“นังเด็กขี้เกียจแค่ใช้ไปตัดหญ้าให้หมูแค่นี้ไปซะครึ่งค่อนวัน” หม่านซิงแผดเสียงพร้อมกระแทกถังน้ำเปล่าลงตรงหน้าเด็กหญิง
“สับหญ้าให้หมูเสร็จแกก็ไปตักน้ำมาเติมในรางให้พวกมันด้วยนะ จากนั้นก็ไปจัดการเก็บจานชามไปล้างให้เรียบร้อย” หญิงวัยยี่สิบปลายพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหยันก่อนจะเดินจากไป
“ตะ...แต่ท่านแม่ข้ายัง...” เด็กหญิงตัวผอมยังกล่าวคำไม่ทันจบหญิงผู้นั้นก็หายลับไปนานแล้ว
ฉินเซียวแม้นางจะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ของครอบครัวนี้ แต่หญิงแซ่จางผู้นั้นก็ให้น้ำนมนางกินเลี้ยงนางมาจน กระทั่งนางเติบโต ความผูกพันและความห่วงเหตุใดหญิงผู้นั้นจึงไม่มีให้นางเลย แล้วยังใจร้ายใจดำกับนางได้มากถึงเพียงนี้ วิญญาณหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะเป็นเด็กคิดอย่างไม่เข้าใจ
ภายในบ้านนางจางหม่านซิงมีแต่ความเคียดแค้นชิงชังต่อก้อนเลือดของหญิงชั่วชายโฉดผู้นั้น หากตอนนั้นแผนการของนางสำเร็จคนที่ต้องแต่งกับนางก็ย่อมเป็นฉินเต๋อไม่ใช่คนอันธพาลอย่างตอนนี้
และยิ่งนางเด็กคนนี้เติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ใบหน้าของนางก็ดันยิ่งละหม้ายคล้ายคลึงกับนางแพศยานั่นยิ่งทำให้ไฟแค้นของนางลุกโชนมากขึ้นกว่าเดิม ในระหว่างที่นางคิดก็มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านนอก
“หม่านซิง เอาเงินมาให้ข้าเร็วเข้าไม่อย่างนั้นคนพวกนี้จะตัดมือของข้า” เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากปากของฉินหย่ง
หม่านซิงที่กำลังตกอยู่ในภวังค์รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินออกมายังลานบ้านทันทีด้วยความตกใจ ฉินเซียวผู้ยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์บางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เธอได้รู้กำลังนำพาหายนะมาถึงตัวของนางแล้ว แต่ไม่ใช่กับโป๊ยข่วยที่ มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง
“เจ้าเด็กตัวเหม็นเจ้ารีบนำสิ่งนี้ทาบริเวณใบหน้าเร็วเข้าไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกขาย” กระจกใบน้อยพูดอย่างร้อนใจพร้อมโยนตลับไม้สีดำซึ่งบรรจุยางไม้ทำให้เกิดอาการผุพองตามผิวหนังให้เด็กน้อย
“จะ...จริงอย่างนั้นเหรอ แต่ข้าจำได้ว่าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้นี่” เด็กหญิงกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนกใบหน้าซีดเผือดรีบรับสิ่งที่เพื่อนคู่หูกำไว้ในมือแน่น
โป๊ยข่วยจะบอกได้อย่างไร ว่าที่เหตุการณ์มันไม่เหมือนเดิมส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะตัวมันเองที่เข้ามาผูกจิตวิญญาณกับมนุษย์ธรรมดาผู้นี้ ก็เลยทำให้คราวเคราะห์ของนางมีมากขึ้น
“ไม่มีเวลาแล้วเจ้าเชื่อข้าเถอะ สิ่งที่เจ้าจับอยู่ในมือเมื่อเจ้าทาลงไปบริเวณผิวหนังเพียงชั่วจิบชาจะทำให้เกิดหนองผุดออกมาตามใบหน้า แต่เจ้าจะไม่มีอาการอะไรดังนั้นเจ้าจงแสดงให้สมจริงเข้าใจไหม” กระจกวิเศษเบี่ยงประเด็น
เด็กหญิงเมื่อได้ยินถ้อยคำอันร้อนใจของกระจกโป๊ยข่วยก็รีบทำตามคำแนะนำทันที เธอไม่เพียงแต่ทาใบหน้าเท่านั้นเจ้าตัวยังทาไปที่มือของตนด้วยก่อนจะลามมาที่แขนและขา
ด้านนอกเสียงอันดังนั้นยังคงอยู่และเริ่มดังมาจนถึงคอกหมูที่อยู่ด้านหลัง เด็กน้อยวัยแปดหนาวรู้สึกตัวสั่นก้มตัวลงนั่งคุดคู้อย่างน่าสงสาร
“อยู่ทางนี้ข้าจะให้นางเด็กคนนี้ไปแทนเงิน พวกเจ้าจงนำมันไปเลยหน้าตาของมันหากนำไปขายพวกเจ้าคงได้หลายตำลึง” นางจางหญิงใจร้ายพูดกับชายฉกรรจ์คนคุมบ่อนที่สามีตนไปติดหนี้
“ไหนเจ้าลองไปนำเด็กคนนั้นขึ้นมาจากพื้นสิข้าขอดูใบหน้าของมันสักหน่อย หากหน้าตาดีจริงอย่างที่นางผู้นี้ว่าข้าจะยกหนี้ให้” หัวหน้าของคนคุมนักเลงกล่าว
หม่านซิงรู้สึกหวาดกลัวคนพวกนี้จนตัวสั่นแต่ในใจกลับด่าทอสาบแช่งผัวของตนกับคนพวกนี้อย่างไม่รู้ไปหาถ้อยคำอันหยาบคายมาจากไหนมากมาย
“ฉินเซียวเจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ไปกับคนพวกนี้เสียเจ้าจะได้กินอิ่มนอนอุ่น” หม่านซิงเดินเข้าไปหาลูกนอกไส้ก่อนจะกล่าวออกมา
เด็กน้อยที่ก้มตัวคลุกดินคลุกหญ้าอยู่กับพื้นเมื่อได้ยินถ้อยคำของนางจางผู้ใจดำเด็กหญิงถึงกับสบถในใจ เชอะเจ้าคิดหลอกใครกันหากข้าเป็นเด็กโง่เหมือนเมื่อก่อนคงหลงเชื่อเจ้าไปแล้ว
หากมันมีอาหารกินดีมีที่นอนอุ่นใยเจ้าไม่ส่งลูกสาวสุดที่รักของเจ้าไปเองเล่า หากข้าได้ไปกับพวกชั่วนี้จริงชีวิตก็คงยิ่งกว่าตกนรกเป็นแน่
“ทะ...ท่านแม่ขะ...ข้าเจ็บมาก” เด็กวัยแปดหนาวเริ่มแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเอามือที่เริ่มมีแผลผุผองมาจับตามใบหน้าและลำคอ
“เจ้าเป็นอะไร ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเจ็บป่วย เมื่อชั่วครู่ข้ายังเห็นเจ้าเป็นปกติดีอยู่เลยเลิกเสแสร้งได้แล้ว” จางหม่านซิง กล่าวสีหน้าถมึงทึง
“เร็วเข้า พวกข้าไม่มีเวลามารอเจ้าทั้งวันหรอกนะ” หัวหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เอ่ยเร่งสีหน้าหยามหยัน
“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบให้นางลุกขึ้นพวกท่านได้โปรดใจเย็น ๆ” นางจางตัวสั่นกับเสียงดังของคนพวกนี้ดังนั้นนางจึงรีบกระชากตัวเด็กหญิงขึ้นทันที
และเมื่อนางเห็นใบหน้าของลูกนอกสายเลือดหน้าของนางก็ผงะด้วยความตกใจ ก่อนที่นางจางจะกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ
“ผี!” นางจางรีบผลักตัวฉินเซียวให้ห่างจากตัวก่อนที่หล่อนจะวิ่งหนีออกมาโดยทิ้งระยะห่างจากเด็กหญิงพอสมควร
“เจ้าจะเล่นงิ้วให้ใครดูกันหากไม่ยอมมอบเด็กก็ต้องมอบเงินหรือจะให้พวกข้าตัดมือสามีเจ้า” หัวหน้าอันธพาลรู้สึกไม่สบอารมณ์กล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิด
“เด็ก ท่านเอาตัวนางเด็กนั่นไปเลย” ฉินหย่งละล่ำละลักพลางชี้นิ้วไปทางฉินเซียวที่ยืนก้มหน้าตัวสั่นเหมือนหวาด กลัวแต่แท้จริงนางกำลังแอบหัวเราะต่างหาก
“เจ้าไปนำตัวเด็กมาพวกเราจะได้รีบกลับ คนบ้านนี้ช่างเป็นคนอำมหิตแม้กระทั่งลูกก็ขายได้ลงคอ” หัวหน้าอันธพาลชี้มือไปที่ลูกน้องร่างผอมก่อนกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยันพร้อมถมน้ำลายลงพื้นเฉียดเท้าของฉินหย่ง
ชายเจ้าบ้านแม้สีหน้าจะหวาดกลัวหัวหน้าคุมบ่อนคนนี้ แต่ภายในใจกลับสาปแช่งด่าทอที่พวกมันพูดเสียงดังทำให้บัดนี้ชาวบ้านต่างพากันมาเมียงมองยังบ้านของเขา อีกทั้งยังกระซิบกระซาบคาดเดาเหตุการณ์กันอย่างสนุกปาก
“เหวอ! ผีหลอกข้า ผีหลอก” ชายร่างผอมลูกน้องหัวหน้าโจรเมื่อเห็นหน้าของฉินเซียวชัดเจนตะโกนเสียงหลงออกมา
“ผีบ้าผีบออะไร หากข้าไม่เห็นอะไรนะเจ้าโดนดีแน่” คนเป็นหัวหน้าคาดโทษพลางสืบเท้าเข้าไปใกล้เด็กหญิงที่ยังคงก้มหน้าสะอื้นไห้อยู่อย่างน่าสงสาร
“เจ้าเงยหน้าขึ้น หากเชื่อฟังข้าจะให้เจ้าได้กินอิ่มหากไม่... เหวอ!” ยังไม่ทันที่ชายร่างใหญ่ผู้นี้จะกล่าวจบและเมื่อเขาเห็นใบหน้าของเด็กหญิงเจ้าตัวก็รีบกระโดดหนีส่งเสียงร้องเสียงดังตามลูกน้องของมัน และเมื่อมันตั้งสติของตัวเองได้ชายร่างใหญ่ก็ส่งสายตาดุดันใบหน้าถมึงทึงไปหาสองผัวเมียที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างกัน
“เจ้าสองคนอยากตายใช่หรือไม่ คิดจะย้อมแมวขายสินค้าให้ข้าอย่างนั้นเหรอ นี่นะเหรอเด็กที่เจ้าว่าหน้าตาดีน่ารักน่าเอ็นดู” หัวหน้าคุมบ่อนตวาดเสียงกร้าวปานฟ้าจะถล่มออกมา
“คะ...คือว่านางหน้าตาหมดจดงดงามจริงนะขอรับ” ฉินหย่งที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นรีบแย้ง
“หน้าตาดีหมดจดบ้านเจ้านะสิ นางหน้าเละเป็นผีแบบนี้จะขายได้ยังไง วันนี้หากเจ้าไม่มีเงินก็จงหาของมีค่ามาไม่อย่างนั้นก็ทิ้งมือของเจ้าไว้หนึ่งข้างเลือกเอา” หัวหน้าอันธพาลโกรธจนตัวสั่นส่งเสียงดังออกมาอีกหน
“หม่านซิงที่ท่านผู้นี้พูดมันหมายความว่ายังไง” ฉินหย่งหันหน้าไปถามภรรยาที่ได้มาจากความไม่ตั้งใจด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ยังไม่ทันที่เมียผู้นอนเคียงหมอนมาหลายปีจะตอบคำใดก็ได้มีเสียงเล็ก ๆ ของฉินเซียวดังขึ้นเสียก่อน
“ทะ...ท่านพ่อข้าเจ็บเจ้าค่ะ แสบร้อนไปหมดเลย” เด็กหญิงวัยแปดหนาวคิดว่าคงถึงเวลาที่เจ้าตัวจะแสดงโฉมหน้าให้ผู้คนดู นางจึงแสร้งเรียกบิดาไม่จริงเสียงเครือพร้อมเงยหน้าขึ้นหันไปทางสองสามีภรรยาผู้โหดร้าย
เวลานี้ไม่ใช่เพียงแต่ฉินหย่งเท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่ชาวบ้านที่กำลังชมเรื่องสนุกอยู่พวกเขาก็พากันตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน ที่เห็นใบหน้าผอมของเด็กหญิงเต็มไปด้วยเม็ดหนองอย่างไม่มีช่องว่าง
“ผี! ข้ากลัวแล้วพวกข้าไม่อยู่แล้ว” เสียงชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นหนีหายไปจนไม่เหลือคนนอกอีก
“นี่มันอะไรกัน ทำไมหน้าเจ้าถึงได้เป็นแบบนี้ ไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ มันจะต้องเป็นของปลอมแน่เจ้าไปล้างหน้าเสีย” ฉินหย่งแม้จะรู้สึกหวาดกลัวใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝีหนองพวกนั้นกล่าวตะกุกตะกัก
เด็กหญิงน้ำตาไหลมีสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะทำตามที่บิดาใจร้ายบอก แต่ยิ่งน้ำโดนใบหน้าแผลผุพองก็ยิ่งแดงก่ำน้ำหนองเองก็เหมือนจะยิ่งไหลออกมาคราวนี้ยิ่งทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกเดือดดาลมากขึ้นไปอีก และความอดทนของเขาก็หมดลง
“เอามือของเจ้ามาซะเสียเวลาข้ามามากแล้ว” ชายร่างใหญ่หยิบมีดดาบที่ส่องแสงประกายแวววาวออกมา
“ไม่ข้ายังมีลูกสาวอีกคนข้ารับรองว่าคนนี้หน้าตาไม่มีริ้วรอยใด ๆ อย่างแน่นอน” ฉินหย่งตะโกนออกมาสุดเสียงน้ำหูน้ำตาไหลอย่างน่าสมเพช
จางหม่านซิงเมื่อได้ยินถ้อยคำของสามีนางก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ ไม่ได้นางจะให้ใครมาเอาตัวแก้วตาดวงใจของนางไปได้ยังไงนางไม่ยอม
“ข้ามีเงินเจ้าบอกมาว่าต้องการเงินเท่าไหร่ข้าไม่ยอมให้ลูกสาวแก่พวกเจ้าหรอก” นางจางรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“หนึ่งตำลึงเงินรีบไปนำเงินมาซะหากช้ามือของสามีเจ้าขาดแน่” ผู้เป็นหัวหน้าข่มขู่
“ทำไมถึงเป็นหนึ่งตำลึงเงินกันข้าติดท่านห้าสิบอีแปะเพียงเท่านั้น” ฉินหย่งกล่าวออกมาอย่างไม่ยอม
“ดอกเบี้ยและค่าเสียเวลายังไงล่ะ ทำไมหรือเจ้าจะจ่ายเป็นมือข้าก็ไม่ขัดหรอกนะ” ชายร่างใหญ่เงื้อดาบในมือขึ้นสูง อีกครั้ง
“ไม่ ๆ หม่านซิงเจ้ารีบไปเอาเงินมาสิจะให้ข้ากลายเป็นคนพิการหรือยังไง” ผู้เป็นสามีรีบหันไปตวาดเมีย
นางจางที่ได้ยินจำนวนเงินหนึ่งตำลึงเงินนางกำลังรู้สึกหน้ามืด ภายในใจก็สาปแช่งด่าทอบรรพบุรุษของครอบครัวสามีอย่างเดือดดาลนี่มันเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของนางในตอนนี้ เลยนะ
แต่จะไม่ให้ก็ไม่ได้เพราะนางจำใจต้องรักษาบุตรสาวตัวน้อยของตนเอาไว้ หากบุตรอันเป็นที่รักเป็นอะไรไปจะให้นางอยู่ได้อย่างไรกัน
หญิงชั่วผู้นี้คงลืมไปแล้วว่าตัวเองยังรักลูกแล้วคนอื่นจะไม่รักบุตรในอุทรของตนได้เยี่ยงไร นางถึงกล้าไปพรากเด็กน้อยออกมาจากอ้อมอกแม่อีกทั้งยังเอามาทารุณกรรมแบบนี้
“ลูกรัก แล้วพวกเราจะเอาไปทำอาหารอะไรกันดีมันมีเยอะอยู่นะ” หนิงเซียนรีบเอ่ยถามบุตรสาวเพราะนางไม่เคยเห็นผักชนิดนี้มาก่อน“ข้าจะนำมาผัดเต้าหู้ก้อนที่ท่านแม่ทำไว้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกทั้งถั่วงอกยังทำอาหารได้หลากหลายอีกด้วย ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านชิมเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบมารดาด้วยรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย“แต่ว่าคงจะต้องเป็นช่วงเย็นแล้ว เพราะตอนนี้ข้าได้เวลาจะต้องไปเรียนฝังเข็มแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกล่าวเสียงอ่อย“เจ้าอย่าได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น เจ้าบอกแม่มาว่ามันทำอย่างไร แม่จะทำออกมาให้เจ้ากินเอง” หนิงเซียนเอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างเป็นห่วงบุตรีตัวน้อย“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายวิธีการทำถั่วงอกผัดเต้าหูก่อนนะเจ้าคะ แล้วก็ทำซุปถั่วงอกใส่ผักดอง ท่านแม่วันนี้ท่านก็ทำผัดเปรี้ยวหวานเส้นถู่โต้วด้วยเลยเจ้าค่ะ ข้ามีลางว่าเราจะทำเงินจากพวกมันได้” ผู้เป็นลูกกอดเอวมารดากล่าวอย่างออดอ้อน“ได้ แม่ตามใจเจ้า” หนิงเซียนกระฉับอ้อมแขนของตนโอบกอดบุตรอย่างรักใคร่ทำให้พี่ชายอีกสองคนต่างเดินเข้ามากอดผู้เป็นน้องสาวกับแม่ของตนด้วย โดยคนเป็นพ่อได้แต่ยืนมองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่เข
แม้ว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเองกับตา ในระหว่างที่เด็กทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังเสือฉินเต๋อก็ได้บังคับรถม้ามาเห็นภาพดังกล่าว“ไป๋หู่ ข้าฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ” ฉินเต๋อหยุดรถม้าบอกกล่าวสหายของบุตรสาวตัวโต ไป๋หู่ทำเพียงชำเรืองมองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา“เสือ ฝูหมิงน้องรีบพาทุกคนหนีออกมาเร็ว” ช่างหลิวเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หู่เด็กหนุ่มจึงได้ลืมตามองออกไปด้านนอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดส่งเสียงดังด้วยความตกใจ“เจ้าช่วยควบคุมอารมณ์ด้วย แล้วมองให้ดีสิ” ซินฉีกล่าวกับเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าเฒ่าเหตุใดเสือพวกนั้นถึงยอมให้เด็กพวกนั้นขึ้นไปขี่หลังของมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” หลวนคุนแม้ว่าคราแรกเขาจะตกใจเช่นเดียวกับช่างหลิว แต่เมื่อเห็นภาพที่เสือสองตัวใหญ่ยอมหมอบตัวลงให้เด็กทั้งแปดขึ้นหลังเขาจึงได้รู้สึกแปลกใจแทน“ครอบครัวเสือเป็นสหายของลูกศิษย์ข้าเอง นางบอกข้าแบบนั้น” ซินฉีเอามือลูบเคราแพะของตนตอบเสียงเรียบ“สหายอย่างนั้นหรือ” หลวนคุนทวนคำด้วยความแปลกใจ“คนเป็นเพื่อนกับพยัคฆ
ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ฉินเซียวปฏิเสธ“อ้าว แต่เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือว่าท่านเทพจะให้เจ้าช่วยเหลือนางใช่หรือไม่” หนิงเซียนกระซิบข้างหูบุตรีถามเสียงเบา“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นอันใดแล้วจริง ๆ” ฉินเซียวกล่าวกับมารดาเสียงเบายกยิ้มยืนยันให้คนเป็นแม่“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี คราวหลังเจ้าอย่าได้ร้องไห้เช่นนั้นอีกเลยหัวใจแม่เจ็บปวดนัก” หนิงเซียนเอามือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ซึ่งการกระทำของนางก็อยู่ภายใต้สายตาของเยว่เสี่ยง ทำให้นางมองความอบอุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นางไม่มีมารดาเหมือนผู้อื่น“พี่สาวเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” ฉินเซียวเมื่อเห็นใบ หน้าอันผิดแปลกไปของหญิงแรกรุ่นนางนี้เธอจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสาร ด้วยนางรู้ชะตาของนางร้ายคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าเปลี่ยนชะตาของนางได้นะ” โป๊ยข่วยเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ความคิดของคู่หู“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนเพราะนางเป็นคนดี” ฉินเซียวสื่อสารกับกระจกเทพอย่างยินดี แล้วการสนทนาของกระจกเทพกับเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดลง“ขะ...ข้าไม่เป็นอันใดหร
“เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้ารีบกินมันเข้าไปตอนยังร้อนเถอะ” หลวนคุนรีบเอ่ยแย้ง“ขอรับ” ช่างหลิวจึงได้นำช้อนที่ซินฉีส่งให้ตักซุปไก่เข้าปากทันทีก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง“รสชาติเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่อะ…” ซินฉียังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน“อร่อยขอรับ มันอร่อยมากเลยข้าไม่คิดว่าอาหารยาจะอร่อยถึงเพียงนี้” ช่างหลิวยกยิ้มอย่างพอใจ“อ๋อเป็นเช่นนั้นถ้ามันอร่อยก็ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินให้หมดถ้วยเถอะหากยังไม่พอก็ยังมีในหม้ออีก” หลวนคุนเอ่ยอย่างโล่งอก“ขอรับ ข้าต้องขอบพระคุณท่านหมอมาก” ช่างหลิวยกยิ้มมองหมอทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ“จุ๊ ๆ เจ้าอัปลักษณ์อาจารย์ของเจ้ากับเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลย ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเสียจริง” กระจกเทพที่รับรู้เรื่องราวของอีกห้องได้ลอยตัวมาบอกกับสหาย“นะ...นั่นเจ้ากำลังจะลงเข็มผิดแล้ว มีสมาธิหน่อยสิ” แต่กระจกเทพก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ“ก็ข้ามัวแต่ฟังเจ้าอยู่นี่นา ฮู่ว์! เกือบไป” ฉินเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะเป็นการฝึกก็ตาม“แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหุ่
ในระหว่างการขายผลลี่จื่อนั้นฉินเซียวก็ได้บอกกับลูกค้าว่าร้านของนางน่าจะขายได้พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะผลสุกของมันนั้นหมดแล้ว“หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อไปข้าจะไปซื้อกินที่ไหนได้” ชายวัยกลางคนลูกค้าประจำกล่าวอย่างเสียดาย“เอาไว้ปีหน้านะเจ้าคะ” ฉินเซียวแย้มยิ้มบอกชายวัยกลาง คนผู้นั้น นางเองก็รู้สึกเสียดายเงินเหมือนกันต่อให้ปลูกต้นลี่จื่อเพิ่มก็ยังช้าอยู่ดี อีกอย่างในครึ่งเดือนข้างหน้านางกับพี่ ๆ ก็จะต้องไปเรียนกันด้วย“แม่หนู ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะกินอะไรได้กันล่ะ” พ่อบ้านผิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง“ข้าคิดว่าลองให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินผักสดดีหรือไม่ น่าจะดีกว่ากินผลลี่จื่อกับผักดองอย่างเช่นทุกวันนี้” ฉินเซียวเอ่ยแนะพ่อบ้านชรา“ผักสดอย่างนั้นหรือ อากาศเย็นขนาดนี้อีกทั้งใกล้ปีใหม่หิมะก็จะตกที่ไหนจะมีผักสดขายกัน” ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่หากมีผักสดเขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก“หากข้ามีท่านจะซื้อหรือไม่ แต่ข้ามีไม่เยอะนะเจ้าคะ อันที่จริงที่ข้าบอกท่านนั้นก็เป็นเพราะข้าเห็นใจคนชราเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกระซิบเส
“เป็นเจ้า” หลวนคุนเอ่ยเสียงดัง“เจ้าเฒ่าสบายดีหรือไม่” ซินฉีทักสหายรักด้วยรอยยิ้ม“สหายน่าชังอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าสบายดีอยู่อีกหรือ เล่นทิ้งงานไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว” หลวนคุนได้ทีกล่าวประชดประชันคนหน้าตายผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไปหายาถอนพิษก็ตามแต่แม้จดหมายก็ไม่ส่งข่าวมันก็เกินไป“เอาน่าเจ้าอย่าได้โมโหนัก ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว เอาไว้ข้าสั่งสอนศิษย์จนทั้งสองเข้าสำนักศึกษาได้ข้าจะกลับไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน” ซินฉีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“เจ้ายังรู้สำนึกแต่อีกสองเดือนเลยนะ ว่าแต่เรื่องพิษของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ตัวยาสำคัญมาแล้วนะ แต่จะว่าไปหากนางเป็นศิษย์ของเจ้าเรื่องยาก็คงไม่ต้องห่วงแล้วสิ” หลวนคุนรีบถามสหาย แต่พอเขาฉุกคิดได้ว่าผู้ใดเป็นคนนำสมุนไพรหายากชนิดนั้นมาขายให้ตนชายชราก็นิ่งเงียบไป“หายดีแล้วละ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ศิษย์เอกตัวน้อยของข้า” ซินฉียกยิ้มตอบด้วยความภูมิใจ“ข้าดีใจด้วยเจ้าจะได้หยุดออกเร่ร่อนเสียทีและมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว ว่าแต่ศิษย์ของเจ้าอีกคนเป็นใคร” หลวนคุนอดเอ่ยถามสหายไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินว่าสหายจะรับศิษย์เพียงคนเ