรื่องของไก่ป่าออกมาทั้งหมด หยูเซียนฟังด้วยความประหลาดใจผิดกับคนบ้านสาม (ว่าแล้วต้องเป็นเพราะเป่าเป้ยเป็นแน่) นางโม่คิด “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลงจากภูเขากันเถอะ จะได้นำไก่พวกนี้ไปตุ๋นและก่อนกลับก็แวะเก็บผักป่าสักหน่อยแม่จะนำไปคั้นน้ำผสมกับโจ๊กป้อนให้หลาน” “ก็ดีค่ะ ป่านนี้ฉันคิดว่าคนน่าจะลงจากภูเขากันหมดแล้ว จะได้ไม่มีใครมาสนใจไก่ป่าของเรา” ลี่จินพูดความคิดของตน “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผักป่าตรงนั้นกำลังสวยดูน่ากินทีเดียว” เมื่อนางโม่พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินไปทางที่ตนหมายตาเอาไว้ 
นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก “แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน “ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข “แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิ
“น้องสาว ไม่ทราบว่าคุณนายว่าอย่างไรบ้าง” แม้ว่าในใจของโม่โฉวจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม กระนั้นนางก็ยังถามออกไปด้วยความคาดหวัง “ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกหรือ ผิงกั่วของเธอมีมากน้อยแค่ไหนล่ะ คุณนายบอกว่าให้ซื้อทั้งหมด” น้ำเสียงของแม่บ้านกล่างอย่างหมั่นไส้ยามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงวัยเดียวกัน “ฉันก็ไม่รู้หรอก เราไม่ได้ชั่งมา” โม่โฉวยิ้มแห้งในขณะตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็นำมาชั่งซะ” จบคำของหัวหน้าแม่บ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็รีบกระวีกระวาดเดินเข้าไปรับผลผิงกั่วจากสองแม่ลูก ใช้เวลาเพียงไม่นานผิงกั่วทั้งสองตะกร้าก็หมดลง “ทั้งหมดห้าสิบชั่งพอดิบพอดี คิดเป็นเงินทั้งหมดก็สองร้อยหยวน เธอพอใจหรือไม่” นางโม่กับซานไห่คล้ายสติหลุดจึงทำให้คนทั้ง
ฟางซินนอนหลับไปนานมากจนกระทั่งได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อเจ้าตัวจึงได้ลืมตาตื่น “ลูกรักตื่นแล้วหรือ เสี่ยวซวนช่วยเอาผ้าชุบน้ำมาให้แม่หน่อยลูก” ลี่จินตะโกนบอกบุตรชายที่นั่งขีดเขียนตัวอักษรอยู่ด้านนอก “ครับ” เด็กชายปัดฝุ่นในมือพลางลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นมีผ้าสีขาวผืนนุ่มพาดอยู่ด้านบน “เสี่ยวซวนของแม่เก่งมาก” คำชมของมารดาทำให้เด็กชายบิดมืออย่างเก้อเขิน ลี่จินยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้ท่าทางของบุตรชายคนโตในขณะที่นางบิดผ้าในมือเพื่อจะเช็ดหน้าให้บุตรสาว และยังไม่ทันที่ใบหน้าจะเรียบร้อยมือของเธอก็เปียกพร้อมกับเสียงร้องหนึ่งครั้งของคนในอ้อมแขน “ไม่ทันแล้วลูกรัก” ผู้เป็นแม่สัพยอก ฟางซินแสดง
หลานชายกับย่าพากันเดินออกมาจากริมลำธารโดยที่สองตาก็กวาดมองผู้คนไปด้วย แล้วเมื่อมองไม่เห็นใครคนทั้งสี่ก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว “ต้าซวนหลานดูเป่าเป้ยนะ ย่าจะไปเตรียมข้าวให้แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รอง” นางโม่พูดหลังจากวางหลานสาวตัวน้อยบนเก้าอี้หวายอย่างระมัดระวัง “ครับ” เด็กชายขานรับพลางมาคอยนั่งอยู่ใกล้น้องสาว ส่วนพี่กับน้องชายได้เดินตามย่าเพื่อเข้าไปช่วยงานในครัว สายลมเย็นพัดมากระทบกับกิ่งของต้นผิงกั่ว[1]ที่กำลังผลิดอกออกผลทำให้ซีซวนแหงนหน้ามองก่อนพูดขึ้นกับน้องสาวที่กำลังลืมตาอยู่ในห่อผ้า “เมื่อไหร่ผลของผิงกั่วจะสุกจนกินได้กันนะ หากเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะเก็บผลของมันให้ย่านำไปขายและนำเงินมาซื้อผ้าตัดชุดให้น้องดีหรือไม่ ช่วงนั้นก็น่าจะเข้าหน้าร้อนพอดี”&