‘ทำไมฉันได้กลิ่นตุ ๆ มันช่างเป็นกลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์เอาเสียเลย นี่ท่านเทพแห่งดวงชะตาส่งฉันกลับมาตอนไหนคงจะไม่ใช่ตอน...หรอกใช่ไหม’ เด็กหญิงร่างผอมใบหน้าเหลืองอย่างคนขาดสารอาหารที่กำลังหลับตาบ่นพึมพำในใจก่อน ที่เธอจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาของตน แต่แล้วหล่อนก็ต้องหลับตาลงไปใหม่เพื่อพยายามมองสิ่งที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง
‘ประตูที่ทำจากไม้เริ่มผุพังมีไม้ขัดเอาไว้ด้านใน กำแพงดินเป็นผนังกั้นห้องแคบทั้งสี่ด้าน ใช่แน่ ๆ นี่มันตอนที่เธอเคยเป็นลมในห้องปลดทุกข์ตอนมีอายุได้แปดหนาวนี่นา ท่านเทพใยท่านใจร้ายนักส่งข้ากลับมาเข้าร่างอีกครั้งท่านกลับส่งมาในส้วมนี่นะ เหม็นก็เหม็น ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้อยากให้ข้าตายอีกรอบ’
อดีตวิญญาณสาวร้องคร่ำครวญในใจ เด็กสาวคนนี้มีรูปร่างผอมแขนขาเรียวเล็กผิวหยาบกร้าน เนื่องจากถูกใช้ให้ทำงานหนักมาตลอดได้กินอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ในระหว่างที่ร่างวิญญาณสาวกำลังคิดทบทวนความทรงจำเดิมของตนอยู่นั้น ด้านนอกก็ได้มีเสียงอันดังปานฟ้าถล่มดังเข้ามาในโสตประสาทของตน
“แกจะอู้งานหรือยังไง ป่านนี้ยังไม่ออกมาอีกเข้าส้วมแค่นี้นานเป็นชาติ” เสียงก่นด่าด้วยถ้อยคำผรุสวาทต่าง ๆ เท่าที่คนด่าจะคิดขึ้นมาได้ดังอยู่ด้านนอกพร้อมกับเสียงตบประตูที่ไม่กลัวว่ามันจะพังติดมือคนตบด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่หรือว่ามันจะตายไปแล้ว” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยเดียวกับคนที่อยู่ในห้องปลดทุกข์ถามแม่ของตนด้วยความหวาดหวั่น
“ตายอะไรกันนังเด็กหัวแข็งแบบนั้นมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เสียงหญิงคนเป็นแม่พูดกับลูกสาวอย่างกลบเกลื่อนทั้งที่ภายในใจเริ่มมีความกลัวเกาะกุมเข้ามา
ฉินเซียวที่ฟังอยู่ก็แน่ใจได้ว่าคนพูดไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นยายแม่จอมเห็นแก่ตัวของตนกับน้องสาวจอมเสแสร้งที่มักทำตัวอ่อนแอบอบบาง
“ข้ากำลังจะออกไปเจ้าค่ะ” คนในส้วมตะโกนออกมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรงพร้อมกับที่หล่อนพยามยามหาที่ยึดตัวเองขึ้นด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็จับขอบกางเกงของตนแน่นเพื่อไม่ให้หลุดไปกองที่ส้วมหลุมด้านล่างด้วยความทุลักทุเล
จากหญิงสาววัยยี่สิบกว่าตอนตายได้กลับกลายมาเป็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยแปดหนาวอีกครั้งทำให้หล่อนค่อนข้างยังไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่ในเมื่อได้รับโอกาสมาแล้วก็จงอยู่ไป
แม้ตอนนี้หล่อนจะมีอายุแปดหนาวแต่ด้วยสภาวะแห่งความอดยากทำให้เด็กหญิงคนนี้ดูเหมือนเด็กอายุห้าหกหนาวไม่มีผิด
ท่อนแขนเรียวเล็กที่หากบีบแรง ๆ ก็อาจจะหัก ขาของหล่อนเป็นเหมือนตะเกียบแห้ง ๆ หากยืนไม่ดีก็อาจจะล้มพับได้ตลอดเวลา ผิวดำคล้ำจากการทำงานหนักทุกรูปแบบหน้าตามอมแมม ผมเผ้าดูกระเซอะกระเซิงแม้จะถักเปียคู่ก็ยังดูไม่เรียบร้อย
เมื่อเด็กหญิงลุกยืนได้มั่นคงดีหล่อนก็จัดการผูกเชือกกางเกงของตนให้แน่นแล้วลองดึง เมื่อมั่นใจว่ามันไม่หลุดแน่ ๆ เด็กน้อยจึงได้ดึงไม้ขัดประตูห้องส้วมออก ทันทีที่ประตูไม้บานเก่าเปิดออกแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็สาดเข้ามา ทำให้เด็กหญิงต้องหลับตาลงเพื่อปรับสภาพของดวงตาอีกครั้ง
“กว่าหล่อนจะออกมาได้ช่างทำให้ผู้คนเสียเวลาโดยแท้ ไปเลยรีบไปตัดหญ้ามาเลี้ยงหมูได้แล้วก่อนที่คนอื่นจะแย่งเก็บไปจนหมดฉันไม่อยากเลี้ยงตัวขี้เกียจหรอกนะ หากวันนี้หมูไม่ได้กินข้าวแกก็ไม่ต้องกินเหมือนกัน” หม่านซิงผู้เป็นแม่แผดเสียงดังใส่หน้าลูกสาวคนรองด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่ ข้าไม่สบายอยู่นะแล้วก็ยังถ่ายไม่หยุดด้วย” เด็กหญิงร่างผอมท้วงแม้จะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ก็ตาม
“แกไม่ต้องมาสำออยไปทำงานเดี๋ยวนี้ เอาไว้ตายเมื่อไหร่ฉันถึงจะเชื่อ” หญิงอายุยี่สิบเจ็ดแต่ดูภายนอกเหมือนหญิงที่ดูมีอายุมากกล่าวอย่างประชดประชัน
ฉินเซียวจึงได้แต่จำใจหยิบตะกร้าสานใบใหญ่ที่เกือบจะใบเท่ากับตัวเองขึ้นสะพายหลัง โดยในตะกร้าใบนั้นได้มีมีดทื่อสนิมเกรอะไว้สำหรับตัดหญ้าอยู่หนึ่งเล่ม
เด็กหญิงตัวน้อยค่อย ๆ ก้าวเท้าของตนเดินออกจากบ้านดินหลังย่อมที่มีสามห้องนอนไปทางด้านหลังเพื่อที่จะเดินขึ้นเขา ฤดูนี้เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนเด็กหญิงที่เดินมาได้สักพักเริ่มมีเหงื่อออกจึงทำได้เพียงแค่ยกชายเสื้อเก่าที่ปะแล้วปะอีกจนแทบไม่มีที่จะให้ปะได้อีกเช็ดใบหน้าของตนอย่างลวก ๆ
‘หิวชะมัดน้ำก็ไม่มีดื่ม ข้าในอดีตทำไมถึงได้โง่งมจังนะที่คิดว่าหากทำดีแล้วท่านแม่จะรักพี่น้องจะเห็นใจที่ไหนได้สิ่งที่ทำกลับกลายเป็นไอ นั่นเป็นเพียงเพราะข้าไม่ใช่ลูกที่แท้จริงถึงว่าทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เห็นค่า แต่ถ้าข้าไม่ตายก็ไม่รู้ความจริงนี่สินะที่เขาเรียกกันว่าได้อย่างเสียอย่างเอาเถอะมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว
เอาไว้ค่อยไปตามหาบิดามารดาที่เขาคิดว่าบุตรสาวของตนได้ตายไปตั้งแต่แรกคลอดก็แล้วกัน’ วิญญาณหญิงสาวที่อยู่ในร่างเด็กหญิงคิดไปด้วยในระหว่างเดิน
ยามนี้แสงแดดยังคงแผดเผา เด็กหญิงตัวน้อยได้สาวเท้าสั้นของตนให้เร็วขึ้นเพื่อหวังจะให้ไปให้ถึงธารน้ำด้านหน้า ยามก้าวเดินฉินเซียวก็คิดหาวิธีหลบหนีออกจากบ้านที่เป็นดั่งขุมนรกไปด้วย การคิดนะมันง่ายหากทว่าการกระทำสิมันเป็นเรื่องยาก
การเดินทางไปไหนก็จำเป็นต้องใช้เงินแล้วตัวข้ายามนี้จะไปหาเงินได้จากที่ใดกัน เด็กหญิงยิ่งคิดยิ่งมีใบหน้าเศร้าหมองและในที่สุดเด็กหญิงก็ได้ถึงเวลานั่งพักจากความพยายามของตน เด็กตัวน้อยได้นั่งอยู่หลังโขดหินริมลำธารที่เจ้าตัวได้ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ฉินเซียวนั่งมองน้ำใสในลำธารที่มีปลาแหวกว่ายอยู่ในนั้นท้องของเจ้าตัวก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหิว ก่อนที่หล่อนจะคิดว่าหากได้ปลาตัวใหญ่สักตัวก็คงจะคลายความหิวลงได้
เนื่องจากหลังการทำงานช่วงเช้าเสร็จเธอได้รับเพียงน้ำข้าวใส ๆ ถ้วยเดียวเพียงเท่านั้น และยังมาท้องเสียจนหมดเรี่ยวแรงเป็นลมอยู่ในห้องส้วมอีก จนกระทั่งจิตวิญญาณที่ตกตายจากอนาคตได้กลับมาเข้าร่าง
หลังจากนั้นก็ต้องใช้พลังงานที่มีอยู่อันแสนน้อยนิดเดินขึ้นเขากว่าจะถึงธารน้ำแห่งนี้ด้วยความยากลำบากอีก อนิจจาการเกิดใหม่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ แต่เด็กคนนี้ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นกำลังจะได้รับผลตอบแทนในไม่ช้า
ในระหว่างที่เจ้าตัวกำลังใช้ใบไม้ทำเป็นกรวยเพื่อตักน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อหวังแก้กระหาย จู่ ๆ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ฉินเซียวมองไปยังกึ่งกลางลำธารที่กำลังเกิดการหมุนวนก่อนที่จะมีปลาตัวใหญ่เท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่กระโดดลอยจากน้ำขึ้นมาบนฝั่งหนึ่งตัว มันนอนดิ้นกวัดแกว่งตัวไปมาสักพักจากนั้นก็แน่นิ่งไป
ฉินเซียวตัวน้อยที่กำลังจะเอาน้ำเข้าปากก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นจนเผลอปล่อยกรวยใบไม้ในมือตกลงพื้น ทำให้น้ำที่ตักมาได้หวนคืนสู่ธรรมชาติตามเดิม
‘นี่มันอะไรกัน จะเป็นไปได้ยังไงที่จู่ ๆ ปลามันจะกระโดดขึ้นมาเอง หรือว่าในน้ำจะมีพิษแต่ก็ไม่น่าใช่ถ้ามีพิษจริงป่านนี้คนในหมู่บ้านก็น่าจะเจ็บป่วยกันหมดแล้ว
และเท่าที่ข้าจำได้ไม่เคยมีเรื่องพิษในน้ำนี่แล้วมันกระโดดขึ้นมาได้ยังไง หรือว่าปลามันหนาวไม่ใช่ล่ะยิ่งคิดยิ่ง เลอะเทอะเดินไปดูดีกว่า’ เด็กหญิงวัยแปดหนาวแม้จะมีร่างวิญญาณข้างในเป็นหญิงอายุยี่สิบปีพูดเองเออเองก่อนที่เธอจะสืบเท้าน้อย ๆ ของตนเดินไปยังปลาผู้เคราะห์ร้ายตัวนั้นเมื่อเดินไปถึงปลาใหญ่ตัวนั้นหล่อนก็นั่งยองพิจารณามองปลาที่แน่นิ่งด้วยความสงสัย ก่อนจะลองเอานิ้วผอมเล็กของตัวเองจิ้มลงไปกึ่งกลางของตัวปลาแล้วค่อย ๆ ไล่ตามลำตัวของปลาระคนไปด้วยความงุนงงแปลกใจ
‘อืมมันน่าจะกินได้แหละใช่ไหม เนื้อมันแน่นอยู่นะดูน่า อร่อย เอาล่ะขอบคุณนะเจ้าปลาน้อยที่กระโดดขึ้นมาเพื่อเป็นอาหารให้ข้ากิน’ เด็กน้อยคิดก่อนที่จะช้อนปลามาใส่ในมือน้อยทั้งสองข้างด้วยความระมัดระวัง
และเมื่อเดินมาถึงหลังโขดหินที่เจ้าตัวได้วางตะกร้าที่มีมีดสนิมเกรอะเอาไว้ ก็จัดการวางปลาตัวนั้นลงก่อนที่หล่อนจะเดินไปหาไม้แหลมเพื่อที่จะนำมาเสียบปลาใหญ่ตัวนี้
และเมื่อเจ้าตัวเล็กหาไม้มาได้เด็กหญิงก็เดินย้อนมาทางปลาผู้เคระห์ร้ายอีกครั้งก่อนที่เธอจะใช้ไม้ในมือแทงเข้าไปในปากของตัวปลาทะลุจนถึงหาง
‘ถ้ามีเกลือนะเยี่ยมเลย แต่ก็...โอ้ย! เจ็บ ๆ นี่มันอะไรนะดู คุ้น ๆ แฮะ’ เจ้าตัวเล็กคิดขึ้นอีกครั้งเมื่อได้หยิบสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บหัวขึ้นมาดู มันเป็นถุงเกลือที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็ก หญิงนั่นเอง
“เฮ้ย! เกลือ” ฉินเซียวร้องตกใจก่อนที่จะปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือหล่นลงพื้นพร้อมกับที่ตัวเธอได้นั่งจ้ำเบ้าลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่มันคืออะไร
เด็กน้อยที่ก้นกระแทกพื้นได้ถัดตัวเองถอยหลังจากปลาและเกลือไปหลายช่วงตัวปากคอสั่นมองของสองสิ่งที่อยู่ด้าน หน้าด้วยความหวาดผวา ใบหน้าที่เหลืองอยู่นั่นยิ่งดูซีดเซียวลงไปอีก
รอบ ๆ ตัวของเด็กหญิงในตอนนี้ได้มีลมพัดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ทำให้กิ่งไม้เกิดการเสียดสีเป็นเสียงให้เจ้าตัวเล็กได้ยินดังแกรกกราก ฉินเซียวพอได้สัมผัสลมเย็นที่พัดมาโอบไล้อย่างแผ่วเบาก็ทำให้จิตใจของตนได้ผ่อนคลายลง แม้ว่าบรรยากาศรอบด้านจะไร้ซึ่งสรรพเสียงใดก็ตาม เธอจึงได้ตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาของทั้งสองสิ่งอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันเป็นเพียงเกลือกับปลาสดธรรมดาเด็กหญิงจึงได้แต่เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ
อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่อันห่างไกลจากโลกมนุษย์ เทพแห่งดวงชะตากำลังหาของบางอย่างที่ไม่รู้ว่าได้ทำหาย ไปตอนไหนจนตำหนักของตนแทบจะดูไม่ได้ด้วยความระเกะระกะของสิ่งของมากมายที่กองอยู่รวมกัน
“มันหายไปไหนกันข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายก็นำมันมาส่องดวงชะตาของแม่หนูคนนั้นนี่นา คงไม่ใช่ว่า...แย่แล้ว!” เทพแห่งดวงชะตาบ่นพึมพำก่อนร้องออกมาเสียงหลงไปถึงหน้าตำหนัก
“เจ้าเฒ่าแกเป็นอะไรไป ตะโกนซะเหมือนหมูถูกเชือดเกิดอะไรขึ้น อ้าวมีโจรผู้ร้ายมาปล้นตำหนักเจ้าเหรอ” เสียงนี้เป็นของเฒ่าจันทราที่มักจะมาเยี่ยมคู่หูของตนอยู่เสมอ
“คราวนี้ฉันตายแน่เจ้าแก่ เรื่องนี้ยิ่งกว่ามีโจรปล้นตำหนักข้าเสียอีก” เจ้าของสถานที่โอด
“หมายความว่ายังไง” ผู้มาใหม่ถามพร้อมกางหูรอฟัง
“ข้าทำโป๊ยข่วยหายยังไงล่ะ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเรียกก็ไม่ตอบข้าว่าเจ้านั่นคงจะได้ไปผูกวิญญาณกับมนุษย์คนหนึ่งเข้าแล้ว” คนพูดกล่าวพร้อมสีหน้าแสดงความกลัดกลุ้ม
“นะ...นี่เรื่องใหญ่จริง ๆ นะ เจ้านั่นมันซนจะตายเจ้าก็รู้หากไปอยู่กับคนไม่ดีหายนะได้บังเกิดแน่” เฒ่าจันทราเริ่มนั่งไม่ติดบ้างแล้ว หากเจ้านั่นเกิดไปป่วนด้ายแดงของใครเข้า เรื่องยุ่งก็ต้องเข้ามาหาตนเช่นเดียวกัน
“เด็กคนนั้นนางเป็นคนดีอยู่หรอกแต่สิ่งที่ข้าเป็นห่วงก็เพราะนางจะตามเล่ห์เหลี่ยมเจ้านั่นไม่ทันต่างหากเล่า เอาเถอะอีกแค่ไม่กี่วันบนนี้เจ้านั่นก็คงจะกลับมาตอนนี้สิ่งที่ข้าทำได้ก็คงจะต้องเอาใจช่วยแม่หนูคนนั้นแค่นั่นแหละ” เทพแห่งดวงชะตากล่าวอย่างปลดปลง
โดยที่ท่านยังไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยที่ตนกำลังเป็นห่วงกำลังลิ้มรสปลาย่างเกลืออย่างเอร็ดอร่อยเนื่องจากได้คลายความกลัวลงไปแล้วจากท้องที่ร้องครวญครางอยู่ก็ได้ถูกเติมเต็มจนอิ่ม
“ลูกรัก แล้วพวกเราจะเอาไปทำอาหารอะไรกันดีมันมีเยอะอยู่นะ” หนิงเซียนรีบเอ่ยถามบุตรสาวเพราะนางไม่เคยเห็นผักชนิดนี้มาก่อน“ข้าจะนำมาผัดเต้าหู้ก้อนที่ท่านแม่ทำไว้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกทั้งถั่วงอกยังทำอาหารได้หลากหลายอีกด้วย ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านชิมเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบมารดาด้วยรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย“แต่ว่าคงจะต้องเป็นช่วงเย็นแล้ว เพราะตอนนี้ข้าได้เวลาจะต้องไปเรียนฝังเข็มแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกล่าวเสียงอ่อย“เจ้าอย่าได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น เจ้าบอกแม่มาว่ามันทำอย่างไร แม่จะทำออกมาให้เจ้ากินเอง” หนิงเซียนเอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างเป็นห่วงบุตรีตัวน้อย“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายวิธีการทำถั่วงอกผัดเต้าหูก่อนนะเจ้าคะ แล้วก็ทำซุปถั่วงอกใส่ผักดอง ท่านแม่วันนี้ท่านก็ทำผัดเปรี้ยวหวานเส้นถู่โต้วด้วยเลยเจ้าค่ะ ข้ามีลางว่าเราจะทำเงินจากพวกมันได้” ผู้เป็นลูกกอดเอวมารดากล่าวอย่างออดอ้อน“ได้ แม่ตามใจเจ้า” หนิงเซียนกระฉับอ้อมแขนของตนโอบกอดบุตรอย่างรักใคร่ทำให้พี่ชายอีกสองคนต่างเดินเข้ามากอดผู้เป็นน้องสาวกับแม่ของตนด้วย โดยคนเป็นพ่อได้แต่ยืนมองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่เข
แม้ว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเองกับตา ในระหว่างที่เด็กทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังเสือฉินเต๋อก็ได้บังคับรถม้ามาเห็นภาพดังกล่าว“ไป๋หู่ ข้าฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ” ฉินเต๋อหยุดรถม้าบอกกล่าวสหายของบุตรสาวตัวโต ไป๋หู่ทำเพียงชำเรืองมองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา“เสือ ฝูหมิงน้องรีบพาทุกคนหนีออกมาเร็ว” ช่างหลิวเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หู่เด็กหนุ่มจึงได้ลืมตามองออกไปด้านนอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดส่งเสียงดังด้วยความตกใจ“เจ้าช่วยควบคุมอารมณ์ด้วย แล้วมองให้ดีสิ” ซินฉีกล่าวกับเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าเฒ่าเหตุใดเสือพวกนั้นถึงยอมให้เด็กพวกนั้นขึ้นไปขี่หลังของมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” หลวนคุนแม้ว่าคราแรกเขาจะตกใจเช่นเดียวกับช่างหลิว แต่เมื่อเห็นภาพที่เสือสองตัวใหญ่ยอมหมอบตัวลงให้เด็กทั้งแปดขึ้นหลังเขาจึงได้รู้สึกแปลกใจแทน“ครอบครัวเสือเป็นสหายของลูกศิษย์ข้าเอง นางบอกข้าแบบนั้น” ซินฉีเอามือลูบเคราแพะของตนตอบเสียงเรียบ“สหายอย่างนั้นหรือ” หลวนคุนทวนคำด้วยความแปลกใจ“คนเป็นเพื่อนกับพยัคฆ
ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ฉินเซียวปฏิเสธ“อ้าว แต่เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือว่าท่านเทพจะให้เจ้าช่วยเหลือนางใช่หรือไม่” หนิงเซียนกระซิบข้างหูบุตรีถามเสียงเบา“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นอันใดแล้วจริง ๆ” ฉินเซียวกล่าวกับมารดาเสียงเบายกยิ้มยืนยันให้คนเป็นแม่“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี คราวหลังเจ้าอย่าได้ร้องไห้เช่นนั้นอีกเลยหัวใจแม่เจ็บปวดนัก” หนิงเซียนเอามือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ซึ่งการกระทำของนางก็อยู่ภายใต้สายตาของเยว่เสี่ยง ทำให้นางมองความอบอุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นางไม่มีมารดาเหมือนผู้อื่น“พี่สาวเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” ฉินเซียวเมื่อเห็นใบ หน้าอันผิดแปลกไปของหญิงแรกรุ่นนางนี้เธอจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสาร ด้วยนางรู้ชะตาของนางร้ายคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าเปลี่ยนชะตาของนางได้นะ” โป๊ยข่วยเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ความคิดของคู่หู“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนเพราะนางเป็นคนดี” ฉินเซียวสื่อสารกับกระจกเทพอย่างยินดี แล้วการสนทนาของกระจกเทพกับเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดลง“ขะ...ข้าไม่เป็นอันใดหร
“เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้ารีบกินมันเข้าไปตอนยังร้อนเถอะ” หลวนคุนรีบเอ่ยแย้ง“ขอรับ” ช่างหลิวจึงได้นำช้อนที่ซินฉีส่งให้ตักซุปไก่เข้าปากทันทีก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง“รสชาติเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่อะ…” ซินฉียังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน“อร่อยขอรับ มันอร่อยมากเลยข้าไม่คิดว่าอาหารยาจะอร่อยถึงเพียงนี้” ช่างหลิวยกยิ้มอย่างพอใจ“อ๋อเป็นเช่นนั้นถ้ามันอร่อยก็ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินให้หมดถ้วยเถอะหากยังไม่พอก็ยังมีในหม้ออีก” หลวนคุนเอ่ยอย่างโล่งอก“ขอรับ ข้าต้องขอบพระคุณท่านหมอมาก” ช่างหลิวยกยิ้มมองหมอทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ“จุ๊ ๆ เจ้าอัปลักษณ์อาจารย์ของเจ้ากับเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลย ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเสียจริง” กระจกเทพที่รับรู้เรื่องราวของอีกห้องได้ลอยตัวมาบอกกับสหาย“นะ...นั่นเจ้ากำลังจะลงเข็มผิดแล้ว มีสมาธิหน่อยสิ” แต่กระจกเทพก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ“ก็ข้ามัวแต่ฟังเจ้าอยู่นี่นา ฮู่ว์! เกือบไป” ฉินเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะเป็นการฝึกก็ตาม“แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหุ่
ในระหว่างการขายผลลี่จื่อนั้นฉินเซียวก็ได้บอกกับลูกค้าว่าร้านของนางน่าจะขายได้พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะผลสุกของมันนั้นหมดแล้ว“หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อไปข้าจะไปซื้อกินที่ไหนได้” ชายวัยกลางคนลูกค้าประจำกล่าวอย่างเสียดาย“เอาไว้ปีหน้านะเจ้าคะ” ฉินเซียวแย้มยิ้มบอกชายวัยกลาง คนผู้นั้น นางเองก็รู้สึกเสียดายเงินเหมือนกันต่อให้ปลูกต้นลี่จื่อเพิ่มก็ยังช้าอยู่ดี อีกอย่างในครึ่งเดือนข้างหน้านางกับพี่ ๆ ก็จะต้องไปเรียนกันด้วย“แม่หนู ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะกินอะไรได้กันล่ะ” พ่อบ้านผิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง“ข้าคิดว่าลองให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินผักสดดีหรือไม่ น่าจะดีกว่ากินผลลี่จื่อกับผักดองอย่างเช่นทุกวันนี้” ฉินเซียวเอ่ยแนะพ่อบ้านชรา“ผักสดอย่างนั้นหรือ อากาศเย็นขนาดนี้อีกทั้งใกล้ปีใหม่หิมะก็จะตกที่ไหนจะมีผักสดขายกัน” ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่หากมีผักสดเขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก“หากข้ามีท่านจะซื้อหรือไม่ แต่ข้ามีไม่เยอะนะเจ้าคะ อันที่จริงที่ข้าบอกท่านนั้นก็เป็นเพราะข้าเห็นใจคนชราเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกระซิบเส
“เป็นเจ้า” หลวนคุนเอ่ยเสียงดัง“เจ้าเฒ่าสบายดีหรือไม่” ซินฉีทักสหายรักด้วยรอยยิ้ม“สหายน่าชังอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าสบายดีอยู่อีกหรือ เล่นทิ้งงานไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว” หลวนคุนได้ทีกล่าวประชดประชันคนหน้าตายผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไปหายาถอนพิษก็ตามแต่แม้จดหมายก็ไม่ส่งข่าวมันก็เกินไป“เอาน่าเจ้าอย่าได้โมโหนัก ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว เอาไว้ข้าสั่งสอนศิษย์จนทั้งสองเข้าสำนักศึกษาได้ข้าจะกลับไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน” ซินฉีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“เจ้ายังรู้สำนึกแต่อีกสองเดือนเลยนะ ว่าแต่เรื่องพิษของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ตัวยาสำคัญมาแล้วนะ แต่จะว่าไปหากนางเป็นศิษย์ของเจ้าเรื่องยาก็คงไม่ต้องห่วงแล้วสิ” หลวนคุนรีบถามสหาย แต่พอเขาฉุกคิดได้ว่าผู้ใดเป็นคนนำสมุนไพรหายากชนิดนั้นมาขายให้ตนชายชราก็นิ่งเงียบไป“หายดีแล้วละ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ศิษย์เอกตัวน้อยของข้า” ซินฉียกยิ้มตอบด้วยความภูมิใจ“ข้าดีใจด้วยเจ้าจะได้หยุดออกเร่ร่อนเสียทีและมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว ว่าแต่ศิษย์ของเจ้าอีกคนเป็นใคร” หลวนคุนอดเอ่ยถามสหายไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินว่าสหายจะรับศิษย์เพียงคนเ